บทที่ 185 ด่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 185 : ด่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้

อาเธนาคือคนที่เรียกว่า ‘เดนเพลิง’ เธอรู้เกี่ยวกับฐานะนี้จากญาติผู้ใหญ่ของเธอเอง และความชำนาญในพลังเหล่านี้ก็เช่นกัน

ทว่าที่จริงแล้ว อาเธนาไม่มีความปรารถนาที่จะคืนชีพหรือสืบสานเรื่องทั้งหมดนี้เลย และเธอก็อยากเป็นแค่คนธรรมดา ๆ คนหนึ่งเท่านั้น

ดังนั้น ในครึ่งชีวิตแรกของอาเธนา หญิงสาวจึงใช้ชีวิตท่ามกลางคนธรรมดาหลังจากที่เธอจากครอบครัวที่ค่อนข้างลึกลับของตัวเองมาได้ แต่ในเมื่อเธอได้รับพลังมาแล้ว เธอจึงมักอยากรู้อยากเห็นในเรื่องเกี่ยวกับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ และเรื่องไม่ธรรมดาทั้งหลาย

ดังนั้น แม้ว่าเธอจะมีฐานะเป็นคนธรรมดา แต่เธอก็มักจะมองหาเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดจากพลังของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเพื่อแอบมองเข้าไปในโลกที่เธอทอดทิ้งมาอยู่เสมอ

เธอหาเบาะแสที่คนอื่นมองไม่เห็นได้ แต่เธอไม่เคยบอกมันกับใคร

อย่างเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคุณพ่อวินเซนต์ในตอนนี้ อาเธนารู้มาแต่ต้นแล้วว่าการระเบิดวิหารที่จริงแล้วเป็นผลจากการต่อสู้ระหว่างผู้มีพลังเหนือธรรมชาติสองคน เหมือน ‘แก๊สระเบิด’ ที่ว่านั่นในครั้งก่อน ๆ

และตั้งแต่ตอนที่คุณพ่อวินเซนต์แสดงพลังของดวงอาทิตย์ในความฝัน อาเธนาก็รู้ตัวแล้วว่าเธอหนีไม่ได้อีกต่อไป นี่เป็นเสียงเพรียกที่มาจากใจ เป็นราวกับเสียงเรียกโดยสัญชาตญาณที่มีมาตั้งแต่ในอดีตนานมาแล้วที่บังคับให้เธอต้องยอมรับชะตากรรมนี้

ตอนนี้เองที่เธอเข้าใจว่าเหตุผลที่เธอพยายามหาร่องรอยของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติอยู่เสมอนั้นไม่ใช่เพราะว่าเธอสนใจหรอก แต่เป็นเพราะสันดานดิบที่กระสับกระส่ายของสายเลือด ‘เดนเพลิง’ ของเธอต่างหาก

เธอถูกกำหนดไว้แล้วว่าจะต้องไม่ใช่คนธรรมดา

อาเธนาสูดหายใจลึก ๆ แล้วสบตากับเพื่อนรักของเธอ “แอนนีที่รัก ที่จริงแล้วฉันซ่อนมันจากเธอมาตลอดเลย”

“เธอหมายถึง ‘เดนเพลิง’ อะไรนั่นที่คนคนนั้นพูดถึงเมื่อกี้เหรอ?”

“อาเธนา เธอเป็นเหมือนคุณพ่อวินเซนต์เหรอ แบบว่า…ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่เขาบอกเรา?”

แอนนีขมวดคิ้วคาดการณ์

วินเซนต์ได้อธิบายกับพวกเธอโดยสรุปแล้วว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาตินั้นคืออะไร และศาสนาแห่งตะวันคืออะไร

อาเธนาพยักหน้า “‘เดนเพลิง’ เป็นลูกหลานของชนเผ่าเดียวที่ศรัทธาในดวงอาทิตย์ในยุคโบราณ แล้วตอนนี้ก็เหลือแค่ฉันแล้วล่ะ”

“สรุปแล้ว มันก็หมายความว่าฉันคือสาวกคนหนึ่งของศาสนาแห่งตะวัน และการบูชาโบสถ์แห่งจุดสูงสุดก็เป็นแค่ฉากหน้า…ที่จริงแล้วเราติดต่อกับดวงอาทิตย์ไม่ได้มาเป็นหมื่นปีจนคิดว่าดวงอาทิตย์หายไปแล้วล่ะ และฉันก็กระทั่งแกล้งทำเป็นคนปกติแล้วเล่นไปทั่วได้”

“แต่ตอนนี้ที่ดวงอาทิตย์ปรากฏขึ้นอีกครั้ง ในฐานะที่ฉันเป็น ‘เดนเพลิง’ ฉันก็ต้องถูกจุดขึ้นมาเป็นเปลวเพลิงของดวงอาทิตย์ นี่คือภารกิจของเรา”

แอนนีอดถามไม่ได้ “แล้วพอลล่ะ?”

ทั้งคู่ต่างมีครอบครัวและได้รู้จักกันในการพบปะกันของสาว ๆ ครั้งหนึ่ง

อาเธนาที่เขินเล็กน้อยเล่นผมของเธอ “เรื่องนั้น อะแฮ่ม ไม่มีความเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้เลยล่ะ ไม่ว่ากรณีไหน ตราบใดที่ศาสนาแห่งตะวันแทนที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดได้ พวกเราก็จะถือได้ว่าเป็นนักบวชอย่างเป็นทางการ และเหมือนที่โบสถ์แห่งจุดสูงสุดไม่ได้มีคำสอนให้ถือสันโดษ เราก็ยังคงสถานะแต่งงานเหมือนเดิมได้นะ”

“ฉันจะเก็บเรื่องนี้จากเขาไว้ก่อนจนกว่าจะถึงเวลาที่เหมาะสม แล้วทุกอย่างก็จะไม่เป็นไร”

เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพูดต่อ “ในเมื่อเรามาถึงจุดนี้กันแล้ว มีอย่างนึงนะที่ฉันต้องขอโทษเธอ มองฉันสิ”

แอนนีมองเพื่อนรักของเธอแล้วก็ต้องตะลึงงันไป ‘อาเธนา’ ที่อยู่ตรงหน้าเธอ จู่ ๆ หญิงวัยกลางคนหน้าตาธรรมดาที่ดูท้วมนิด ๆ ก็กลายไปเป็นสาวผิวแทนผมสีน้ำตาลที่มีอายุราว ๆ สามสิบปีไปแล้ว

“มันเป็นคาถาลวงตาอย่างง่ายที่เราใช้กันบ่อยที่สุดน่ะ” อาเธนาอธิบาย “ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมีอายุขัยยืนยาว…ที่จริงแล้วฉันมีสามีมาแล้วสามคน อย่างมากฉันก็หย่าแล้วเริ่มชีวิตใหม่น่ะนะ”

แอนนีผงะไปทันใด

แอนนีรับทุกอย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ แต่มุมมองของเธอต่อโลกถูกเปลี่ยนไปแล้ว และทุกอย่างที่เธอเคยคิดว่าจริงก็กำลังใกล้พังทลายเต็มที

“อืม เอาเถอะ…” แอนนีพึมพำทื่อ ๆ ยังไงเสียเธอก็เป็นเพื่อนสนิทของเธออยู่ดี ในเมื่อตอนนี้ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้ไปแล้ว เธอก็ทำได้เพียงยอมรับมัน

คนอื่น ๆ ที่ยังเก็บกวาดคาเฟ่อยู่นั้นต่างทึ่งในตัวนักรบหญิงผู้ดุดันที่ปรากฏกายขึ้นมากันอยู่ แม้จะไม่มีใครเดินมาคุยกับเธอก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังแอบให้ความสนใจกับบทสนทนาระหว่างทั้งสองอยู่

แอนนีไม่สบายใจเล็กน้อยแล้วกระซิบ “ฉันไม่คิดเลยว่าคุณพ่อจะรู้จักเจ้าหน้าที่ตำรวจเขตกลางแล้วขอความช่วยเหลือจากพวกเขาได้ด้วย เครือข่ายกว้างไกลของเขายอดเยี่ยมมากจริง ๆ”

วินเซนต์ได้แนะนำศาสนาแห่งตะวันแล้ว แต่คล็อดไม่ได้พูดถึงหอพิธีกรรมต้องห้ามเลย ดังนั้นแอนนีจึงยังคิดว่าคล็อดเป็นแค่ตำรวจยอดมนุษย์จากกรมตำรวจเขตกลาง

และเพราะเช่นนั้นเธอจึงตะลึงในความสามารถของวินเซนต์ที่ใช้ประโยชน์จากตำรวจเขตกลางได้สบาย ๆ แบบนี้

“พ่อไม่รู้จักคุณคล็อดหรอก เขาแค่มาช่วยด้วยเหตุผลบางอย่างน่ะ”

จู่ ๆ วินเซนต์ก็เดินมาหาแล้วนั่งลงบนเก้าอี้ “เหตุผลที่พ่อยังมีชีวิตอยู่ เพราะได้รับพลังมา รวมถึงได้รับความช่วยเหลือจากคล็อด ที่จริงแล้วทั้งหมดนี้ก็เพราะเจ้าของร้านหลินน่ะ”

วินเซนต์ไม่ได้พูดว่าที่จริงแล้วเขารวมเป็นหนึ่งเดียวกับแก่นแห่งดวงตะวันและไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไปแล้ว แต่เขาถือตนเป็นพระสังฆราชและผู้ก่อตั้งของศาสนาใหม่นี้…

แม้ว่าโบสถ์แห่งจุดสูงสุดจะมีชะตาที่จะถูกโค่นล้มก็ตาม แต่ศาสนาแห่งตะวันก็ยังคงขาดบางอย่างไปในการก่อตั้งตัวเองขึ้นมา

เช่นประวัติที่ฟังขึ้น

แผนเดิมของวินเซนต์คือขอความช่วยเหลือจากเจ้าของร้านหลิน แต่ ‘เดนเพลิง’ ที่ปรากฏขึ้นมานี้ถือเป็นโอกาสในการแก้ปัญหา

คนจากชนเผ่าโบราณที่บูชาดวงอาทิตย์ ไม่ใช่ว่านี่คือส่วนเสริมที่สมบูรณ์แบบต่อประวัติของศาสนาแห่งตะวันหรือ?

ดังนั้นอาเธนาจึงได้เข้าร่วมกับศาสนาแห่งตะวัน แล้วกลายเป็นบิชอปที่อยู่เหนืออัครสาวกทั้งสิบ…

…แม้ว่าบิชอปจะมีวิธีต่อสู้เหมือนนักรบคลั่งก็ตามที

วินเซนต์ฟังอยู่สักพักแล้วและแน่ใจว่าอาเธนามีความปรารถนาจะเป็นศาสนิกชนของศาสนาแห่งตะวัน ดังนั้นเขาจึงมาหาเธอในตอนนี้เพื่อยื่นคำเชิญอย่างเป็นทางการ ก่อนที่จะเริ่มแต่งตั้งอัครสาวกขึ้นมาเป็นลำดับถัดไป

แอนนีพบว่าการเผชิญหน้ากันกับคุณพ่อวินเซนต์ในตอนนี้กลับกลายเป็นความกระอักกระอ่วนเสียแล้ว แม้ว่าพวกเขาจะรู้จักกันมาก่อน แต่สถานการณ์ในตอนนี้ต่างออกไปโดยสิ้นเชิง…

เธอพยายามลุกขึ้นอย่างประหม่า แต่วินเซนต์แสดงท่าทีหยุดเธอไว้แล้วยิ้มอย่างเมตตา “นั่งลงแล้วคุยกันฉันเพื่อนเถอะนะ คุณแอนนี”

เมื่อเห็นวินเซนต์พูดจาและวางตัวเหมือนกับเมื่อก่อน แอนนีก็ผ่อนคลายลงแล้วถอนหายใจโล่งอก

“เจ้าของร้านหลินเหรอคะ?” เธอถามอย่างงุนงงเล็กน้อย

อาเธนาพูดขัด “เจ้าของร้านหนังสือข้าง ๆ นี่ใช่ไหมคะ ถ้าให้ฉันเดา?”

วินเซนต์พยักหน้า “ใช่แล้ว เป็นผู้ที่รอบรู้และแข็งแกร่งอย่างแท้จริงเลยล่ะ”

อาเธนาขยิบตาให้แอนนีอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง “บอกแล้วว่าเจ้าของร้านหนังสือต้องไม่ธรรมดาอย่างที่เห็น”

นี่กระตุ้นให้แอนนีรู้สึกสนใจใคร่รู้ในร้านหนังสือเก่า ๆ ทรุดโทรมนั้นขึ้นมาเป็นอย่างมาก แม้แต่คุณพ่อวินเซนต์ที่สามารถทำให้ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติเยอะขนาดนั้นกลายเป็นเถ้าได้อย่างง่ายดายยังเรียกเจ้าของร้านหนังสือว่าเป็นผู้รอบรู้และแข็งแกร่ง และเขาต้องมีพลังอำนาจมหาศาลจนทำให้คุณพ่อวินเซนต์รอดจากการลอบสังหารของโบสถ์แห่งจุดสูงสุดมาได้แน่ ๆ

แอนนีวาดภาพของเจ้าของร้านหนังสือขึ้นมาในใจจากการปะติดปะต่อเรื่อง เป็นชายชราผมและเคราสีดอกเลาที่มีดวงตาเปี่ยมปัญญา

ในตอนนั้นเอง ประตูก็เปิดออก แล้วชายสองคนก็เดินตามกันเข้ามา

คนที่เดินอยู่ด้านหน้าเป็นชายชราตัวสูงร่างบึกบึนที่มีใบหน้าแข็งกร้าวจากสงคราม มีนักเวทชุดแดงสวมหน้ากากกะโหลกพาดอยู่บนบ่าของเขา

ข้างหลังเขาเป็นชายหนุ่มผมสั้นสีดำและดวงตาสีดำ

เมื่อแอนนีหันไปมอง เธอก็สงสัยว่าชายชราที่เดินนำหน้าจะใช่เจ้าของร้านหนังสือหรือเปล่า

อืม…มันดูจะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ ด้วย ถึงแม้ว่าเขาจะดูมีบรรยากาศแข็งกร้าวไปหน่อย แต่ผมสีดอกเลาและออร่าของเขาก็ดูจะเป็นอย่างนั้นแหละ

คนอื่น ๆ ในคาเฟ่ต่างก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน พวกเขาเดาว่าคนคนนี้น่าจะเป็นคนที่สนับสนุนคุณพ่อวินเซนต์

เขาดูแข็งแกร่งมากจริง ๆ นั่นแหละ

ชายหนุ่มที่ตามมาข้างหลังนั่นคงจะเป็นผู้ช่วยคนหนึ่งของเขา…

วินเซนต์กับคล็อดเองก็เดินไปหาพวกเขาด้วยเช่นกัน

แอนนีมองตำรวจยอดมนุษย์จากกรมตำรวจเขตกลางโบกมือทักทายโจเซฟ “อาจารย์ครับ”

แล้วเขาก็หันไปโค้งให้หลินเจี๋ย “เจ้าของร้านหลิน!”

หืออ? แอนนีชะงัก หัวของเธอว่างเปล่าในขณะที่เธอมองชายหนุ่มผมดำผู้อ่อนเยาว์อย่างตกตะลึง

เขาดูเหมือนอายุแค่ยี่สิบเศษเองนะ!

แม้จะเป็นแม่ลูกสองแล้ว แต่แอนนีแต่งงานตั้งแต่ยังสาวและเพิ่งอายุยี่สิบห้าปีในตอนนี้ ชายหนุ่มคนนี้ดูอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเธอเลย

แต่เมื่อเธอนึกถึงคำพูดของอาเธนาที่ว่าผู้มีพลังเหนือธรรมชาติมีอายุขัยยืนยาวขึ้นมาได้ เธอก็ยอมรับความจริงนี้อย่างไม่ค่อยเต็มใจนัก

หลินเจี๋ยพยักหน้าตอบคล็อดก่อน แล้วเขาก็กวาดสายตาตรวจสอบไปรอบ ๆ และขมวดคิ้วให้ทุกความเสียหายที่เขาเห็น

แล้วเขาก็พูดกับโจเซฟด้วยสีหน้าที่มืดดำลง “หอการค้าแอชน่าจะสามารถระบุสถานที่ทำการซื้อขายได้ในอีกไม่กี่วันนี้ พวกคุณเริ่มออกข่าวแล้วดูมติประชาชนให้ด่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ได้แล้วล่ะครับ”