บทที่ 162 คำตัดสินของเหยาเฉาไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่?
เสี่ยวเว่ยได้ยินคำพูดของหลินเหราก็พลันขมวดคิ้วแน่น จากนั้นเงยหน้ามองท้องฟ้าและถลึงตาใส่หลินเหรา “ถึงตอนนี้แล้วยังจะพล่ามอะไรอีก! ไหนบอกให้ข้านำทางมิใช่หรือ? ยังไม่รีบตามข้ามาอีก!”
หากถึงยามราตรีแล้วพี่รองถูกพาตัวไปยังห้องโถงกลาง ผลลัพธ์หลังจากนั้น…
ถึงตอนนั้นพวกโจรก็คงจะรวมตัวกัน หากคิดจะนำตัวเหยาเฉาออกมาโดยไม่ให้ได้รับบาดเจ็บ เกรงว่าคงเป็นเรื่องยากไม่ใช่น้อย
ใบหน้าของเด็กหนุ่มเต็มไปด้วยบาดแผลสดใหม่ ทำให้ดูโหดเหี้ยมมากขึ้น ช่างแตกต่างจากสีหน้าที่แต้มด้วยรอยยิ้มยามพูดกับเขาเมื่อครู่โดยสิ้นเชิง
แต่ครั้งนี้หลินเหรากลับไม่ได้สังเกตเห็นความเหี้ยมโหดและจิตสังหารเลยแม้แต่น้อย
เขายื่นมือขวาไปทางเสี่ยวเว่ย ก่อนส่งสัญญาณให้อีกฝ่ายนำทางไป
เสี่ยวเว่ยเบะปาก ไม่ได้พูดมากมายนัก
ระหว่างที่เดินตามเด็กหนุ่ม หลินเหราก็ได้รู้จักกับความสามารถที่เขาซุกซ่อนไว้
แม้ว่าเขาจะดูดื้อรั้นมาก แต่ในความเป็นจริงกลับมีความอดทนค่อนข้างสูงและมีความคิดที่ละเอียดอ่อน
ฝีเท้าที่เดินไปข้างหน้านั้นเบากริบมากจนแทบไร้สุ้มเสียงใด ๆ ทุกเป้าหมายที่เลือกเดินล้วนอาศัยสัญชาตญาณของตัวเองทั้งสิ้น ระหว่างที่หลินเหราเดินตามเขากลับไม่เจอกับโจรภูเขาที่กำลังลาดตระเวนอยู่เลยสักคนเดียว
ราวกับว่าเสี่ยวเว่ยเหมาะสมกับการแฝงตัวมาโดยกำเนิด มิน่าเล่าตอนนั้นที่เข้าไปในคุกใต้ดิน เหยาเฉาและเซวียชางทั้งสองคนถึงไม่สังเกตเห็นถึงการมีตัวตนของเขา
หากไม่ใช่เพราะโอกาสในตอนนี้ไม่เหมาะสม หลินเหราก็คงชอบใจเสี่ยวเว่ยผู้นี้ไปแล้ว หากในสนามรบมีทหารที่มีความเชี่ยวชาญในการซ่อนตัวเช่นนี้อยู่สักคน ก็ไม่รู้ว่าจะได้รับข่าวกรองที่มีมูลค่ามากมายเพียงใด
ท่ามกลางสนามรบ ข่าวกรองคือชีวิตของเหล่าทหารนับหมื่นนับพันนาย
เสี่ยวเว่ยทำได้แค่ก้มหน้าก้มตานำทางต่อไป โดยไม่รู้ว่าหลินเหราที่อยู่ด้านหลังนั้นกำลังสับสนวุ่นวายอยู่ในใจ คิดมากจนถึงขั้นมีความคิดจะพาตัวเขาไปเป็นทหารเลยทีเดียว
หลังจากที่ทั้งสองคนเดินมากันเป็นระยะเวลาหนึ่งก้านธูป ในที่สุดก็มาถึงห้องโถงกลางของค่ายลับที่มีการป้องกันอย่างแน่นหนา
เด็กหนุ่มหันกลับไป ขยิบตาให้หลินเหรา ทั้งสองคนนั่งยองซ่อนตัวอยู่หลังกำแพงที่มีพุ่มไม้บดบังไว้
เสี่ยวเว่ยมีรูปร่างไม่ใหญ่นัก หลังจากนั่งยองและห่อตัวเล็กน้อยก็ยิ่งทำให้ไม่รู้สึกถึงการมีตัวตนของเขา
เขามองไปทางหลินเหราแวบหนึ่ง ก่อนจะกระชากอีกฝ่ายลงมาซ่อนตัว และอธิบายเสียงเบาว่า “ที่นี่คือห้องโถงกลางของภูเขาเฮยหู่ ค่ายลับในตอนนี้มีหัวหน้าผู้โดดเด่นถึงสี่คน ซึ่งในความเป็นจริงก็ยังมีผู้นำโจรสูงสุดปกครองอีกที ปกติแล้วมักจะมาประชุมกันที่นี่ ผู้นำโจรสูงสุดผู้นั้นหลงใหลในสตรีอย่างมาก แต่ทุกครั้งที่เจอกับสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม ก็มักจะจัดงานสังสรรค์อึกทึกครึกโครม แนะนำให้ทุกคนได้รู้จัก ทั้งยังจัดพิธีที่แปลกประหลาดอย่างหนึ่งด้วย….”
หลินเหราฟังอย่างตั้งใจ แต่กลับไม่มีความปรารถนาที่จะสืบหาแต่อย่างใด
เบื้องลึกเบื้องหลังในพฤติกรรมที่แปลกประหลาดของพวกโจรภูเขามีสาเหตุมาจากอะไร พวกมันมีทัศนคติต่อสตรีไร้เดียงสาเหล่านั้นอย่างไร หลินเหราไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
เขาแค่ถามว่า “พิธีจะเริ่มตอนกลางคืนหรือ? แล้วมีคนแบบใดเข้าร่วมบ้าง? ทำอะไรกันบ้าง?”
เสี่ยวเว่ยมีเวลาทำความรู้จักกับหลินเหราเพียงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น แต่ก็เคยชินกับพฤติกรรมที่พุ่งตรงประเด็นของอีกฝ่าย เขาเบะปากตอบกลับไปว่า “ท้องฟ้ายังไม่มืด ทุกคนก็เตรียมพร้อมกันแล้ว บุคคลที่มีคนนับหน้าถือตาในค่ายลับต่างก็เข้าร่วมทั้งสิ้น นอกจากผู้นำโจรแล้ว คนภายนอกต่างก็มีเนื้อมีเหล้าให้ดื่มกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ จะให้ทำอะไรได้อีก?”
หลินเหราไม่ได้สืบหาว่าเสี่ยวเว่ยไปได้ข้อมูลมาจากที่ใด เหตุผลที่เขาต้องตามมาถึงค่ายภูเขาเฮยหู่ เขาก็ไม่เคยปริปากถาม
หลินเหราพยักหน้าบ่งบอกว่าตัวเองเข้าใจแล้ว จึงเอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำว่า “แล้วตอนนี้ผู้นำโจรภูเขาอยู่ที่ใด?”
เสี่ยวเว่ยได้นำเรื่องที่ตัวเองรู้ ไม่ว่าจะเล็กหรือจะใหญ่บอกกับหลินเหราหมดสิ้น เมื่อเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายยังคงแสดงสีหน้าเรียบเฉยเช่นนั้น ก็พลันอึดอัดทันใด “ข้าไม่ใช่โจรภูเขาสักหน่อย จะรู้ละเอียดถึงเพียงนั้นได้อย่างไร? ไหนว่าจะไปสืบหาเล่า!
ครั้งนี้หลินเหราไม่แม้แต่จะตอบ “อื้อ” กลับมา จากนั้นก็หันกลับไปเริ่มสังเกตโครงสร้างจากสิ่งปลูกสร้างแห่งนี้
ค่ายลับถูกสร้างขึ้นบนยอดเขาสูงสุดของภูเขาเฮยหู่ แต่กลับมีที่ดินที่มีพื้นที่กว้างขวางและราบเรียบโดยธรรมชาติ ไม่มีอุปสรรคใด ๆ กระทั่งได้ปรับปรุงจนกลายมาเป็นค่ายใหญ่ของโจรภูเขาแห่งนี้
เพียงแต่โจรยังไงก็เป็นโจรอยู่วันยังค่ำ บ้างก็ลงจากเขาผันตัวกลายเป็นชาวบ้าน บ้างก็ออกไปแล้วไม่กลับมาอีก บางคนก็ถูกทางการฆ่าตาย
ผู้คนที่ไปมาหาสู่ในตอนนี้ เจ้าปรับปรุง ข้าสรรค์สร้างส่วนหนึ่ง ทำให้ค่ายแห่งนี้เหมือนหัวมังกุท้ายมังกร[1] ไม่มากก็น้อย
ห้องโถงด้านหน้าตั้งอยู่ตรงกลางของค่ายลับ เป็นสถานที่ที่ได้รับการปรับปรุงจนสง่างามที่สุดในค่ายลับบนภูเขาเฮยหู่ ซึ่งสามารถหาเจอได้โดยง่าย
เสี่ยวเว่ยไม่พอใจกับท่าทางแสนเย็นชาของหลินเหรา แต่กลับเห็นสายตาอันเฉียบคมของอีกฝ่ายที่คอยสอดส่องไปยังสิ่งที่อยู่โดยรอบครู่หนึ่ง จากนั้นก็เอ่ยกับเขาว่า “ที่แห่งนี้มีทางออกทั้งหมดสามทาง ประตูใหญ่แห่งหนึ่ง ประตูข้างแห่งหนึ่ง และประตูในมุมของลานด้านหลังอีกแห่งหนึ่ง หากล้อมจับโจรเหล่านี้ทั้งหมดให้ได้ในคราวเดียว การส่งคนไปเฝ้าทางออกทั้งสามแห่งน่าจะสะดวกที่สุด”
เด็กหนุ่มตะลึงงันไป ไม่รู้ว่าหลินเหราพูดเรื่องเหล่านี้กับเขาทำไม
ครั้นได้ยินอีกฝ่ายพูดต่อว่า “ถ้าอยากลดการบาดเจ็บล้มตายลง ทางที่ดีที่สุดคือการทำให้ทุกคนเสียความสามารถในการเคลื่อนไหว เจ้ามีวิธีการอย่างไรบ้าง ว่ามาสิ?”
บางทีอาจเป็นเพราะน้ำเสียงที่มั่นคงของหลินเหรามีความน่าเชื่อถือโดยสมบูรณ์ เสี่ยวเว่ยจึงครุ่นคิดตามเขาโดยไม่รู้ตัว จากนั้นก็พูดต่อว่า “คืนนี้มีงานเลี้ยงสังสรรค์ วิธีการที่ดีที่สุดคือถือโอกาสตอนที่พวกเขาเมากันแล้ว ทำการล้อมจับไว้ในคราวเดียว!”
หลินเหราส่ายหน้า “ไม่ได้ ดื่มสุราหลังงานเลี้ยงไม่เหมาะ เราจะต้องช่วยพี่รองออกมาให้ได้ก่อน จากนั้นบุกเข้าไปจับกุมผู้นำโจรภูเขา”
เสี่ยวเว่ยขมวดคิ้ว จากนั้นก็แสดงความคิดแผลง ๆ ออกมา “ถึงตอนนั้นพวกโจรส่วนใหญ่ก็คงอยู่ในห้องโถงด้านหน้า เราก็จัดการวางยานอนหลับไปเสียสิ…”
สายตาของหลินเหรายังคงเรียบเฉย ก่อนจะถามว่า “เจ้ามียานอนหลับหรือ?”
ของสิ่งนี้ฟังดูเป็นที่นิยมเอามาก ๆ แต่กลับเป็นของที่ไม่มีอยู่จริง ซึ่งเสี่ยวเว่ยย่อมไม่มีแน่นอน
เขาเลิกคิ้วสูง “เจ้าให้ข้าแสดงความเห็นไม่ใช่หรือ ข้าก็แค่คิดหาทางเท่านั้น”
หลินเหราไม่ได้คาดหวังว่าจะได้ผลลัพธ์ที่ดีจากเสี่ยวเว่ยอยู่แล้ว เขาจึงพยักหน้า บ่งบอกว่าตัวเองเข้าใจแล้ว
เด็กหนุ่มกำลังจะอ้าปากพูด แต่กลับได้ยินหลินเหราพูดต่อว่า “ห้องโถงด้านหน้าบรรจุคนได้ประมาณร้อยกว่าคน ในค่ายลับจะต้องมีจำนวนคนไม่เกินนี้ แต่กลับไม่ได้เข้าร่วมทุกคน ความจริงแค่ปิดประตู จากนั้นก็ยิงธนูไปยังลานบ้าน แล้วคอยเฝ้าสังเกตให้ดีว่ามีโจรเล็ดลอดออกมาหรือไม่ เท่านี้ก็สามารถควบคุมพวกเขาได้ทั้งหมดแล้ว โดยที่ใช้กำลังคนที่น้อยกว่าโจรภูเขาด้วยซ้ำ”
เรื่องนี้เสี่ยวเว่ยไม่เข้าใจความหมายของหลินเหรา
เขาเองก็มีนิสัยเอาแต่ใจตัวเองเช่นกัน มีอะไรก็ถามออกมาโดยตรง “ข้าไม่ใช่คนในจวนตรวจการของเจ้า…เจ้ามาพูดเช่นนี้กับข้าทำไม?”
หลินเหรามองไปทางเขาวูบหนึ่ง โดยไม่พูดสิ่งใด
แต่แล้วจู่ ๆ ก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นได้ เสี่ยวเว่ยจึงแสดงแววตาระแวดระวังออกมา ก่อนจะพูดว่า “บอกไว้ก่อนนะ อย่าคิดจะให้ข้าทำอะไรแทนฝ่ายขุนนางของพวกเจ้าเด็ดขาด”
หลินเหราเลิกคิ้วสูงเล็กน้อย “ฝ่ายขุนนางของใคร?”
เสี่ยวเว่ยเผยรอยยิ้มเหยียดหยามออกมาบนใบหน้าที่ยังดูอ่อนเยาว์ หากแต่ไม่ปริปากพูดสิ่งใด
หลินเหราคร้านจะสนใจความเกลียดชังและความรักในใจของเด็กหนุ่ม เขารู้เรื่องนั้นมาจากเหยาเฉาไม่มากนัก แค่ได้ยินว่าเสี่ยวเว่ยมีความแค้นต่อคนในฝ่ายขุนนาง เหมือนกับที่มีความแค้นฝังลึกต่อพวกโจร
สำหรับสาเหตุที่เสี่ยวเว่ยรู้สึกเช่นนี้กับคนในขุนฝ่ายนางนั้น….
เหยาเฉาไม่ได้บอก หลินเหราเองก็ไม่อยากรู้ ที่พูดในตอนนี้ก็แค่ต้องการทำตามแผนการที่วางไว้เพื่อวันข้างหน้าเท่านั้น
เขาไม่มีทีท่าจะปล่อยวางหัวข้อสนทนานี้ไปโดยง่าย จึงพูดต่อว่า “ข้าไม่ได้ทำเพื่อฝ่ายขุนนาง พี่รองเองก็เช่นกัน ทหารที่ได้รับการฝึกฝนอยู่ในจวนตรวจการของเรา เคลื่อนกำลังพลเข้าปราบปรามโจรภูเขา ล้วนเป็นการเสี่ยงอันตรายเพื่อตัวเองและคนข้างกายของเรา”
เห็นได้ชัดว่าสายตาของหลินเหราไม่ได้หยุดอยู่ที่เสี่ยวเว่ย แต่เขากลับรู้สึกอึดอัดมากทีเดียว ราวกับว่าถูกสายตาที่แวววาวของใครบางคนกำลังจ้องเขม็งอยู่ จึงอดนึกถึงวันเวลาเมื่อครั้งอดีต และคำพูดที่เหยาเฉาพูดต่อเขาไม่ได้
“เสี่ยวเว่ย เจ้ามีอิสระ หากไม่อยากอยู่ในจวนตรวจการ ก็ไปยังสถานที่อื่นก็ได้”
“บัดนี้สงคราม ณ ซีเป่ยเพิ่งสงบลง หลายปีที่ผ่านมาหายนะจากธรรมชาติและสิ่งที่มนุษย์สร้างบังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้แม้ว่าจะอยู่ในช่วงเวลาแห่งการฟื้นฟูเศรษฐกิจของบ้านเมือง แต่หากไม่ถือโอกาสนี้ฝึกฝนทหาร ไม่ถือโอกาสนี้เตรียมตัวในส่วนที่ยังไม่พร้อม รอให้เกิดสงครามอีกครั้ง แล้วค่อยไปทำหรืออย่างไร?”
“แม้จะไม่อยากอยู่ที่นี่ แต่ตอนนี้จวนผู้ตรวจการกำลังอยู่ในช่วงเวลาที่ต้องการกำลังพล คำว่ายุ่งตัวเป็นเกลียวสี่พยางค์นี้ ไม่ใช่สิ่งที่ผู้แซ่เหยาอยู่ ๆ จะกำหนดออกมาเอง แต่ถึงกระนั้นข้าก็ไม่อยากยุ่งตัวเป็นเกลียวเช่นนี้ทุกวัน จนต้องแยกจากภรรยา…แต่ในเมื่อความจริงเป็นเช่นนี้ ข้าก็ต้องเป็นเช่นนี้”
“เจ้าอายุยังน้อยนัก ไม่เคยมีภรรยาและลูก บางครั้งก็ไม่เข้าใจคำว่า ‘หน้าที่’ สองพยางค์นี้ เป็นคำที่สามารถทำให้ผู้คนยอมทุ่มเทด้วยความเต็มใจ”
เด็กหนุ่มนึกไม่ออกว่าหลังจากที่เขาได้ยินคำพูดนี้ของเหยาเฉาในวันนั้น เขามีปฏิกิริยาตอบสนองอย่างไร
ตอนนั้นเขาคิดว่าสาเหตุที่เหยาเฉาไม่ยอมออกจากจวนผู้ตรวจการนั้นเพื่อแสวงหาชื่อเสียง ผลประโยชน์ และศรัทธาในอำนาจเหมือนเช่นผู้อื่น
ความโกรธ ความรู้สึกพึงพอใจปั่นป่วนอยู่ในทรวงอกของเขา เขาทิ้งจดหมายไว้ในเช้าวันที่สอง และจากไปโดยไม่กลับมาอีก
วันนี้ก็ผ่านไปเนิ่นนานแล้ว เหยาเฉายังทำงานอยู่ในจวนผู้ตรวจการด้วยความขาวบริสุทธิ์ ไม่เคยตอบรับการร้องขอ อย่าว่าแต่เงินทองความมั่งคั่งเหล่านั้นเลย แม้แต่อำนาจก็ล้วนไม่เคยแตะต้องให้แปดเปื้อน
เมื่อมาคิดตอนนี้ เขาในตอนนั้นทึกทักเอาเองว่าคำตัดสินของเหยาเฉาไร้เหตุผลเกินไปหรือไม่?
…………………………………………………………………………………………………
[1] หัวมังกุท้ายมังกร หมายถึง ไม่กลมกลืนกัน มีหลายอย่างหลายแบบปนเปกันไปหมด
สารจากผู้แปล
จะช่วยพี่เฉาออกมายังไงนะ โจรก็มีไม่ใช่น้อย ๆ
เสี่ยวเว่ยมีความแค้นฝังลึกอะไรกับคนในตระกูลขุนนางกันนะ จะเกี่ยวข้องกับตระกูลของยัยคุณหนูนั่นหรือเปล่า
ไหหม่า(海馬)