บทที่ 188 ไม่ให้เจอ

สภาพร่างกายของนายผู้เฒ่าฟางนั้นแย่มาก หลังจากดื่มยาไปชามใหญ่ เขาก็หลับไปอีกครั้ง

ฟางเจี๋ยจัดห้องให้เอ้อร์เป่าอยู่ในลานของนายผู้เฒ่าฟาง เพื่อจะได้สะดวกในยามที่ผู้เฒ่าฟางตื่นมาและต้องการพบเขา

จากนั้นฟางเจี๋ยจึงได้เดินกลับไปยังเรือนของเขา เมื่อเข้าประตูไปนางถังจึงร้องทักทายเขา

“น้ำร้อนเตรียมไว้เรียบร้อยดีแล้ว ท่านไปอาบน้ำก่อนเถิดจะได้พักผ่อน” นางถังพูดกับสามีอย่างอ่อนโยน ฟางเจี๋ยหยิบผ้าจากภรรยามาเช็ดหน้า เขาเหนื่อยจริงๆ

“สามี ท่านพาเหยียนเอ๋อร์กลับมา สามีภรรยาแซ่เว่ยสองคนนั่นไม่ได้เรียกร้องขออะไรจากท่านหรือ?”

ฟางเจี๋ยส่ายหน้า “ไม่…พวกเขาไม่ได้เรียกร้องขออะไรเลย!” นางถังถอนหายใจอย่างโล่งอก

“เพียงแต่เว่ยฉิงตามมาด้วย”

“อะไรนะ?! เขาตามท่านมาด้วยหรือ?” นางถังขมวดคิ้ว “หรือคิดจะมาดูลาดเลา…?” ฟางเจี๋ยคิดถึงความสัมพันธ์ฉันท์พ่อลูกของเว่ยฉิงและเอ้อร์เป่าแล้วก็รู้สึกไม่ชอบใจเช่นกัน

“เขาเลี้ยงดูเหยียนเอ๋อร์มาหลายปี เราสมควรให้รางวัลเขา แต่ข้าไม่อยากตามใจเขามากเกินไปนัก หากเขาย่ามใจขึ้นมา ที่นี่เป็นเมืองฉินโจว เขาเป็นแค่ชาวบ้านธรรมดา เหตุใดจะจัดการไม่ได้เล่า?”

นางถังคิดไว้แบบนั้นจริง ๆ หากเว่ยฉิงต้องการเงินค่าเลี้ยงดูลูกชายเขา พวกเขาย่อมให้ได้ แต่ถ้าหากจะมาเรียกร้องมากเกินไปจนไร้ยางอายก็ลืมไปเถอะ! พอพูดถึงเรื่องนี้ฟางเจี๋ยก็อดหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้เป็นเพราะเอ้อร์เป่าไม่ยอมให้ความสนิทสนมกับเขา

“เหยียนเอ๋อร์ยังเด็กไม่รู้ความ เราจะตามใจเขาไปทุกเรื่องคงเป็นไปไม่ได้”

“ใช่ พวกเราทำเพื่อประโยชน์ของตัวเขาเอง เราเป็นบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเขา เราจะทำร้ายลูกชายแท้ ๆ ของเราหรือ? ต่อไปเขาย่อมเข้าใจเอง” นางถังพูดขึ้นมา

“เจ้าอย่าเอาแต่อยู่ในเรือนไปหาเขาให้มากขึ้นกว่านี้!” ฟางเจี๋ยกำชับภรรยาของเขา

“ข้ารู้ เขาเป็นชิ้นเนื้อที่หลุดออกมาจากร่างกายของข้าเช่นกัน ข้าย่อมรักเขา คิดถึงเขาทุกวันจนนอนไม่หลับ ตอนนี้เรือนหลักก็วุ่นวายเต็มที ข้าจะไปหาเขาพรุ่งนี้เอง”

……………..

นายท่านรองฟางจวิ่นเดินกลับไปที่เรือนของเขาเช่นกัน ในช่วงไม่กี่วันมานี้เขาเฝ้าดูแลอยู่ข้างกายนายผู้เฒ่าฟางทุกวัน วันนี้บิดาอาการดีขึ้นมากแล้ว เขาจึงกลับมาพักผ่อนที่เรือนของตน

“พบเด็กแล้วหรือ?” เสียงสตรีผู้หนึ่งดังขึ้นมา คนที่ถามคือนางไช่ภรรยาของเขาที่มีทีท่ากระฉับกระเฉง

“เจอแล้วพากลับมาแล้ว” ฟางจวิ่นตอบภรรยา

“หึ! ถังซื่อคงแทบจะดีใจจนบินได้สินะ” นางไช่พูดด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด นางไม่ชอบนางถังที่ทำท่าบอบบางอ่อนแอ แต่ที่แท้ล้วนมีแผนร้ายแอบแฝงอยู่ในใจมาตลอด หลายปีที่ผ่านมา นางไช่ตกเป็นเหยื่อพี่สะใภ้คนนี้ของนางมาตลอด

“เหยียนเอ๋อร์เป็นหลานชายคนโตของตระกูลฟางของเรา ได้เขากลับคืนมาย่อมเป็นการดีแล้ว เจ้าอย่าได้พูดจาเหลวไหลไป” ฟางจวิ่นเตือนภรรยาด้วยสีหน้าที่จริงจัง

นางไช่เม้มปาก ท่าทางอารมณ์ไม่ดี ไม่นานนักนางก็ถามต่ออีกว่า

“เด็กคนนั้น…ดูเป็นอย่างไรบ้าง”

“เด็กโตขึ้นมาแล้ว ดูท่าทางสุภาพ ขาวสะอาด”

“ดียิ่ง” แม้ว่านางไช่จะเกลียดชังนางถังแต่นางก็ไม่อาจจะคิดร้ายกับเด็กได้

ที่จริงนางชอบเด็กคนนั้นไม่น้อยเลยทีเดียว นางชอบที่จะเย้าแหย่เขาเล่น น่าเสียดายที่เขามีมารดาอย่างนางถัง พอเห็นนางเข้าใกล้ลูกชายก็จะรีบผวากางปีกปกป้องราวกับกลัวนางจะมาแย่งเด็กไปแบบนั้น ต่อมานางไช่จึงไม่ได้ไปเล่นกับเด็กน้อยผู้นั้นอีกเลย

วันต่อมา เว่ยฉิงตื่นขึ้นมาอย่างเบื่อหน่าย เขาเดินเที่ยวไปตามถนนของเมืองฉินโจว ก่อนหน้านี้เขาเดินซื้อของกับภรรยา เขาคิดว่าถนนในเมืองฉินโจวดูน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก แต่ยามนี้เมื่อได้มาเดินคนเดียวแบบนี้ เขากลับคิดว่ามันน่าเบื่อขาดสีสันไม่มีชีวิตชีวา

จากนั้นเว่ยฉิงจึงพบว่าไม่ใช่เป็นเพราะสถานที่ แต่เป็นเพราะภรรยาของเขาที่เดินเคียงข้างเขาไปตามท้องถนนต่างหากที่น่าสนใจ…

เว่ยฉิงเดินไปทางทิศตะวันออกและตะวันตกเพื่อหาดูซื้อของแปลก ๆ ไปฝากภรรยาและลูกสาวที่บ้าน

“ครั้งนี้ต้าโจวของเราได้ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ แม่ทัพกู้ก็ได้รับข่าวดีเช่นกัน ส่วนแม่ทัพเฉาก็เอาชนะพวกฮันได้ ดูสิว่าใครจะกล้ามาท้าทายต้าโจวผู้ยิ่งใหญ่ของเราอีก”

“แม่ทัพเฉามีชื่อเสียงเท่าแม่ทัพกู้หรือยัง?”

“โอ้…ยังห่างไกลนัก ท่านแม่ทัพกู้เป็นแม่ทัพที่ได้รับชัยชนะมาตลอด มีเพียงผู้เดียวที่มีความสามารถเท่าเทียมกันกับเขาคือตระกูลเซียว”

“ใช่! ในตอนนั้นมีแม่ทัพถึงสามนายที่มาจากตระกูลเซียว แม้กระทั่งฮองเฮาเองก็มาจากตระกูลเซียวเช่นกัน ตระกูลเซียวเคยรุ่งโรจน์มากในอดีตแต่ในยามนี้ …”

“เป็นเพราะคนของตระกูลเซียวไปคบคิดกับศัตรูแล้วทรยศกับประเทศนะสิ!” เวิยฉิงได้ยินเรื่องราวที่น่าสนใจบนท้องถนน เมืองฉินโจวนี้แปลกไปจากเมืองเหยาสุ่ยมาก ในเมืองเหยาสุ่ยมักจะได้ยินแต่เรื่องซุบซิบข่าวลือเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่ที่ฉินโจวนี้กลับเป็นเรื่องเกี่ยวกับบ้านเมืองเสียเป็นส่วนใหญ่

ตระกูลกู้ ตระกูลเซียว

ตระกูลเซียว…มีบางอย่างแวบเข้ามาในหัวของเว่ยฉิงโดยที่เขาไม่ทันรู้ตัว แต่สักพักเมื่อคิดว่าเรื่องราวใหญ่โตเช่นนี้ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับเขา เว่ยฉิงจึงไม่สนใจ ในที่สุดเขาก็ลืมไปจนหมด

หลังจากเดินไปรอบ ๆ เมืองจนเบื่อ ชายหนุ่มก็เดินกลับจวนฟาง เขาอยากรู้ว่าเอ้อร์เป่าเป็นอย่างไรบ้าง?

เมื่อเว่ยฉิงถามบ่าวรับใช้ก็ได้รับคำตอบว่า เขาอยู่กับนายผู้เฒ่าฟาง

วันแรกก็ยังพอมีเหตุผลเพราะเขาไม่ได้เจอกันนานแล้ว แต่วันต่อมาเว่ยฉิงก็ยังไม่ได้เจอเอ้อร์เป่าอีก เขารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติไป เว่ยฉิงไปถามบ่าวอีกครั้ง ก็ยังได้รับคำตอบที่ว่าเอ้อร์เป่ายังคงเฝ้าดูแลอาการของนายผู้เฒ่าฟางอยู่ สุดท้ายแล้วเป็นเพราะชายชราผู้เป็นปู่ของเขาป่วยหนัก เช่นนั้นเขาจึงได้แต่รอ

แต่พอวันที่สามเว่ยฉิงก็คิดได้ แม้ว่าเอ้อร์เป่าจะต้องคอยอยู่ข้างกายนายผู้เฒ่าฟาง แต่อย่างไรก็น่าจะมีเวลาให้เขาได้บ้างไม่ใช่หรือ? ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม เว่ยฉิงจึงต้องถามนายท่านฟางให้รู้เรื่อง

…………

นายท่านฟางหรือฟางเจี๋ยให้เอ้อร์เป่าอยู่กับเขาตลอด เป็นเพราะนายผู้เฒ่าฟางส่วนใหญ่แล้วมักจะนอนหลับทั้งวัน ฟางเจี๋ยจึงพาเอ้อร์เป่าออกไปเดินเล่นรอบ ๆ ตระกูลฟางทุกวัน เพื่อต้องการให้เขาได้เห็นความใหญ่โตของตระกูลฟาง

ขนาดของจวนตระกูลฟางนั้นมีขนาดใหญ่เท่ากับบ้านตระกูลเว่ยรวมกันสามสิบหรือสี่สิบหลังเป็นอย่างน้อย กระทั่งลานบ้านที่จัดไว้ให้เอ้อร์เป่าเพียงหลังเดียวก็มีขนาดใหญ่กว่าบ้านของตระกูลเว่ยรวมกันถึงสามสี่หลังเลยทีเดียว นอกจากนี้ฟางเจี๋ยยังจัดสาวใช้ และบ่าวรับใช้ไว้ให้เขาอีกหลายคนเพื่อคอยอำนวยความสะดวกให้เขา เขาเคยสังเกตดูบ้านตระกูลเว่ยมีแค่หญิงวัยกลางคนคอยดูแลเขาเท่านั้น อีกทั้งถังหลี่ดูจะไม่ได้สนใจเขามากนัก

นายท่านฟางอยากให้เอ้อร์เป่าคิดได้ว่า อย่างไรเสียชีวิตความเป็นอยู่ในตระกูลฟางย่อมดีกว่าอยู่บ้านสกุลเว่ยอย่างแน่นอน

ดังนั้นฟางเจี๋ยจึงจงใจจะไม่กล่าวถึงเว่ยฉิงต่อหน้าเอ้อร์เป่า หากเด็กน้อยถามเขาก็จะเลี่ยงไปตอบว่าเว่ยฉิงไม่อยู่ออกไปข้างนอกบ้างไปเดินเล่นในตลาดบ้างทุกครั้ง

“พี่เว่ยเพิ่งมาเมืองฉินโจวเป็นครั้งแรก เขาคงแปลกหูแปลกตา เมืองฉินโจวนี้ใหญ่โตมากแม้ว่าเดินเที่ยวเล่นดูยังไม่อาจหมดภายในเจ็ดแปดวัน พี่เว่ยออกไปเช้ากลับมาค่ำมืดทุกวัน” นายท่านฟางพูดให้เอ้อร์เป่าฟัง

เอ้อร์เป่าจ้องเขา ด้วยดวงตาสีดำตัดขาวอย่างเห็นได้ชัด จนนายท่านฟางอดรู้สึกผิดไม่ได้

ไม่นานมานี้เว่ยฉิงมาหาเขา บอกว่าต้องการพบเอ้อร์เป่า แต่เขากลับไม่ยอมให้ได้พบกัน ที่นี่เป็นเมืองของตระกูลฟาง ไม่ใช่เหยาสุ่ย เขาจะมาบังคับกะเกณฑ์ยื่นคำขาดได้อย่างไร? เหยียนเอ๋อร์ยังเด็กไม่สามารถแยกแยะอะไรเป็นอะไรได้ อย่างไรเสียเขาย่อมเติบโตในตระกูลฟางได้ดีกว่าตระกูลเว่ยอยู่แล้ว

เพื่อเหยียนเอ๋อร์ เขาย่อมเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ เขาไม่อาจจะตามใจเด็กไปได้ทุกเรื่อง…

พอคิดแบบนี้แล้วความรู้สึกผิดในใจเขาก็สลายไปอย่างสิ้นเชิง

“เหยียนเอ๋อร์ ไปอยู่กับท่านปู่ไหม? หากพี่เว่ยกลับมาพ่อจะพาเจ้าไปหาเขา” เอ้อร์เป่าหันหลังไม่พูดอะไรเดินกลับเข้าไปในห้องทันที

…………………………