บทที่ 168.1 สองผัวเมียรังแกพ่อ (1)

สามีข้าคือขุนนางใหญ่

กู้ฉังชิงเดินมาถึงหน้าประตู มองประตูห้องที่ปิดสนิท แล้วหันไปมองกู้เฉิงหลิน “เป็นอะไรไป”

กู้เฉิงหลินเอ่ย “เอ่อ ข้อรอพี่รองไปกินข้าวกับท่านปู่ พี่รองเปลี่ยนเสื้อผ้าอยู่”

กู้ฉิงชิงเอ่ยเสียงเรียบ “พรุ่งนี้เช้าจะไปที่เรือนตระกูลหลิงสักหน่อย พวกเจ้าเตรียมตัวด้วย”

“รับทราบขอรับ” กู้เฉิงหลินรับคำ

กู้ฉังชิงมองไปยังประตูที่ปิดสนิทอีกครั้ง “เฉิงเฟิง เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่”

กู้เฉิงเฟิงกัดฟันฝืนตัวสวมเสื้อผ้าพลางเอ่ย “ข้าไม่เป็นอะไรขอรับ เย็นนี้พี่ใหญ่จะไปกินข้าวที่เรือนท่านปู่ด้วยหรือไม่”

กู้ฉังชิงเอ่ย “ข้าจะไปที่ค่ายทหารสักหน่อย คืนนี้คงไม่กลับมา”

“แล้วปีใหม่ท่านจะกลับมาหรือไม่” กู้เฉิงเฟิงถาม

วันมะรืนก็เป็นวันปีใหม่แล้ว

กู้ฉังชิงชะงักไป “น่าจะกลับมา”

กู้เฉิงเฟิงรออยู่ในห้องเงียบๆ เมื่อมั่นใจว่าได้ยินเสียงกู้ฉังชิงเดินออกไปไกลแล้ว ข้าจึงโยนเสื้อผ้าอาบเลือดเข้าไปในกระถางถ่าน ก่อนทั้งหมดถูกเปลวไฟเผาไหม้จนสิ้น!

ณ ตรอกปี้สุ่ย

กู้เจียวเองก็กลับมาถึงบ้านแล้วเช่นกัน

ร่างของนางมีทั้งแผลถลอกและแผลกดทับมากมายจนแทบไม่มีทางปกปิดได้ จึงทำได้เพียงเล่าเรื่องราวที่ตนประสบพบเจอไปตามความจริง

“โรงมหรสพถล่มลงมา ข้าถูกทับอยู่ข้างล่าง”

นางไม่ได้บอกว่าตอนนั้นตนเองอยู่ที่ห้องเก็บของชั้นใต้ดิน ถึงแม้จะอยู่ด้านบนก็มีความเป็นไปได้ที่จะร่วงตกลงไปตามรอยร้าวแล้วก็ถูกทับเช่นกัน

“เหตุใดเจียวเจียวถึงไปที่โรงมหรสพเล่า” เสี่ยวจิ้งคงถามพลางเบิกตาโพรง ดวงตากลมโตของเขาเต็มไปด้วยความกังวลและเจ็บปวด

กู้เจียวหมุนหัวโล้นน้อยๆ โยกไปมา “แค่ไปเดินเที่ยวเล่นน่ะ น่าเสียดาย ผลไม้เคลือบน้ำตาลที่ซื้อมาให้พวกเจ้าไม่มีแล้ว”

เพราะตะกร้าถูกทับจนพังยับเยิน

เสี่ยวจิ้งคงมุดหัวเข้าหาอ้อมอกของกู้เจียว ก่อนจะเอ่ยอย่างเศร้าสร้อย “ข้าไม่ต้องการผลไม้เคลือบน้ำตาล! ข้าต้องการแค่เจียวเจียว!”

กู้เจียวเอนพิงหัวเตียง มองดูเด็กน้อยที่หวาดกลัวในอ้อมกอดของตนเอง พลางรำพึงอยู่ในใจว่านี่คือความรู้สึกของการเป็นที่ต้องการของใครสักคนสินะ

“ข้าไม่เป็นอะไร” นางมองสายตาเป็นห่วงเป็นใยของคนทั้งห้อง ก่อนจะยิ้มออกมา “ไม่เป็นอะไรจริงๆ”

บาดเจ็บแค่นี้สำหรับนางไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร

ทว่าในสายตาของคนในบ้านนั้น อาการบาดเจ็บของนางนั้นสาหัสนัก ถึงขั้นว่าห้ามลงจากเตียงเป็นอันขาด!

หญิงชราให้กู้เจียวนอนพักอยู่บนเตียง ไม่ให้นางกังวลเรื่องงานต่างๆ ภายในเรือน

ก็แค่ทำอาหารไม่ใช่หรอกหรือ

คนทั้งบ้านนั่งอยู่ที่กลางโถง เจ้ามองข้า ข้ามองเจ้า

แล้วก็เป็นเซียวลิ่วหลังที่กระแอมขึ้นมาพลางเอ่ยขึ้น “ข้าจะไปทำกับข้าว”

ทุกคนในบ้าน “ห้ามเด็ดขาด!”

ตัวเองทำอาหารรสชาติกลืนไม่ลงแค่ไหนไม่รู้ตัวเลยหรืออย่างไร!

หญิงชรางานบ้านงานเรือนไม่เอาอ่าว กู้เหยี่ยนและเสี่ยวจิ้งคงก็ทำอาหารไม่เป็น เหลือเพียงแค่กู้เสี่ยวซุ่น แต่ฝีมือการทำอาหารของก็ไม่ได้ดีกว่าเซียวลิ่วหลังสักเท่าไหร่

ยามนี้หญิงชราคิดถึงเซวียหนิงเซียงจับใจ

เซียงเซียงทำกับข้าวอร่อยยิ่งนัก

เสี่ยวจิ้งคง “ข้าเห็นด้วย”

กู้เสี่ยวซุ่น “ข้าเห็นด้วย”

กู้เหยี่ยน “ข้าเห็นด้วย”

เซียวลิ่วหลัง “…”

สุดท้ายหญิงชราก็ต้องสูดหายใจลึกแล้วเดินไปยังเรือนที่อยู่ติดกัน

จี้จิ่วอาวุโสกำลังเขียนแผ่นป้ายติดประตูอยู่ในเรือน ได้ยินเสียงเคาะประตูอยู่สักพักก่อนประตูจะถูกถีบให้เปิดออก

จี้จิ่วอาวุโสตกใจจนตัวสั่นงันงง “ข้าไม่มีเงินส่วนตัวแล้ว!”

หญิงชราวางมีดอีโต้ลงบนโต๊ะ “ไปทำกับข้าว”

จี้จิ่วอาวุโส “…”

หลังจากนั้นสิบห้านาที จี้จิ่วอาวุโสก็มาปรากฏตัวอยู่ในห้องครัวของเรือนข้างกัน

คนอย่างจี้จิ่วผู้ยิ่งใหญ่ประจำแคว้นก็ถึงคราที่ต้องมาเป็นพ่อครัวให้กับศัตรูตัวฉกาจแล้วหรือนี่

ช่างเถิด เขาแค่ทำใจยอมให้ศิษย์รักและผู้มีพระคุณต้องอดข้าวไม่ได้เท่านั้นหรอก

ไม่ได้ต้องการช่วยเหลือนางมารร้ายไทเฮาล่มแคว้นผู้นั้นเสียหน่อย!

เพียงแต่ เหตุใดผักวันนี้ถึงได้เขียวไปหมด

ต้นหอม คื่นช่าย กะหล่ำ ถั่วเขียว ถั่วงอก…

จี้จิ่วอาวุโสหั่นผักบนเขียงหินไปพลาง ในใจก็บ่นไปพลางว่า ‘ฮ่องเต้พระองค์ก่อนโปรดวางพระทัย ข้าน้อยไม่มีทางสวมเขาให้พระองค์แน่นอน!’

“ท่านปู่!” เสี่ยวจิ้งคงตะโกนเรียกจากลานบ้าน

จี้จิ่วอาวุโสวางมีดอีโต้ลง “มาแล้ว!”

ทว่าเพียงเท่านี้คงชดเชยความผิดที่มีต่อฮ่องเต้พระองค์ก่อนไม่ได้ “…”

จี้จิ่วทำอาหารหกจานและน้ำแกงหนึ่งหม้อ หน้าตาอาหารดูหรูหรากว่าฝีมือของกู้เจียวอย่างเห็นได้ชัด

เสี่ยวจิ้งคงไม่กินเนื้อสัตว์ เข้าจึงทำอาหารแยกต่างให้เสี่ยวจิ้งคง ได้แก่ ล้อมเว่ยช่วยจ้าว (เต้าหู้ห่อเนื้อเจ) ยุทธการปล้นเสบียง (งาผสมถั่วเขียวนึ่ง) ห่อผ้าไหมลับ (ซาลาเปาเต้าหู้ทอด) และสามขาสมดุล (ผัดผักรวมมิตร)

นอกจากจี้จิ่วอาวุโสจะตั้งชื่ออาหารได้ไพเราะแล้ว แถมรสชาติยังอร่อยมากอีกต่างหาก

หญิงชรากำลังครุ่นคิดบางสิ่ง “อ๋อ ตอนนั้นข้าคงถูกใจฝีมือทำอาหารของเจ้าสินะ”

จี้จิ่วอาวุโสตระหนกในทันใด พลางคิดในใจ ‘ไม่ เราสองคนไม่มีเรื่องตอนนั้นใดๆ ทั้งสิ้น!’

จี้จิ่วอาวุโสยังตุ๋นน้ำแกงบำรุงกำลังให้กับกู้เจียวอีกด้วย

เซียวลิ่วหลังยกน้ำแกงบำรุงกำลังและอาหารเข้าไปให้กู้เจียว

กู้เจียวนั่งพิงหัวเตียง มองเขาด้วยตาเป็นประกาย

เซียวลิ่วหลังถูกแววตาเปิดเผยของนางจ้องมองจนหัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เขาหลุบตาลง วางอาหารลงบนโต๊ะ จากนั้นจึงยกโต๊ะเล็กที่เขาใช้เขียนหนังสือบนเตียงเป็นประจำออกมา

เขาวางโต๊ะเล็กลงตรงหน้านาง ก่อนจะจัดวางชาม ตะเกียบ และน้ำแกง

เพราะต้องรักษาอาการบาดเจ็บ อาหารการกินของนางจึงมีรสชาติอ่อนมาก

เซียวลิ่วหลังมองดูอาหารไร้สีสันบนโต๊ะ ก่อนจะชะงักไปแล้วเอ่ยว่า “หากกินไม่ลงจริงๆ ข้าจะไปเอาผักดองมาให้เจ้า”

กู้เจียวไม่เอ่ยคำใด สองตาเบิกกว้างจ้องมองเขาตาปริบๆ อยู่อย่างนั้น

“เป็นอะไรไป” เซียวลิ่วหลังถาม

กู้เจียวตอบ “เจ้าไม่กลัวหรือ”

“กลัวอะไร” เซียวลิ่วหลังไม่เข้าใจ

กู้เจียวจ้องนิ่งไปที่เขา “ไม่กลัวว่าจะถูกทับอยู่ด้านล่างแล้วไม่มีวันได้ออกมาอีกเลยหรือ”

สถานการณ์ยามนั้นอันตรายยิ่งนัก

ไม่ได้อันตรายเพราะต้องมีใครสละชีวิตเพื่อนาง แต่ที่นั่นสามารถถล่มลงมาเมื่อใดก็ได้จริงๆ

แต่เขากลับไม่มีท่าทางว่าจะหนีเอาตัวรอดออกไปก่อนเลย

ท่ามกลางความมืดมิดและอันตราย เขาก็ยังตะเกียกตะกายหานางจนเจอ

ตอนนั้นเซียวลิ่วหลังไม่ได้คิดอะไรมากนัก

หลังจากที่ช่วยนางออกมาได้ก็ไม่ได้คิดอะไรเช่นกัน

ราวกับเป็นเรื่องที่สมควรทำอยู่แล้วอย่างไรอย่างนั้น ตัวเขาเองก็ไม่รู้สึกว่ามีอะไรพิเศษ

ทว่าพอนางถามออกมา กลับทำให้เขาพูดไม่ออก

กู้เจียวยกยิ้มที่มุมปาก “ตอนที่เจ้ากระโดดลงมา หล่อมากจริงๆ”

แต่ไหนแต่ไรมาก็รู้สึกว่าเขานั้นหล่อเหลาอยู่แล้ว ใบหน้าของเขา รูปร่างของเขา ไม่ว่าตรงไหนก็น่ามองทั้งนั้น

แต่วินาทีที่เขากระโดดลงมานั้น เขาคือบุรุษผู้กล้าหาญคนหนึ่ง

สามีของนาง โตเป็นผู้ใหญ่แล้วสินะ

เซียวลิ่วหลังโดนชมจนใบหูแดงระเรื่อ เขายื่นช้อนให้กับนาง “รีบกินตอนร้อน ประเดี๋ยวจะเย็นหมด”

“อืม” กู้เจียวรับช้อนมา พลางค่อยๆ กินทีละน้อย

ไม่ว่ารู้นึกอะไรขึ้นมาได้ เซียวลิ่วหลังจึงเอ่ยกับกู้เจียว “ตอนนั้นโกลาหลยิ่งนัก ตะกร้าของเจ้าถูกทับจนพัง ของบางอย่างก็ตามหาไม่พบแล้ว”

กู้เจียวไม่สนใจแม้แต่นิด “ไม่เป็นไร ผลไม้เคลือบน้ำตาลเสียไปแล้วค่อยซื้อใหม่ก็ได้”

“ไม่ใช่ถังหู่ลู่ แต่เป็น…” เซียวลิ่วหลังพูดได้ครึ่งเดียว ก็เห็นกล่องยาใบน้อยอยู่ข้างกายนาง เขาอุทานออกมา ก่อนจะขมวดคิ้วด้วยความสงสัย

บางทีเขาอาจจะจำผิดก็เป็นได้