ตอนที่ 167 ศาลาแปดเหลี่ยม

ในวันรุ่งขึ้นเมื่อปูอี้และต้าหนิวออกมาจากห้องสายตาของทุกๆคนก็จ้องมองมาที่ทั้งสองคนด้วยความหวาดกลัวไม่มีใครกล้าบุกเข้ามาโจมตีเพื่อแย่งชิงกุญแจอีกต่อไปพวกเขาย่อมไม่ใช่คนโง่และรู้ดีว่าสิ่งใดควรทําสิ่งใดไม่ควรทํา

อย่าดูถูกว่ามู่ลี้ยังอายุน้อย ชายหนุ่มคนนี้สามารถลงมือได้อย่างโหดเหี้ยมซึ่งเป็นเหตุผลที่ทําให้ทุกๆคนต้องหวาดกลัว

แม้แต่หลี่เหล่าลือก็ไม่ได้ออกมาจากห้องเลยเมื่อคืนนี้เขาซ่อนตัวอยู่ในห้องและตั้งใจฟังสิ่งที่เกิดขึ้นภายนอกตลอดเวลาเขาไม่รู้สึกหวาดกลัวมู่อี้เหมือนกับคนอื่นๆที่อยู่ข้างนอกเพราะในความคิดของเขานั้นอย่างน้อยม่อี้ก็ถือว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง

ตั้งแต่มู่ลี้ลงมาจากรถม้าเมื่อวานนี้เรื่องราวต่างๆก็กระจายออกไปอย่างรวดเร็วอย่างน้อยที่สุดผู้คนที่อยู่ห่างออกไป 100 ล้ําจากที่นี่รับทราบเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วหลายๆคนรีบหนีออกไปจากเมืองนี้ทันทีเมื่อได้ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้

แต่ก็มีหลายๆคนที่มั่นใจในความแข็งแกร่งของตนเองและรีบเข้ามาในเมืองนี้ทันที

ตอนเช้าของวันถัดมาเช่นนี้ยังถือว่าสงบสุขมาก!

แต่มู่อี้ก็รู้ดีว่านี่เป็นความสงบสุขก่อนที่พายุลูกใหญ่จะเข้ามา

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ม่อี้ก็ส่ายศีรษะและก้าวออกไปทันทีเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อวานนี้คงทําให้ชื่อเสียงของเขาเพิ่มมากขึ้นไปอีกและนี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องการเลยแต่เมื่อมาถึงจุดนี้แม้เขาจะรู้สึกเสียใจมันก็สายเกินไปแล้วกุญแจที่อยู่ในมือของเขาย่อมมอบให้กับคนอื่นไม่ได้ในขณะเดียวกันเขาก็อยากรู้ว่ามีคนมากมายเพียงใดที่ไม่หวั่นกลัวต่อความตาย

ในตอนบ่ายของวันนี้รถม้าออกเดินทางไปตามถนนสายหลักเพื่อเดินทางไปยังเมืองไคเฟิงและหยุดลงตรงหน้าร้านน้ำชาร้านหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมถนน ซึ่งเป็นที่สนใจของผู้คนมากมาย

รถม้าคันนี้ย่อมไม่ใช่รถม้าปกติ เพราะนี่คือถนนสายหลักที่จะเดินทางไปยังเมืองไคเฟิง ถนนเส้นนี้พาดผ่านจากทางทิศใต้ไปยังทิศเหนือ ผู้ที่อยู่ในรถม้าคือผู้ที่ทุกๆคนกําลังให้ความสนใจตอนนี้หลังจากนั้นคนที่ลงมาจากรถม้าเป็นคนแรกก็คือยักษ์ตนหนึ่ง

ยักษ์ตนนี้ย่อมเป็นต้าหนิวอย่างแน่นอนและจากนั้นมู่ธ์ก็เดินออกมาจากรถม้าด้วยเช่นกัน

ถ้าหากการที่ต้าหนิวออกมาจากรถม้าทําให้ทุกๆคนต้องตกตะลึง เช่นนั้นแล้วเมื่อได้เห็นม่อออกมาจากรถม้าบรรยากาศภายในร้านน้ำชาแห่งนี้ก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิงทันทีและทุกๆคนที่อยู่ในร้านน้ำชาก็รู้สึกกดดัน มากยิ่งขึ้น

ในตอนนี้ไม่ว่าเหตุการณ์ใดก็ตามที่ทําให้ผู้คนในยุทธภพให้ความสนใจเป็นจํานวนมากนั้นไม่ต้องเดาก็รู้ว่ามันต้องเกี่ยวข้องกับกุญแจแห่งเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ำเหลืองแน่นอน

ผู้คนมากมายต่างก็รู้ว่าในตอนนี้กุญแจอยู่ในมือของนักพรตเต๋ที่ยังอายุน้อยคนหนึ่งและข้างกายของเขานั้นมียักษ์ตนหนึ่งที่เป็นเหมือนกับองครักษ์ ซึ่งตรงตามลักษณะทั้งสองคนที่กําลังลงมาจากรถม้าหน้าร้านน้ำชา

ร้านน้ำชาแห่งนี้ปกติแล้วลูกค้าส่วนใหญ่คือผู้ที่สัญจรไปมาบนถนนสายหลักทิศเหนือใต้เส้นนี้และผู้คนส่วนใหญ่ที่อยู่ในร้านน้ำชาตอนนี้ต่างก็รับรู้ข้อมูลของมู่มาแล้วและกําลังจับตามอง

แต่ในครั้งนี้กลับไม่มีใครกล้าออกตัวลงมือเป็นคนแรก ความตายของชุ่ยเหิงย่อมเป็นบทเรียนที่ดีให้กับทุกๆคน

มู่อี้และต้าหนิวเดินเข้าไปในร้านน้ำชาแห่งนี้พร้อมกับความสนใจของทุกๆคนที่จ้องมองมาที่พวกเขาส่วนหลี่เหล่าฉือนั้นกําลังให้อาหารม้าของตนเองจึงไม่ได้ตามเข้ามาในร้านน้ำชาด้วย

“ท่านลูกค้าต้องการจะสั่งอะไรดีขอรับ?” เสี่ยวเอ้อที่เป็นคนดูแลร้านน้ำชาแห่งนี้ก็เดินเข้ามาหาตาหนิวทันทีศีรษะของเขาก้มต่ําด้วยความหวาดกลัวและต้าหนิวก็ต้องก้มศีรษะลงมาฟังด้วยเช่นกันว่าอีกฝ่ายกําลังพูดอะไร

ในตอนที่เสี่ยวเอ้อได้เห็นตาหนิวสีหน้าของเขาก็แสดงความหวาดกลัวออกมาทันที แต่เขาก็ยังกล้าออกมาถามเพราะอีกฝ่ายก็ถือเป็นลูกค้าคนหนึ่ง

“ชา 1 กา แล้วก็อาหารอะไรก็ได้สัก 2-3 อย่าง” ม่อี้ตอบกลับมาทันที

“เช่นนั้นโปรดรอสักครู่นะขอรับ” เสี่ยวเอ้อรีบตอบกลับมาทันที

หลังจากเสี่ยวเอ้อกลับไปแล้วนั้นผู้คนที่อยู่ในร้านน้ำชาแห่งนี้ก็กลับมาพูดคุยกันอีกครั้ง

ในร้านน้ำชาแห่งนี้มีโต๊ะอยู่แค่ประมาณ 5-6 โต๊ะเท่านั้น ลูกค้าในร้านน้ำชามีอยู่ประมาณ 10 กว่าคนดูจากการแต่งกายแล้วลูกค้าแต่ละโต๊ะนั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงมีทั้งพ่อค้า จอมยุทธหรือแม้กระทั่งหมอ

เดิมที่ก่อนหน้านี้คนเหล่านี้ก็กําลังพูดคุยกันอยู่แต่เมื่อม่อี้เดินเข้ามาที่นี่พวกเขาก็เลือกที่จะปิดปากอย่างพร้อมเพรียงกันและเหลือบมองมาที่มู่อี้และต้าหนิวอยู่หลายครั้ง

ม่อี้ก็เหลือบมองไปรอบๆร้านน้ำชาแห่งนี้และไม่ได้สนใจพวกเขาไม่ว่าคนเหล่านี้จะคิดอะไรอยู่ตราบใดที่ไม่เข้ามารบกวนเขาเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว

“ตึง!”

ในตอนที่เสี่ยวเอ้อกําลังยกน้ำชามานั้น ก็มีเสียงดังขึ้นมาจากถนนสายหลักทันที ฟังดูแล้วมันเป็นเสียงเท้าของม้าจํานวนมากที่กําลังวิ่งเข้ามาที่นี่

หลายๆคนที่อยู่ในร้านน้ำชาแห่งนี้รีบถอยออกไปเงียบๆทันที

ความจริงแล้วตั้งแต่ตอนที่มอั้มาถึงที่นี่ คนเหล่านี้ก็คิดเอาไว้แล้วว่าจะต้องเกิดเรื่องขึ้นแน่นอน เพราะผู้คนมากมายต่างก็ให้ความสนใจมู่อี้ในตอนนี้และตั้งแต่อาณาเขตของเมืองไคเฟิงไปจนถึงเมืองลั่วหยางก็มีการตามหาตัวเขาอยู่ตลอดเวลา

เพียงแต่ทุกๆคนไม่คิดว่าปัญหาจะมาถึงเร็วขนาดนี้ หลายๆคนยังคงอยู่ในร้านน้ำชาแห่งนี้เพื่อรอดูเรื่องสนุกที่กําลังเกิดขึ้นแต่อีกหลายๆคนก็รีบถอยออกไปจากที่นี่ทันที

ทุกๆคนในร้านน้ำชาแห่งนี้มีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่มู่อี้ให้ความสนใจ นั่นก็คือชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่มุมร้านและแต่งกายเหมือนกับหมอคนหนึ่งเขาจ้องมองถ้วยชาของตนเองอยู่ตลอดเวลาและในตอนที่ม่อี้เดินเข้ามาในร้านน้ำชานั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมามองและหันกลับไปมองถ้วยน้ำชาของตัวเองต่อ

เสียงเท้าของม้าเป็นจํานวนมากหยุดลงตรงหน้าร้านน้ำชาแห่งนี้ เมื่อมองผ่านหน้าต่างออกไปสู่อี้ก็ได้เห็นคนจํานวนมากที่แต่งกายด้วยชุดสีดําพร้อมกับตราสัญลักษณ์ที่ปักอยู่บนหน้าอกของพวกเขา

“สวรรค์และโลกจะตามติดทุกหนแห่ง!”

ทันใดนั้นชายในชุดดําเหล่านี้ก็ตะโกนออกมาพร้อมเพียงกัน

“คนของศาลาแปดเหลี่ยม!”

ผู้คนในร้านน้ำชาเริ่มกระซิบพูดคุยกันและจ้องมองออกไปด้วยความหวาดกลัว เห็นได้ชัดว่าศาลาแปดเหลี่ยมที่พวกเขาพูดถึงนั้นคงมีชื่อเสียงไม่น้อยเลย

ไม่ต้องพูดอะไรให้มากมาย ในตอนนี้มีคนประมาณ 10 กว่าคนที่นั่งอยู่บนหลังม้าและจ้องมองเข้ามาภายในร้านน้ำชาด้วยสายตาที่ดูดุดัน

“ศาลาแปดเหลี่ยมจะเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องในวันนี้เอง หวังว่าทุกท่านจะให้เกียรติข้า” จากนั้นคนที่ยืนอยู่หน้าสุดก็ตะโกนออกมาอีกครั้ง แม้เขาจะพูดว่าหวังว่าทุกๆคนจะให้เกียรติเขาแต่น้ำเสียงของเขานั้นก็ดูหยิ่งผยองอย่างยิ่ง

“โอ”

จากนั้นผู้คนที่อยู่ในร้านน้ำชาต่างก็รีบถอยออกมาทันที ไม่นานภายในร้านน้ำชาแห่งนี้ก็เหลืออยู่เพียง 3 คนเท่านั้นนั่นก็คือมู่ลี้ตาหนิวและชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงมุมร้าน ส่วนหลี่เหล่าลือเขาไม่ได้เข้ามาในร้านน้ำตั้งแต่แรกจึงไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ

ไม่จําเป็นต้องถามม่อี้ก็รู้ดีว่าคนของศาลาแปดเหลี่ยมมาที่นี่เพื่ออะไร แม้ว่านี่จะเป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินชื่อของศาลาแปดเหลี่ยมแต่ดูจากท่าทีของทุกๆคนก่อนหน้านี้ดูเหมือนว่าศาลาแปดเหลี่ยมจะใหญ่โตไม่เบา

แต่มันก็ถือเป็นเรื่องธรรมดาหลังจากข่าวเรื่องมู่อี้สามารถสังหารชุ่ยเหิงด้วยการชี้นิ้วเพียง 2 ครั้งและฉางชีพ่ายแพ้ต่อต้าหนิวกระจายออกไปก็ทําให้ใครหลายคนไม่กล้าเข้ามาหาเรื่องเขาและหลังจากนี้ศัตรูที่เข้ามาหาเขาก็ต้องมั่นใจว่าตนเองนั้นเหนือกว่าชุ่ยเหิง

ในความรู้สึกของมู่คนในกลุ่มนี้มีไม่น้อยกว่า 4 หรือ 5 คนที่แข็งแกร่งยิ่งกว่าชุ่ยเหิงและยังมีคนที่กลิ่นอายดูสงบนิ่งไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆแต่ย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน

“ท่านไม่หวาดกลัวต่อความตายงั้นหรือ?” มู่อี้ไม่สนใจคนของศาลาแปดเหลี่ยมที่อยู่ข้างนอกและมองไปยังชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ตรงมุมห้องพร้อมกับถามด้วยความสนใจ

“เจ้ากําลังพูดกับข้าหรือ?” ชายวัยกลางคนเงยหน้าขึ้นมาด้วยความประหลาดใจและเหลือบมองมาที่มู่ลี้

“ข้าคิดว่าที่นี่คงไม่มีคนอื่นแล้วนะขอรับ” มู่อี้ตอบกลับมา

“อ้อ!” ชายวัยกลางคนตอบกลับมาจากนั้นเขาก็คิดถึงคําพูดเมื่อครู่นี้ “หวาดกลัวต่อความตาย”

“ท่านมาที่นี่เพื่อแย่งชิงกุญแจด้วยหรือขอรับ?” มู่อี้ถามขึ้นมาทันที

“กุญแจอะไรกัน?” ชายวัยกลางคนเหลือบมองมาที่มู่อี้อีกครั้งหนึ่ง ดูเหมือนเขาไม่เข้าใจว่าม่อี้กําลังพูดเรื่องอะไรอยู่

“ย่อมเป็นกุญแจแห่งเส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ำเหลือง” มู่อี้ไม่สนใจว่าชายวัยกลางคนจะไม่ทราบเรื่องนี้จริงๆหรือแกล้งโง่แต่คนของศาลาแปดเหลี่ยมก็กําลังกระจายตัวล้อมรอบพวกเขาเอาไว้ในตอนนี้

“เส้นทางบรรพกาลแห่งแม่น้ำเหลืองงั้นหรือ? ไม่ล่ะ ข้าไม่สนใจ” ชายวัยกลางคนส่ายศีรษะ จากนั้นก็หยุดพูดคุยกับมู่อี้และหันไปจ้องมองถ้วยน้ำชาที่อยู่ในมือของตนเองต่อ

“น่าสนใจจริงๆ” มีรอยยิ้มปรากฏขึ้นในสายตาของมู่ จากนั้นเขาก็หันไปมองที่ประตูร้านน้ำชาอีกครั้ง

คนที่ยืนอยู่หน้าประตูก็จ้องมองมาที่มู่อี้ในเวลาเดียวกัน ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายจะมีอายุประมาณ 40 ปีและแต่ งกายด้วยชุดสีดําทั้งตัวแต่ชุดสีดําของเขานั้นมีการใช้เส้นไหมสีทองผสมลงไปด้วยจึงดูโดดเด่นกว่าคนอื่นๆนอกจากนี้แล้วยังมีตัวอักษร 2 ตัวที่ปักกอยู่บนหน้าอกของเขามันแปลออกมาได้ว่าตามติดทุกหนแห่ง!

ศาลาแปดเหลี่ยม ผู้ตามติดทุกหนแห่ง!

ในขณะที่มู่อี้จ้องมองไปที่อีกฝ่ายนั้น อีกฝ่ายก็จ้องมองมาที่มู่อี้ด้วยเช่นกัน

“ทิ้งกุญแจเอาไว้ที่นี่ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” น้ำเสียงที่ดูหยิ่งผยองอวดดีดังขึ้นมาทันที ดูเหมือนศัตรูของเขาจะพูดอย่างตรงไปตรงมา