ตอนที่ 90

Earth’s Best Gamer

“อ๊ะ นั่นเป็นไปได้เหรอ?”

“พี่สาวโจว พี่ไม่กังวลว่าพี่จะไม่สามารถพบอาจารย์และศิษย์พี่ของพี่หลังจากมาถึงถิ่นฐานของเราหรอกเหรอ?

“งั้นเข้าสนามรบแห่งโชคชะตาและไปเอา ‘ของที่ระลึก’ กัน บางทีเราอาจสามารถนำพวกเขาเข้ามาถิ่นฐานของเรา!”

เมื่อได้ยินเรื่องนี้ แววตาของหนิงหลิงก็สว่างขึ้นในขณะที่เธอกล่าวกับโจวจี้เยียกที่อยู่ข้างเธอ

“ฉันขอถามได้มั้ยว่ามีวิธีสร้างภูมิหลังที่เกี่ยวข้องกับต้นกำเนิดของตัวเองในสนามรบแห่งโชคชะตานี้โดยตรงมั้ย?”

โจวจี้เยียกผู้ที่ปกปิดรูปลักษณ์ที่แท้จริงของเธอเอ่ยถามขึ้นหลังจากครุ่นคิดเล็กน้อย

“เรื่องนี้… แทบจะเป็นไปไม่ได้ นี่เป็นเพราะการก่อตัวของ ‘โลกสนามรบ’ เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ระหว่างแสงจากโชคชะตาของทั้งสองอารยธรรมและมากกว่านั้น และเมื่อคุณระบุภูมิหลังของตัวเองก็จะมีฝ่ายหนึ่งได้รับความได้เปรียบมหาศาลอย่างไม่ต้องสงสัย มันจะถูกหยุดและขัดขวางจากอีกฝ่ายหนึ่ง ดังนั้นอาจมีภูมิหลังบางอย่างที่ไม่ตรงกับความเข้าใจของคุณ อย่างไรก็ตามเนื่องจากการฉายภาพ นิสัยของตัวละครยอดนิยมจึงจะไม่เปลี่ยนไป…”

ผู้จัดการสาวชุดม่วงส่ายหัวของเธอ

“อืมม เว้นแต่…”

อย่างไรก็ตามทันใดนั้นเธอก็นึกถึงบางอย่างและลังเล

“เว้นแต่อะไร?” หนิงหลิงเบิกตากว้างและเอ่ยถามด้วยความสงสัย

“เว้นแต่จะเป็นคนที่กลายเป็น ‘เมล็ดพันธุ์’ ที่ถูกเลือกโดยแสงจากโชคชะตาที่ส่องสว่างไปยังอารยธรรมมนุษย์โดยเฉพาะ บางทีพลังแห่งโชคชะตาที่อยู่ฝ่ายพวกเขาอาจจะปฏิบัติต่อพวกเขาดียิ่งขึ้นและพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้พวกเขามีภูมิหลังของโลกที่คุ้นเคย มันอาจจะแม้กระทั่งจัดให้มีวีรบุรุษที่ทรงพลังบางคนช่วยพวกเขาคว้าชัยชนะ” ผู้จัดการสาวชุดม่วงกล่าว

“เมล็ดพันธุ์แห่งโชคชะตา?”

โจวยี้เยียกขมวดคิ้วและพึมพำเบาๆ

“อ่าา ไม่ยุติธรรมเลย!”

หนิงหลิงเบิกตากว้าง

“ความยุติธรรมไม่มีอยู่จริง!”

ผู้จัดการสาวชุดม่วงส่ายหัว

“ในโลกหรือดาวเคราะห์ทุกดวงก็หลีกเลี่ยงไมาได้ที่จะมีสิ่งที่เรียกว่า ‘บุตรแห่งโชคชะตา’ และ ‘คนแห่งโชคชะตา’ พวกเขาอาจไม่จำเป็นต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งที่คนอื่นไม่สามารถหาได้แม้ว่าคนคนนั้นจะพยายามอย่างหนักไปชั่วชีวิตก็ตาม… ในดินแดนแห่งมรดก เมล็ดพันธุ์แห่งโชคะชาเหล่านี้จะถูกเลือกโดยยึกตามหลักการ อันที่จริงมันขึ้นอยู่กับความสามารถของคนคนนั้น”

“ยิ่งไปกว่านั้น มันก็ไม่ได้ไร้ความยุติอย่างสิ้นเชิง เมื่อภูมิหลังนั้นเป็นประโยชน์ต่อฝ่ายไหน อีกฝ่ายก็จะได้รับข้อได้เปรียบในด้านอื่นๆ อย่างแน่นอน เช่น จำนวนคนในฝ่ายเดียวกัันหรือคุณสมบัติในการเข้าสู่แผนที่ล่วงหน้า…”

“ในระยะสั้น สนามรบแห่งโชคชะตาจะยึดมั่นในหลักการของความสมดุลในการต่อสู้ อย่างไรก็ตามมันก็เป็นเรื่องง่ายมากสำหรับผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงที่จะเป็นผู้ชนะ!”

คำกล่าวของเธอทำให้หลู่จือเซินและโจวจี้เยียกแสดงความเห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย

“อ๊ะ ฉันเป็นแค่บัตรเงินเท่านั้น เป็นไปไม่ได้แน่นอนที่ฉันจะเป็น ‘บุตรแห่งโชคชะตา’ ของโลก!”

เสียงของหนิงหลิงฟังดูผิดหวัง

“แต่ไม่ว่ายังไง พี่สาวหยูมีทางเลือกไหนบ้างในการตั้งทีมในสนามรบแห่งโชคชะตา?”

อย่างไรก็ตามดวงตากลมโตของเธอก็กลอกสองครั้งราวกับว่าเธอกำลังคิดอะไรบางอย่าง เธอเอ่ยถามผู้จัดการสาวชุดม่วงที่มีชื่อว่าหยูหลวงด้วยความคาดหวัง

“มีสิ!”

“หากผู้คนจากถิ่นฐานเดียวกันเข้าไปในเวลาเดียวกันก็มีโอกาสสูงที่พวกเขาจะถูกกำหนดให้เข้าร่วมสนามรบแห่งโชคชะตาเดียวกัน และหากผู้คนจากถิ่นฐานที่แตกต่างกันมีความเกี่ยวข้องกันในระดับหนึ่ง พวกเขาก็อาจถูกกำหนดให้เข้าสู่สนามรบเดียวกันเมื่อเข้าไปในเวลาเดียวกัน”

“หากไม่ใช่ในทั้งสองกรณี มีการกล่าวว่ายังมีไอเทมที่ได้รับจากสนามรบแห่งโชคชะตาที่สามารถทำให้ผู้คนสามารถเข้าร่วม ‘ทีม’ ของพวกเขาได้!”

ผู้จัดการสาวชุดม่วงมีกลิ่นอายความเป็นอมตะ ในขณะที่การแลกเปลี่ยนในเมืองแห่งมนุษย์ทำเดินต่อไปได้ด้วยดีผ่าน ‘เจตนา’

ทุกคนเข้าใจสิ่งที่เธออธิบายแม้ว่าจะใช้คำศัพท์ที่ยากที่เข้าใจก็ตาม

“อย่างไรก็ตามการมีคนมากเกินไปก็อาจจะไม่ใช่เรื่องดี”

“นี่เป็นเพราะเมื่อคนจำนวนมากในถิ่นฐานเข้าสู่ ‘สนามรบแห่งโชคชะตา’ เดียวกัน ไม่เพียงแค่จะทำให้ความสามารถในการป้องกันของถิ่นฐานอ่อนแอลง แต่เมื่อล้มเหลว พวกเขาก็ไม่สามารถทนรับความสูญเสียได้!”

“นอกจากนี้ยิ่งมีคนมากเท่าไหร่ก็ยิ่งต้องใช้เหรียญอารยธรรมมากขึ้นเพื่อเข้าสู่สนามรบแห่งโชคชะตา”

“ถูกต้อง เช่นเดียวกับการเข้าสู่เมืองแห่งมนุษย์ เราจะต้องจ่ายเหรียญอารยธรรมจำนวนหนึ่งเพื่อเข้าสู่ ‘สนามรบแห่งโชคชะตา’ ตามจำนวนไอเทมที่พวกเขานำมา!”

“เหรียญอารยธรรมเหล่านี้บางส่วนจะถูกใช้เพื่อสนับสนุนการทำงานของสนามรบแห่งโชคชะตา ในขณะที่ส่วนที่เหลือถูกใช้เป็นรางวัล”

“ในทางทฤษฏี ผู้ที่แข็งแกร่งเพียงพอจะสามารถได้รับ ‘เหรียญอารยธรรม’ เหล่านี้กลับมา”

“ยิ่งไปกว่านั้นหากมีคนนำไอเทมที่ทรงพลังมากเกินไปมาแล้วทำให้เกิดความไม่สมดุล อีกฝ่ายก็มักจะได้รับข้อได้เปรียบด้านอื่น เช่น การเสริมความแข็งแกร่งของภูมิหลังของสนามรบ นอกเหนือจากนั้นเงื่อนไขการเป็นผู้ชนะของคนคนนั้นก็จะยากยิ่งขึ้น”

“นอกจากนี้ยังต้องแบกรับความเสี่ยงหากพวกเขาล้มเหลว ไอเทมจะกลายเป็นของผู้ชนะ!”

“ดังนั้นฉันขอแนะนำว่าให้ส่งไอเทมส่วนเกินกลับไปถิ่นฐานก่อน”

“หากคุณวางแผนที่จะใชัมันหลังจากออกจากสนามรบแห่งโชคชะตา คุณสามารถวางมันไว้ในห้องสูทของคุณในร้านอาหารสามพันได้ แม้ว่าคุณจะล้มเหลวและกลับไปที่ถิ่นฐาน แต่คุณก็ยังสามารถเคลื่อนบ้ายไอเทมกลับไปโดยใช้พลังแห่งโชคชะตา!”

“แน่นอนว่าฉันเชื่อในความสามารถของคุณ คุณจะไม่ล้มเหลวแน่นอน คุณจะเป็นผู้ชนะ” ผู้จัดการสาวชุดม่วงยิ้มและกล่าวออกมา

“ผู้นำหลู่ นายคิดยังไง?”

จีเย่มองไปที่หลู่จือเซินที่ ‘ใบหน้าไร้หนวดเครา’

“ท่านหัวหน้า ฉันเชื่อในการตัดสินใจของท่าน!”

หลู่จือเซินตอบกลับ

อย่างไรก็ตามมีความสนใจที่เห็นได้ชัดเจนในแววตาของเขา

แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนอบอุ่น แต่การได้พบเจอกับผู้เชี่ยวชาญของอารยธรรมมนุษย์อื่นนั้นมีความหมายมากอย่างไม่ต้องสงสัย

สำหรับ ‘ความล้มเหลว’ งั้นเหรอ?

วีรบุรุษขั้นสมบูรณ์จะไม่มีความมั่นใจได้ยังไง?

“เอาล่ะ เราส่งไอเทมกลับก่อนแล้วเลือกเข้าสู่สนามรบแห่งโชคชะตา!”

[คุณนำ : ดาบงูดำ โทเท็มหนังหมาป่า ศิลปะเก้าหยาง คริสตัลทับทิม ลูกปัดฟื้นฟู… การเข้าสู่ ‘สนามรบแห่งโชคชะตา’ ต้องใช้เหรียญอารยธรรมทั้งหมด 505 เหรียญ!]

เมื่อยืนอยูาหน้าลำแสง การแจ้งเตือนก็ปรากฏในใจของจีเย่

เขาไม่เพียงแค่นำอาวุธทั้งสองมา แต่เขายังนำศิลปะเก้าหยางที่เขาเพิ่งได้รับมาจากการแลกเปลี่ยนกับโจวจี้เยียกมาด้วย

นี่เป็นเพราะผู้จัดการสาวชุดม่วงกล่าวว่าการไหลของเวลาใน ‘สนามรบแห่งโชคชะตา’ นั้นแตกต่างกัน

ดังนั้นเขาจึงต้องการตรวจสอบความคิดบางอย่าง นอกจากนี้เพราะ ‘คู่มือศิลปะการต่อสู้’ นั้นไม่ใช่เครื่องมือที่เพิ่มความแข็งแกร่งในการต่อสู้โดยตรง ค่าใช้จ่ายในการนำมันมาด้วยจึงไม่มากนัก เขาจึงมีแต้มเกียรติยศเพียงพอที่จะจ่าย!

ในการเปรียบเทียบ นอกเหนือจากโทเท็มหมาป่าที่ใช้เหรียญอารยธรรมมากที่สุดแล้ว และคุณสมบัติทั้งสามของเขาก็มีถึงระดับวิสามัญอันดับ 3 แล้ว

ใช่แล้ว แม้กระทั่งร่างกาย จิตใจ และพลังวิญญาณของเขาก็จำเป็นต้องจ่ายด้วย

“พี่ชายจีรอเดี๋ยว!”

อย่างไรก็ตามในขณะพวกเขาเตรียมที่จะจ่ายเหรียญอารยธรรมเพื่อเข้าสู่สนามรบแห่งโชคชะตาก็มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมา

“เฮ้พี่ชายจี ถิ่นฐานของเราทั้งสองเข้าไปในเวลาเดียวกัน บางทีเราอาจถูกกำหนดให้อยู่ในสนามรบเดียวกัน”

หนิงหลิงผู้ที่วิ่งเข้ามาก็กระพริบและยิ้มกว้างกว่าปกติ