บทที่ 178 กระจกตา

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

ใบหน้าปาจรีย์แข็งทื่อ สุดท้ายจึงก้มหน้าลง กวนซุปในชามด้วยสายตาแสนเศร้า ไม่พูดจา

วารุณีเห็นเธอแบบนี้ ในใจก็แอบถอนหายใจ เดินไปตบไหล่ของเธอ แล้วจึงตอบว่า“ระหว่างทางที่กลับมาเจอคนรู้จัก ก็เลยช้าไปหน่อยน่ะ”

“ใครเหรอ?”พงศกรแกล้งทำเป็นไม่เห็นที่วารุณีปลอบใจปาจรีย์ ยังคงยิ้มอย่างอบอุ่น

วารุณีก็ไม่ปกปิด ชี้ไปที่ด้านล่างตึก“คุณนวิยา”

“นวิยา?”ดวงตาที่อยู่หลังแว่นพงศกรหรี่ตาลง“พวกคุณพูดอะไรกัน?”

“ก็ไม่พูดอะไรหรอก เธอถามฉันว่าทำไมไม่ดูแลดวงตาของตัวเองดีๆ”วารุณียักไหล่

พงศกรขมวดคิ้วคิดไตร่ตรอง

ปาจรีย์ตักขึ้นมาช้อนหนึ่งแล้วป้อนเข้าปากเขา

เขาเอนคอไปด้านหลัง แล้วดันช้อนออก สื่อว่าไม่ดื่มแล้ว

ปาจรีย์มองซุปไก่ที่เหลืออยู่มากกว่าครึ่งชาม ก็ไม่โน้มน้าว เธอรู้ว่า เธอโน้มน้าวเขาก็ไม่กิน ไม่แน่อาจจะทำให้เขาโกรธด้วย ยิ้มอย่างขมขื่นแล้ววางชามลง

“วารุณี ทำไมเธอต้องพูดว่าคุณดูแลดวงตาไม่ดีล่ะ?”พงศกรไม่สนใจการกระทำของตัวเอง ว่าจะไร้ความปรานีต่อปาจรีย์มากไปหรือไม่ เขามองวารุณีแล้วถาม

วารุณีส่ายหน้า“ฉันก็ไม่รู้ เธอบอกว่าตาของฉันสวย พูดกับฉันเมื่อเดือนที่แล้ว ให้ฉันดูแลรักษาดวงตาดีๆ เมื่อกี๊พอรู้ว่าตาฉันอักเสบ สภาพก็ดูบ้าระห่ำอย่างมาก เหมือนว่าฉันทำเรื่องอะไรไม่ดีต่อเธอ”

นึกย้อนถึงสภาพสายตานวิยาที่ดูโกรธจัดในตอนนั้น เธอก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่น

นวิยาในตอนนั้น ไม่ต่างอะไรกับคนบ้าเลย

“ผมเข้าใจแล้ว!”มือพงศกรที่วางไว้ในผ้าห่ม ก็กำแน่นขึ้นมา สายตาเต็มไปด้วยความอึมครึม

นวิยาผู้หญิงคนนั้น ดันจ้องกระจกตาของวารุณี!

“พงศกร คุณรู้อะไรเหรอ?”ปาจรีย์มองพงศกรแล้วถาม

วารุณีก็พยักหน้าสื่อว่าอยากรู้

พงศกรกลับเมินปาจรีย์ มองไปที่วารุณี“กระจกตาของคุณ!”

“กระจกตา?”วารุณีตะลึง จากนั้นจู่ๆก็เบิกตาโตอย่างไม่อยากจะเชื่อ“พงศกร ความหมายของคุณคือ เออยากได้กระจกตาของฉัน เลยตั้งใจกำชับฉันโดยเฉพาะ ให้ฉันดูแลดวงตาดีๆ?”

“ถูกต้อง นอกจากเหตุผลนี้แล้ว ผมก็ไม่สามารถอธิบายได้อีกว่าทำไมตอนที่เธอเห็นตาของคุณอักเสบ อารมณ์ถึงได้แปรปรวนขนาดนี้”พงศกรพยักหน้า

ปาจรีย์กลืนน้ำลาย“ไม่มั้ง นวิยาอะไรนั่นจะเอากระจกตาของคนที่มีชีวิตอยู่ นี่มันผิดกฎหมายนะ!”

“ฉันก็คิดว่าคงเป็นไปไม่ได้มั้ง”วารุณีส่ายหน้าอย่างตกใจ“พวกคุณหมอพิชิตก็จองกระจกตาให้คุณนวิยาแล้ว จะมาเอาของฉันได้ไง”

พงศกรรู้ว่าเธอยากที่จะเชื่อ ยังไงเรื่องแบบนี้ก็ไร้เหตุผลเกินไป ดังนั้นก็ไม่จำเป็นต้องให้เธอเชื่อ เขาดันแว่นแล้วเตือนอย่างจริงจัง“ไม่ว่านวิยาจะอยากได้กระจกตาของคุณหรือไม่ วารุณี คุณต้องระวังตัว อยู่ให้ไกลจากเธอ”

“ถูกต้อง วารุณี ไม่ใช่แค่เธอ แต่ยังมีคนที่เกี่ยวข้องกับประธานนัทธี อย่าเข้าใกล้”ปาจรีย์ก็มองวารุณีแล้วกำชับ

วารุณีกำฝ่ามือ ออกแรงแล้วตอบไปว่า“ฉันเข้าใจแล้ว”

หัวใจของเธอตอนนี้ ยังเร็วขึ้นเล็กน้อย สงบลงไม่ได้

เพราะคำพูดของพงศกร ทำเธอตกใจจริงๆ

ตอนนี้เอง จู่ๆพยาบาลคนหนึ่งก็เคาะประตู เปิดประตูชะโงกหน้าเข้ามา“คุณปาจรีย์ สามทุ่มแล้ว คุณหมอพงศกรต้องวัดไข้แล้วค่ะ”

“สามทุ่มแล้ว?”ปาจรีย์เหลือบมองนาฬิกาปลุกบนหัวเตียงด้วยความตกใจ เห็นเข็มนาฬิกาที่ชี้ไปที่สามทุ่ม อดไม่ได้ที่จะตบหน้าผาก“เวลาผ่านไปเร็วจัง ฉันไม่รู้เลยว่าดึกขนาดนี้แล้ว คุณเข้ามาเถอะ”

พยาบาลพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เข็นรถเข็นเล็กๆเข้ามา

วารุณีเห็นเธอแกะปรอทวัดไข้อันหนึ่ง วัดไข้ให้พงศกร ก็ไม่คิดจะอยู่อีกต่อไป หยิบกระเป๋าที่หัวเตียงขึ้นมาแล้วบอกลา“พงศกร ปาจรีย์ ฉันก็ควรพาลูกสองคนกลับได้แล้ว”

“เดี๋ยวฉันไปส่งเธอที่ด้านนอกโรงพยาบาล”ปาจรีย์ลุกขึ้น

ในปากพงศกรคาบปรอทวัดไข้ไว้ พูดไม่ได้ ได้แต่มองวารุณี

วารุณีโบกมือด้วยรอยยิ้ม“ไม่ต้องหรอก เธออยู่นี่ดูแลพงศกรเถอะ พวกเราไปกันเองได้”

พูดจบ เธอก็โบกมือไปที่ลูกทั้งสองคนที่คนหนึ่งกินซุปไก่อยู่ อีกคนกำลังดูการ์ตูนอยู่“อารัณ ไอริณ พวกเรากลับกันเถอะ”

“ครับ”อารัณตอบกลับ รีบปิดโทรศัพท์แล้วกระโดดลงโซฟาทันที จูงไอริณวิ่งไปที่วารุณี

วารุณีให้ลูกทั้งสองคนบอกลา บอกลาเสร็จ จึงพาลูกทั้งสองคนออกไปจากห้องคนไข้ เดินไปที่ลิฟต์

เดินไปถึงลิฟต์ วารุณีก็เห็นนัทธีพิงหน้าประตูลิฟต์ตัวหนึ่ง

ไอริณสะบัดมือของวารุณี วิ่งไปที่นัทธีด้วยความชอบใจ“คุณอานัทธี”

ริมฝีปากบางๆของนัทธียกขึ้นเล็กน้อย ก้มเอวลงแล้วอุ้มเด็กสาวขึ้นมา

ร่างนุ่มๆของเด็กสาว กับกลิ่นนมหอมๆที่มาจากตัว ทำให้เขาใจอ่อนลงมา

ฉากนี้ ทำให้วารุณีขมวดคิ้วขึ้นมา จูงอารัณเดินไปตรงหน้าสองคนพ่อลูก พูดนิ่งๆว่า“ประธานนัทธี วางลูกสาวของฉันลงได้หรือยังคะ พวกเราต้องกลับแล้ว”

นัทธีไม่ได้ทำตาม มือข้างหนึ่งจัดเปียเล็กๆให้เด็กสาว แล้วจึงมองไปที่เธอ“ทำไมออกมานานขนาดนี้?”

มุมปากวารุณียกขึ้นเล็กน้อย“ความหมายของประธานนัทธีคือ รอฉันโดยเฉพาะ?”

นัทธีเงยคางขึ้นโดยไม่ได้ตอบอะไร

คิดไม่ถึงว่าจะเป็นจริง!

ริมฝีปากวารุณีขยับด้วยความประหลาดใจ“ประธานนัทธีมาหาฉันมีอะไรหรือคะ?”

“เรื่องก่อนหน้านี้ที่ด้านนอกแผนกจักษุ ผมขอโทษแทนนวิยาด้วยนะ”นัทธีวางไอริณลง

ไอริณลงไปที่พื้น ก็ถูกอารัณจับไปด้านข้าง

วารุณีมองลูกชายอย่างชื่นชม จากนั้นจึงถาม“ประธานนัทธีรอฉัน เพราะอยากขอโทษแทนคุณนวิยาเหรอคะ?”

“ใช่”นัทธีพยักหน้า

วารุณียิ้มอย่างเหินห่าง“ที่จริงประธานนัทธีไม่ต้องทำแบบนี้ก็ได้ ตอนอยู่ที่แผนกจักษุ คุณนวิยาก็ขอโทษแล้วนี่คะ?”

“คำขอโทษของนวิยาไม่จริงใจ ผมมองออก คุณไม่ได้รับอย่างเต็มที่”นัทธีจ้องตาของวารุณีแล้วพูด

สายตาวารุณีสั่นคลอนเล็กน้อย“ใช่ค่ะไม่ได้รับอย่างเต็มที่ แต่ว่าก็ยังดี โอเคค่ะประธานนัทธี พวกเราต้องไปแล้ว”

“เดี๋ยวก่อน”นัทธีเรียกสามคนแม่ลูกไว้

วารุณีขมวดคิ้ว,“ประธานนัทธีมีอะไรหรือเปล่าคะ?”

“ที่พวกคุณเพิ่งพูดในห้องคนไข้ ผมได้ยินหมดแล้ว”นัทธีละสายตาลงพูดเสียงนิ่งๆ

รูม่านตาวารุณีหดลง ร่างก็แข็งทื่อขึ้นมา

นัทธีมองความกังวลของเธอออก ริมฝีปากบางๆก็ขยับเบาๆ“วางใจเถอะ นวิยาไม่ได้สนใจกระจกตาของคุณ”

และเขาก็จะไม่ให้เธอสนใจด้วย

“คุณอานัทธี กระจกตาคืออะไรคะ?”ไอริณเงยหน้าเล็กๆขึ้นมา จู่ๆก็ถามนัทธี

นัทธีก้มหน้าลงมองเธอ กำลังคิดว่าจะตอบคำถามแบบนี้อย่างไรกับเด็กสาวนี้ ไอริณก็ถูกอารัณดึงไปข้างหลัง และมองเธออย่างเคร่งขรึม“พอแล้ว นี่มันเรื่องของผู้ใหญ่ ตัวเองอย่าถามซี้ซั้ว”

“อ้อ”ไอริณเบะปากตอบกลับ ไม่พูดอีก

วารุณีไม่ได้ไปสนใจลูกทั้งสองคน แต่คิดถึงคำพูดเมื่อกี๊ของนัทธี

ได้ยินเขาพูดว่านวิยาไม่ได้จับจ้องกระจกตาของเธอ หัวใจที่ตึงอยู่ก็ผ่อนคลายลง แต่พอนึกถึงสภาพบ้าคลั่งของนวิยาในตอนนั้น เธอก็ไม่อาจวางใจลงได้หมด ใบหน้าเล็กๆนั่นยังคงหม่นลง“ประธานนัทธีมั่นใจได้อย่างไรคะ ว่าคุณนวิยาไม่ได้จ้องกระจกตาของฉันอยู่จริงๆ?”

มือข้างหนึ่งของนัทธีล้วงกระเป๋า“เพราะว่ากระจกตาที่นวิยาขอบ เป็นของคนที่กำลังจะตาย”