ภาคที่สอง-หิมะใต้หล้า ตอนที่ 155 แม่ทัพใหญ่แซ่เผยคนนั้น

เจี้ยนกู่ เซียนกระบี่สยบหล้า

ตอนที่ 155 แม่ทัพใหญ่แซ่เผยคนนั้น

ยอดภูเขาแดง พายุรวดเร็วและดุดัน

สตรียกมือข้างหนึ่ง ฝ่ามือนางมีแสงสีขาวแวววาวไหลเวียน เมื่อนางกำมือก็ค่อยๆ รวมเป็นกระบี่ยาว

“องค์ชายทั้งสองท่าน คนธรรมดาไม่อาจมองเทพเจ้าได้…กลับไปในภูเขาแดงเถอะ จะได้ไม่โดนลูกหลง”

คำพูดนี้ คำว่าเทพเจ้าในความหมายเดิมหมายถึงการคงอยู่ระดับอมตะ แต่การคงอยู่อมตะเงียบเหงาไปในกาลเวลามานานแล้ว ต่อให้เป็นทุกเขาศักดิ์สิทธิ์ ก็เคยเรียกตัวเองว่าอมตะ แต่ตอนนี้กลับไม่เคยมีข่าวที่แน่นอนยืนยันได้ว่าการคงอยู่อมตะยังมีชีวิตอยู่จริง

ขอบเขตนิพพานกลายเป็นการคงอยู่ที่ใกล้เคียงกับเทพเจ้ามากที่สุดในโลก

เจ้าปราชญ์บ่อหยกยืนบนยอดเขา นางมีสีหน้าเรียบนิ่ง หลังปล่อยกระบี่ยาว ก็ให้มันลอยตรงหน้าตน งอนิ้วมือดีดตัวกระบี่เบาๆ ส่งเสียงดังกังวาน กระบี่ยาวเล่มนั้นพุ่งลงไปข้างหน้าช้าๆ ตอนที่พุ่งขึ้นสูงปราณกระบี่ก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก เหมือนน้ำเดือดกระจายจากในตัวกระบี่ ชั่วครู่เดียวก็ปกคลุมไปทั้งภูเขาแดง

ตัวกระบี่เหมือนดวงจันทร์สุกสกาว ลอยอยู่สูงมาก

ตรงท้องภูเขาแดงที่พังทลายลงถูกปราณกระบี่ผนึก มองจากภายนอกเป็นหมอกอบอวล ไม่เห็นความจริง

ทำทุกอย่างเรียบร้อย เจ้าปราชญ์บ่อหยกก็ไม่ลงมืออีก

ซ่งอีเหรินรู้สึกว่าใต้เท้าตน ทั้งภูเขาแดงไม่ใช่แค่ไม่หยุดสั่น แต่ยังโคลงเคลงรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ แทบจะยกลอยขึ้นจากพื้น

บิดาตนยืนอยู่บนยอดเขา หันหลังให้ตน ใบหน้าเฉยชา สองมือไพล่หลัง ไม่มีท่าทีจะลงมือเลย…แผ่นดินใหญ่ไกลลิบ สัตว์ปีศาจมากมายทยอยมากันไม่ขาดสาย ล้วนเติมเต็มอาหารให้กับปราชญ์ปีศาจโบราณนั่น ยิ่งนานเท่าไร ปราชญ์ปีศาจนั่นก็ยิ่งฟื้นกำลังมาได้มากเท่าไร แกร่งยิ่งขึ้นเรื่อยๆ

นี่จะทำอะไรกัน

ซ่งอีเหรินงุนงงเล็กน้อย

เจ้าปราชญ์บ่อหยกพูดนุ่มนวล “ซ่งเชวี่ย เจ้าสัมผัสได้ถึงผู้แข็งแกร่งใต้ฟ้าเผ่าปีศาจหรือไม่”

ซ่งเชวี่ยที่เป็นแขกพิเศษทางโลกของเขาวิญญาณส่ายหน้า

เขาพูดนิ่งๆ “ใต้ฟ้าเผ่าปีศาจอาจจะมีวิชาอำพรางบางอย่าง แต่คงไม่ออกมือ ปราชญ์ปฐมเติบใหญ่ใต้หัวเข่าของผู้สูงศักดิ์สวรรค์สำนักเต๋า ไม่เกี่ยวข้องกับคนพวกนั้นของเผ่าปีศาจ ดังนั้นศึกนี้…เจ้ากับข้าแค่ดูก็พอ พวกเขาไม่ออกมือ เราก็จะไม่ออกมือ”

ซ่งเหรินอีที่หยัดกายขึ้นช้าๆ ชุดคลุมแกว่งไกวกลางสายลมเกาศีรษะ สองผู้อาวุโสที่อยู่เหนือศีรษะตน สำแดงวิชาลับไกลพันลี้มาภูเขาแดง ไม่ใช่เพื่อสังหารสิงโตนี่…แต่เพื่อเฝ้าระวังยอดฝีมือขอบเขตนิพพานใต้ฟ้าเผ่าปีศาจรึ

เขาพลันมีสีหน้าแข็งทื่อเล็กน้อย หากบอกว่าบุพการีตนไม่สู้ศึกนี้ แล้วคนที่ออกหน้าจะเป็นใคร

ทั้งฟ้าดิน พลังหลอมรวมกันกลม ไม่กระจายออกไปข้างนอกแม้แต่นิด สององค์ชายที่ถูกปราณกระบี่ขังไว้ในหินผามองไม่เห็นภาพข้างนอก ได้แต่นั่งขัดสมาธิอยู่กับที่…สายเลือดพวกเขาเดือดพล่านขึ้นมาอย่างไร้การควบคุม

หลี่ไป๋หลินไม่อาจสงบใจลงได้ เขาลืมตาขึ้นมองพี่รองของตนที่มองตนด้วยสายตาเงียบงันแบบเดียวกัน

…….

บนยอดภูเขาแดง

“ต้องรออีกนานเท่าไร”

“อาจจะรอจนสิงโตนั่นพร้อม คงจะราวๆ ครึ่งชั่วยาม”

“จะว่าไป…ข้าก็ไม่เคยเห็นฝ่าบาทออกมือเลย” ซ่งเชวี่ยสวมชุดคลุมคราม ปกติเขาไม่ชอบแต่งตัวแบบนี้ ใหญ่เกินไป ไม่สะดวก

เขาเป็นแขกพิเศษทางโลกของเขาวิญญาณ ตอนไม่ได้จุดเพลิงมรรคนิพพานก็เป็นแค่คนธรรมดาท่องยุทธภพ พรสวรรค์ไม่ธรรมดา แต่กลับไม่สร้างคลื่นใหญ่อะไรมาก

ผูกวาสนากับเขาวิญญาณก็เป็นเรื่องเมื่อสองร้อยปีก่อน นับจากนั้นมาเขาก็เริ่มก้าวสู่โลกบำเพ็ญ เริ่มเผยแวว สุดท้ายต่อไฟที่เขาเจดีย์พุทธ สืบทอดมรรคผลสำเร็จ จนถึงตอนนี้ก็ร้อยกว่าปีแล้ว…กาลเวลาไม่ไว้ชีวิตคน เขามีอายุที่คนธรรมดาไม่อาจจินตนาการได้ สองร้อยกว่าปีผ่านไป ใบหน้าก็ยังมีร่องรอยแก่ชราเพิ่มมาสองสามรอย

รอยเล็กๆ พวกนี้ใช้พลังแสงดาราแนบกับปลายนิ้วก็ลบไปได้สบายๆ แต่ซ่งเชวี่ยไม่ทำเช่นนั้น

เขาดูยังหนุ่ม แต่ในตัวไม่มีความมีชีวิตชีวาของอายุยี่สิบ ยามที่ชุดคลุมสะบัดขึ้นยังราบเรียบ เหมือนคนชราที่อยู่มาพันปีมากกว่า นี่คือราคาต้องจ่ายที่แลกมากับชีวิตนิรันดร์ ต่อไฟสืบทอดมรรคผลโพธิสัตว์ ซ่งเชวี่ยได้รับความเลื่อมใสจากเขาวิญญาณ ไม่ใช่เพราะนาม ‘ซ่งเชวี่ย’ แต่เพราะเขาเป็นตัวแทนพระโพธิสัตว์ท่านนั้นท่องโลกในภพที่สอง นี่เป็นการสืบทอดทางความเชื่ออย่างหนึ่ง สิ่งที่เหล่าสาวกศรัทธา ไม่ใช่คนนั้นที่แท้จริง

แต่เป็นจิตใจเลื่อนลอยว่างเปล่าบางอย่าง

บนเส้นทางสู่ชีวิตนิรันดร์ ผู้บำเพ็ญขอบเขตนิพพานทุกท่านล้วนเป็นคนนั้นที่เข้าใกล้ปลายทางที่สุด

จูเชวี่ยมองภรรยาของตน เจ้าปราชญ์บ่อหยกแดนบูรพากูอีเหริน ในใต้ฟ้าต้าสุยปัจจุบันนี้ บนเส้นทางผู้บำเพ็ญใหญ่ ไม่มีคู่ชีวิตใดไปได้ไกลกว่าขอบเขตพลังของตนกับภรรยา หากเพียงแค่แสวงหาชีวิตนิรันดร์…พวกเขาจะไม่ให้กำเนิดบุตรชายที่นำชื่อคนละครึ่งมาตั้ง

‘การนั่งลืม’ ของสำนักเต๋ากับการ ‘ต่อไฟ’ ของฝ่ายพุทธ ให้เวลาพวกเขาอย่างน้อยห้าร้อยปี เทียบกับอายุขัยยืนยาวแล้ว เวลาที่พวกเขามาโลกนี้สั้นมากจริงๆ มองไป แทบจะพูดได้ว่าเป็นขอบเขตนิพพานที่อายุน้อยที่สุด ที่นี่ยังมีภูลำธารใหญ่ ดอกไม้หลายร้อยเบ่งบาน ต่อให้ข้ามก้าวนั้นไม่ได้ ขอแค่เคียงข้างกันมองทอดไกล ความจริงก็ไม่มีอะไรให้เสียดาย

ซ่งเชวี่ยยืนบนยอดภูเขาแดง เขาหรี่ตาลง นึกถึงวันนั้นที่ตนต่อไฟสำเร็จ ในเขตต้าสุยมีขอบเขตนิพพานเพิ่มมาอีกคน มองไปในวันนั้น คนที่สูงส่งไม่อาจเอื้อมต่างสำแดงวิชาลับก้าวมาจากเมฆหมอก พากันแสดงความยินดีกับตน

นั่นเป็นเรื่องเมื่อร้อยปีก่อน

ก่อนต่อไฟ จูเชวี่ยกับกูอีเหรินเป็นคู่ชีวิตกันแล้ว การต่อไฟของฝ่ายพุทธต่างจากการนั่งลืม หากพลาดมีโอกาสสูงมากที่จะสิ้นชีพลง…เขาเคยลังเลและเคยถอย สุดท้ายก็ลองเดินก้าวนั้น เพราะสำนักเต๋าให้การสนับสนุนอย่างมาก เตรียมสมบัติไว้มากมาย เขาถึงได้สำเร็จอย่างยากลำบาก

หลังจากต่อไฟสำเร็จ เรื่องหลายอย่างก็ไม่พัวพันเขาอีก จูเชวี่ยยังได้รับเชิญจากฝ่าบาทให้ไปดื่มชา

ในวัง เขาได้เห็นใบหน้าแท้จริงของเจ้าของใต้ฟ้าต้าสุยปัจจุบันสมใจหวัง…ในความทรงจำตอนเขาต่อไฟ แขกพิเศษฝ่ายพุทธที่ต่อไฟล้มเหลวคนก่อนเคยได้พบจักรพรรดิไท่จงตอนยังหนุ่ม และการพบหน้ากันครั้งนี้ก็ผ่านมาหลายร้อยปีแล้ว

ตอนซ่งเชวี่ยดื่มชา ใบหน้าดูเรียบนิ่ง แต่ในใจไม่สงบเลย

ในตัวจักรพรรดิมีกาลเวลาผ่านไปห้าร้อยปี บุรุษคนนั้นยังไม่เห็นร่องรอยของความแก่ชราเลย

ในความทรงจำของแจกพิเศษฝ่ายพุทธคนก่อน จักรพรรดิหนุ่มที่มีจิตใจเร่าร้อนคนนั้นกลายเป็นสุขุมและเงียบงัน มีชีวิตเกินขีดจำกัดเวลาที่แทบจะไม่มีใครไปถึงได้ในโลก เขายังคงไม่เกรงกลัววันนั้นที่ความตายมาถึง…ห้าร้อยปีคือขีดจำกัดใหญ่ของทุกคน นี่คือกฎฟ้าดิน ไม่อาจข้ามธรณีประตูได้

ซ่งเชวี่ยที่เพิ่งทะลวงพลังตอนนั้น เห็นจักรพรรดิเหมือนภูเขาครามในหมอก เดิมทีเขาคิดว่าตนก้าวขึ้นมาชั้นหนึ่งในโลกแล้ว ต่อมาถึงพบว่าไม่ใช่เช่นนั้น จักรพรรดิท่านนั้นไม่ถูกกาลเวลาจำกัด แทบจะอยู่ไปได้อีกห้าร้อยปีที่สอง ระหว่างสองคนดูเหมือนนั่งนิ่ง แต่ความจริงต่างกันราวเมฆและดินเลน

ต่อมาซ่งเชวี่ยไล่ความคิดไร้สาระออกไป หลังจากเขานิพพาน ทุกครั้งที่พลังบำเพ็ญหยุดนิ่งก็จะเข้ามาเมืองหลวง พบจักรพรรดิครั้งหนึ่ง ทุกครั้งที่พบกัน เขาจะเกิดความรู้สึกต่ำต้อยที่ได้แต่มองไม่อาจเอื้อม

เหมือนเห็นภูเขาคราม เหมือนเห็นทะเลลึก เหมือนเห็นท้องนภา

หากไม่ใช่เพราะมังกรซ่อนไม่ออกมา ก็คงจะทะยานขึ้นสวรรค์เก้าชั้นไปนานแล้ว

ขอบเขตนิพพานไม่มีการแบ่งที่ชัดเจนมากกว่านี้ คนที่มาถึงตรงนี้ได้ ตั้งแต่อดีตจนถึงตอนนี้เรียกว่ามีน้อยมาก

แต่ซ่งเชวี่ยมีความมั่นใจอย่างหนึ่ง…หากจักรพรรดิท่านนั้นลงมือ จะสังหารผู้บำเพ็ญขอบเขตนิพพานทุกคนได้ในโลกนี้ วัตถุโบราณของเขาศักดิ์สิทธิ์ อยู่ต่อหน้าจักรพรรดิก็เป็นเพียงไม้ผุทุบทีเดียวหัก

นอกจากข้อยกเว้นหนึ่ง…

ซ่งเชวี่ยที่ยืนบนยอดภูเขาแดงสะบัดชุดคลุมคราม เขากลั้นลมหายใจ มองสุสานไกลลิบ

พลังของปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณยังคงเพิ่มขึ้น กลับลงมาจากทะเลหมอก เขาน่าจะยืมโลหิตบริสุทธิ์ของยอดฝีมือใต้ฟ้าเผ่าปีศาจสักคน ถึงได้ฟื้นคืนกลับมาในความหมายแท้จริง ซ่งเชวี่ยรู้ว่าใต้ฟ้าเผ่าปีศาจมียอดพยากรณ์แห่งหัวเมืองธารน้ำ ก่อนหน้านี้ปรากฏพลังปีศาจขึ้นลับๆ น่าจะเป็นของผู้เฒ่านั่น เขามาที่นี่ก็เพื่อขวางผู้แข็งแกร่งใต้ฟ้าเผ่าปีศาจออกมือ ให้สงครามที่จะเกิดขึ้นมีเรื่องเหนือความคาดหมายเพิ่มมาเล็กน้อย

“ฝ่าบาทจะลงมือด้วยตัวเอง…” เสียงของเจ้าปราชญ์บ่อหยกเบามาก นางพูดงึมงำ “เขากำลังรอปราชญ์ปฐมเก้าวิญญาณฟื้นกำลังกลับมาทั้งหมด จากนั้นตัดสินอย่างยุติธรรม ข้าเหมือนจะเคยเห็นแบบนี้มาก่อน”

ซ่งเชวี่ยถอนหายใจเบา

ใช่

เคยเห็นแบบนี้มาก่อนแล้ว

จักรพรรดิไม่เคยขี้เหนียวชี้แนะการฝึกบำเพ็ญของตนเลย เขาไม่กลัวใครแซงหน้าตน ซ่งเชวี่ยรู้ว่าวัดกันที่พลังบำเพ็ญ ชีวิตนี้ตนคงตามไท่จงไม่ทัน ใต้ฟ้าต้าสุยตอนนี้…แทบไม่มีใครมองเห็นเงาแผ่นหลังเขาได้

แต่เคยมีข้อยกเว้นหนึ่ง

ซ่งอีเหรินที่ยืนอยู่บนยอดเขาข้างหลังบิดาตนหรี่ตาลง หยั่งเชิงเอ่ยถามเสียงเบา

“เผยหมินรึ”

ซ่งเชวี่ยเงียบ แค่พยักหน้าช้าๆ

แดนอุดรต้าสุยเคยมีขุนพลแซ่เผยคนหนึ่ง ตายในค่ำคืนโลหิตเมืองหลวง คืนนั้นคล้ายกับตอนนี้สามส่วน…จักรพรรดิต่อสู้กับเผยหมินอย่างยุติธรรม เจ้าเขาศักดิ์สิทธิ์บาดเจ็บสาหัสจากปราณกระบี่ เลือดนองเป็นสายน้ำ กฎเหล็กเมืองหลวงปลดออก ตอนที่ซ่งเชวี่ยกับภรรยามาถึง ก็ยืนบนหัวเมืองหลวง กางม่านยักษ์ปกป้องประชาชนในเมืองไว้

บนฟ้าในระยะร้อยลี้ ปราณกระบี่โหมซัดสาด ชีพจรมังกรขาดสะบั้น

เมื่อแสงอรุณส่องลงมา มหาศึกปิดฉากลง กระบี่หักเล่มหนึ่งตกลงมาจากฟ้า

ดังนั้นตระกูลเผยจึงล่มสลาย ศิษย์ปราชญ์กระบี่แซ่สวีคนนั้นเริ่มเดินบนเส้นทางล้างแค้นอันยาวนาน

“นี่เป็นศึกที่ยุติธรรมมาก” ซ่งเชวี่ยหลับตาลง สายลมพัดผ่านจอนผมสองข้างของเขา พัดเส้นผมปลิวไสวเบาๆ เขาเหมือนกำลังนึกไปถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในคืนนั้น ก่อนพูดเสียงเบา “แต่มีคนที่เห็นการต่อสู้น้อยมาก ดังนั้นข่าวพวกนั้นที่แพร่งพรายออกไปจึงไม่ใช่ความจริง”

ซ่งอีเหรินเอานิ้วเคาะดาบยาวที่ห้อยตรงเอวเบาๆ ถามเหมือนคิดอะไรบางอย่าง “เช่นนั้นความจริงคืออะไร”

ซ่งเชวี่ยเงียบอยู่นานมาก

เขาส่ายหน้า “ไม่มีใครรู้ความจริง นอกจากฝ่าบาทกับท่านเผยหมินแล้ว จะมีใครรู้อีก”

ซ่งเชวี่ยยืนบนยอดเขา เขามองสุสานไกลลิบพลางงึมงำ “เผยหมินแกร่งมากจริงๆ เขาทำให้ฝ่าบาทเกิดรอยแผลมรรคที่ไม่อาจสมานได้ ผ่านไปหลายปี…ไม่รู้ว่าบาดแผลของฝ่าบาทดีขึ้นบ้างหรือไม่”