บทที่ 187 จดชื่อเก็บ

เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙]

บทที่ 187 จดชื่อเก็บ

ซูอันหันไปมองหญิงสาวชุดแดงซึ่งกำลังยืนอยู่ตรงประตูลานบ้านซึ่งเขาลืมปิดไปก่อนหน้านี้ สร้อยคอมุกโอ่อ่าห้อยอยู่รอบคอของนาง เน้นผิวที่เรียบเนียนของอีกฝ่าย เช่นเดียวกับสร้อยข้อมือหยกที่ถูกพันรอบข้อมือบาง

เพียงชำเลืองมองเขาก็บอกได้ว่าเครื่องประดับทั้งหมดที่หญิงสาวคนนี้สวมนั้นมีราคาแพงหูฉี่ “ใส่ของมีค่าเต็มตัวขนาดนี้ผู้หญิงคนนี้ไม่กลัวโดนปล้นรึไง?” ซูอันพึมพำเบา ๆ กับตัวเอง

“เจ้าเป็นใคร?” ซางหลิวอวี้มองไปที่หญิงสาวที่ยืนอยู่ตรงประตูด้วยสายตางุนงง

ความโกรธของหญิงสาวรุนแรงขึ้นไปอีก “ซางหลิวอวี้ เจ้าไม่รู้จักข้าได้ยังไง! ข้าเคยเข้าเรียนวิชาของเจ้ามาก่อนรอบหนึ่งเชียวนะ!”

ซางหลิวอวี้ตอบอย่างใจเย็น “นักศึกษาที่เรียนกับข้ามีมากมายข้าไม่อาจจำชื่อได้ทุกคนหรอก”

ความสงบนิ่งของซางหลิวอวี้ ดูเหมือนจะควบคุมอารมณ์ที่ร้อนแรงของหญิงสาวฝั่งตรงข้ามให้สงบลงได้เล็กน้อย

ถัดมา จู่ ๆ ชายคนหนึ่งซึ่งยืนอยู่ด้านหลังของหญิงสาวก็ก้าวออกมาแนะนำ “นี่คือคุณหนูใหญ่ของตระกูลอู๋ บุตรสาวของท่านอ๋องหยางเฉวียน… อู๋ฉิง”

ชายอีกคนหนึ่งที่อยู่ด้านหลังก้าวออกมาและกล่าวเสริมว่า “คุณหนูอู๋อยู่ในอันดับที่ห้าของสิบสุดยอดอันดับสาวงาม อาจารย์ซาง นี่ท่านไม่รู้จักคุณหนูอู๋จริง ๆ งั้นเหรอ?”

“หะ? ชื่อ อู๋ฉิง?” ซูอันอุทาน เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าจะมีใครมีชื่อแปลก ๆ เช่นนี้

**อู๋ฉิง แปลว่า ไร้หัวใจ**

ทั้งสามคนอีกฝ่ายขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีเมื่อได้ยินคำอุทานของซูอัน โดยเฉพาะอู๋ฉิงที่สีหน้าของเธอเปลี่ยนไปเป็นเดือดดาล “เมื่อกี้เจ้าพูดว่าอะไรนะ!?”

ท่านยั่วยุ อู๋ฉิง สำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น 233!

ซูอันรู้ตัวช้าไปหน่อย เขารีบชี้แจงอย่างรวดเร็วว่า “ไม่ ไม่ ข้า ข้า…อุทานเรื่องอื่น ข้าไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับชื่อของเจ้าว่ามันประหลาด…เอ๊ย! เอาเป็นว่า ๆ มันไม่ใช่อย่างที่เจ้าคิด!”

ซูอันรู้สึกเสียใจที่อธิบายออกไป เพราะมันมีแต่ทำให้เรื่องแย่ลง

“บังอาจ! นี่เจ้ากล้าล้อเลียนชื่อของคุณหนูอู๋งั้นเหรอ!” ลูกน้องสองคนที่อยู่ข้าง ๆ อู๋ฉิงตวาดขึ้นดังลั่นใส่ซูอัน

“บอกชื่อของเจ้ามา ! ข้าอยากจะรู้ว่าคนอย่างเจ้ามาจากตระกูลไหน เหตุใดถึงกล้าล้อเลียนชื่อของข้าเช่นนี้!” สีหน้าของอู๋ฉิงเดือดดาลมากกว่าเดิมราวกับภูเขาไฟที่ใกล้จะปะทุ

“ข้าไม่ใช่ใครอื่นนอกจากซือคุนผู้โด่งดัง!” ซูอันทุบหน้าอกของเขาในขณะที่ประกาศอย่างภาคภูมิใจ

ซางหลิวอวี้ตกตะลึง ผู้ชายคนนี้ไร้ยางอายมากกว่าที่นางคิดไปไกลโข!

“ซือคุน? เจ้าคือนายน้อยคนที่หกของตระกูลซือ?” อู๋ฉิงถามกลับ “ฮึ่ม ! หน้าตาของเจ้านับได้ว่าดูดีทีเดียว แต่เสียดายที่สันดานของเจ้ากลับไร้ยางอายได้ถึงขนาดนี้!”

ซูอันพยักหน้ารับอย่างรวดเร็ว “ถูกต้อง ข้าซือคุนเป็นพวกไร้ยางอาย ! เจ้าจงจำเรื่องนี้เอาไว้ให้ดีๆ!”

อู๋ฉิงตกตะลึง นางไม่คิดว่าเขาจะยอมรับอย่างตรงไปตรงมา “หึ ! ดีแล้วที่เจ้ากล้าพอที่จะรับได้กับตัวของเจ้าเอง”

เมื่อเห็นว่าอู๋ฉิงกำลังจะหลงเชื่อเด็กเลี้ยงแกะอย่างซูอันอย่างเต็มเปา ชายหนุ่มทั้งสองที่อยู่ข้างนางก็แอบกระซิบอย่างเร่งร้อน “คุณหนู ผู้ชายคนนี้คือซูอัน ไม่ใช่ซือคุน!”

ซูอันสร้างเรื่องโกลาหลครั้งใหญ่ในสถาบันช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ดังนั้นผู้คนส่วนใหญ่ในสถาบันจึงรู้จักเขา ส่วนสาเหตุที่อู๋ฉิงไม่รู้จักเขาเป็นเพราะก่อนหน้านี้นางมีธุระมากมายจนนางเพิ่งจะกลับมาที่สถาบันในวันนี้

“เจ้ากล้าโกหกข้าเหรอ!” ใบหน้าของอู๋ฉิงแดงขึ้นด้วยความโกรธ เพียงแค่คิดว่านางหลงเชื่อชายตรงหน้าอย่างง่าย ๆ มันก็ยิ่งทำให้นางโกรธจนควันแทบออกหู

ท่านยั่วยุ อู๋ฉิง สำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น 600 คะแนน!

“ชีวิตนี้เจ้าไม่เคยถูกหลอกมาก่อนเลยงั้นเหรอ?” ซูอันถามด้วยความสงสัย

“ไม่เคย ! ใครกันจะกล้าโกหกข้า!!” อู๋ฉิงตอบกลับด้วยสีหน้าเดือดดาลจนแดงก่ำ

“อ่า มิน่าล่ะทำไมเจ้าถึงเชื่อคนง่ายนัก” ซูอันเอ่ยขึ้นพร้อมกับพยักหน้าอย่างเข้าใจ

ปากของอู๋ฉิงอ้าออก แต่ไม่มีคำพูดใดออกมา

ท่านยั่วยุ อู๋ฉิง สำเร็จ

ได้รับคะแนนความโกรธแค้น 666!

นางสูดหายใจเข้าลึกเพื่อสงบสติอารมณ์ก่อนจะพูดว่า “เจ้าคือคนที่ฉู่ชูเหยียนเลือกสินะ?”

ซูอันรู้สึกประหลาดใจ “เจ้าสนิทกับชูเหยียนงั้นเหรอ?”

ถ้าทั้งสองคนเป็นเพื่อนสนิทกัน มันคงดูไม่เหมาะสมเกินไปสำหรับเขาที่จะได้รับคะแนนความโกรธจากอู๋ฉิง

“แน่นอนว่าเราสนิทกัน ไม่มีใครใกล้ชิดกับนางมากไปกว่าข้าแน่นอน !” อู๋ฉิงเยาะเย้ย “เมื่อข้าได้ยินว่านางเลือกผู้ชายไร้ประโยชน์มาเป็นสามี ข้าคิดว่านั่นเป็นเพียงแค่ข่าวลือเกินจริง แต่ตอนนี้ดูจากสารรูปของเจ้าแล้ว ดูเหมือนว่าข่าวลือที่เขาลือกันมันคงมีมูลความจริงอยู่บ้าง นอกจากจะไร้ประโยชน์แล้ว เจ้ายังเป็นปลิ้นปล้อนที่ไร้ยางอายอีกด้วย ! ไม่น่าแปลกใจเลยที่ใคร ๆ ในเมืองจันทร์กระจ่างต่างก็ดูหมิ่นเจ้า!”

เมื่อได้ยินคำพูดของอู๋ฉิง ซูอันก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก ขอบคุณพระเจ้าที่พวกนางไม่สนิทกัน และในไม่ช้าเขาก็นึกออกได้ว่าก่อนหน้านี้เขาเคยได้ยินว่างานประลองระหว่างตระกูลปีนี้จะไม่เหมือนกับปีก่อน ๆ เพราะปีนี้ตระกูลหยวนมีตระกูลขุนนางสนับสนุน ซึ่งตระกูลขุนนางนั้นก็คือตระกูลอู๋นั่นเอง!

ซูอันเดินไปหาอู๋ฉิงเพื่อประเมินนางอย่างระมัดระวัง ซึ่งเขายอมรับในใจว่าผู้หญิงคนนี้สวยสมกับที่ติดอันดับ 10 สุดยอดสาวงามจริง ๆ ถึงแม้ว่าอารมณ์ของนางจะรุนแรงไปสักหน่อยก็ตาม “คุณหนูอู๋ เจ้าเอาแต่เรียกข้าว่าเป็นคนไร้ค่าไร้ยางอาย แต่ตั้งแต่ที่เจ้าเดินเข้ามาข้าคิดว่าข้ายังไม่ได้ทำอะไรที่ไร้ยางอายต่อเจ้าเลยนี่นา ? หรือว่ามันเป็นเพราะในจิตของเจ้ามันเต็มไปด้วยเรื่องไร้ยางอาย.. เจ้าก็เลยเอาแต่ด่าข้าแบบนี้?”

การยืนอยู่ใกล้กับซูอันทำให้อู๋ฉิงรู้สึกหงุดหงิดในแบบที่อธิบายไม่ถูก นางถอยหลังไป 3 ก้าวและพูดว่า “เจ้าไม่ได้ยินคำพูดสกปรก ๆ ของตัวเจ้าเองบ้างรึไง ! เจ้าจะเป็นอะไรได้อีกถ้าไม่ไร้ยางอายต่อ…”

นางเริ่มด่าซูอันตามสัญชาตญาณ แต่ต่อมากลับต้องหยุดคำพูดของตัวเองเอาไว้กลางคัน หากนางยืนยันว่าซูอันเป็นคนไร้ยางอาย มันจะเป็นการยืนยันคำพูดของซูอันที่บอกว่านางมีความคิดไร้ยางอายมากมายอยู่ในใจ!

เมื่อเห็นอู๋ฉิงกำลังเสียเปรียบ ชายสองคนที่อยู่ข้าง ๆ อู๋ฉิงก็ก้าวออกมาข้างหน้าอย่างรวดเร็วเพื่อสนับสนุนนาง “ซูอัน เจ้ากล้าดียังไงถึงมาล้อเลียนคุณหนูอู๋ของเรา”

ซูอันมองชายสองคนที่ก้าวออกมาด่าเขาฉอด ๆ ด้วยความสนใจ “ข้าขอทราบได้ไหมว่าเจ้าสองคนเป็นใคร?”

ชายทางด้านซ้ายเชิดหน้าขึ้นอย่างภาคภูมิใจก่อนจะประกาศว่า “ข้าชื่อ ผานหลงแห่งตระกูลผาน จากเมืองตะวันจรัส!”

คนขวามือเชิดหน้าขึ้นเช่นกันและพูดว่า “ข้าชื่อ ฝูเฟิงจากตระกูลฝูแห่งเมืองตะวันจรัส!”

ตระกูลผานและตระกูลฝู ทั้งสองตระกูลนี้นับได้ว่าเป็น 2 ตระกูลที่โดดเด่น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้ทั้งสองเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าภาคภูมิใจเช่นนี้ และแม้ว่าตระกูลของพวกเขาจะไม่มีอำนาจเท่าตระกูลอู๋และฉู่ที่ใหญ่โต แต่อย่างน้อยพวกเขาก็เทียบได้กับตระกูลเจิ้ง หยวน และหวาง ของเมืองจันทร์กระจ่าง

สองคนนี้โตมากับอู๋ฉิง และรู้สึกทึ่งกับความงามของนางตั้งแต่แรกพบ ยิ่งไปกว่านั้น สถานะของตระกูลอู๋ในฐานะตระกูลขุนนางก็ยิ่งกระตุ้นให้พวกเขาสองคนประจบประแจงนางโดยหวังว่าสักวันหนึ่งนางจะมอบประโยชน์ให้กับพวกเขา

“ผานหลง ฝูเฟิง?” ซูอันเอ่ยทวนด้วยสีหน้าครุ่นคิด “อืม…ชื่อพวกนี้ฟังดูเหมาะกับเจ้าสองคนจริงๆ!”[1]

ซูอันหยิบสมุดบันทึกออกมาจากเสื้อคลุมของเขาและเขียนอะไรบางอย่างลงไป และจากนั้นเขาก็แสดงให้ชายทั้งสองดูและถามกลับ “‘ผาน’ กับ ‘ฝู’ เขียนแบบนี้ใช่ไหม?”

“เอ่อ…แบบนั้นไม่ใช่สักหน่อย ต้องเขียนแบบนี้ต่างหากถึงจะถูก” ทั้งสองคนขยับตามสัญชาตญาณเพื่อแก้ไขตัวอักษรที่ซูอันเขียนขึ้น อย่างไรก็ตาม ในไม่ช้าพวกเขาก็เริ่มจะรู้ตัวว่ามีบางอย่างผิดปกติ “เดี๋ยวนะ ทำไมเจ้าถึงพยายามจำชื่อพวกเราล่ะ?”

“หืม ? อ่อไม่มีอะไรมาก” ซูอันตอบอย่างใจเย็น “ข้าแค่กำลังคิดว่าจะทำให้พวกเจ้าสอบไม่ผ่านวิชาคณิตศาสตร์สักหน่อย แต่ข้ากลัวข้าจะลืมชื่อของพวกเจ้า ดังนั้นมันจึงเป็นการดีที่สุดที่จะจดชื่อพวกเจ้าเก็บเอาไว้ก่อน”

[1] ผานหลง ฝูเฟิง เป็นคำพูดที่แปลว่า ‘ปีนขึ้นไปบนหลังมังกรเพื่อเอื้อมเกาะหางหงส์’ หมายถึงคนที่พยายามเกาะบุคคลที่เหนือกว่าเพื่อทำให้ตัวเองก้าวขึ้นไปอยู่จุดที่สูงมากกว่าเดิม