ตอนที่ 105 กลุ่มทหารม้า

สามวันผ่านไปหลังจากหยางเย่ออกมาจากเทือกเขาแห่งความตาย เขาได้มาถึงยังพื้นที่ราบ มันเป็นพื้นที่ราบกว้างดูเหมือนไม่มีจุดสิ้นสุด

หยางเย็ไม่ทราบว่าพื้นที่ราบนี้คือสถานที่ใด เพราะแผนที่ที่หมานซื้อให้ไว้อยู่ในบริเวณเทือกเขาแห่งความตายเท่านั้น

กล่าวได้ว่าตั้งแต่ก้าวเท้าเข้ามาในที่ราบนี้ ทุกอย่างรอบกายเป็นสิ่งที่ไม่เคยพบมาก่อนรวมถึงสัตว์อสูรด้วย

ในช่วงสามวันที่ผ่านมา หยางเย็ได้พบปะกับสัตว์อสูรราชันประปราย แต่ก็หาได้เข้าไปปราบไม่เพราะสหายตัวจ้อยบอกว่ามันไม่คู่ควรพอ หลังจากมิงค์ม่วงให้คําอธิบายว่าเหตุใดถึงเป็นแบบนั้น หยางเย่ก็เข้าใจได้ทันที เพราะสายเลือดพวกเขานั้นนับว่ายังอ่อนแอ ในโลกสัตว์อสูร สิ่งที่สําคัญที่สุดคือสายเลือด สายเลือดของพวกมันเทียบได้กับพรสวรรค์ของมนุษย์ สายเลือดที่อ่อนแอนั้นทําให้ความสามารถของพวกมันมีขีดจํากัด เมื่อมันมีขีดจํากัด ก็ไม่จําเป็นต้องเปลืองพื้นที่เลี้ยงดู เพราะหยางเย่เองก็ต้องการสัตว์อสูรราชันที่สามารถเก่งขึ้นได้อีกในอนาคต และไม่ต้องการสัตว์อสูรที่จะอยู่ขั้นราชันไปตลอดชีวิต

ดังนั้นหยางเย่จึงเดินทางผ่านเข้ามาจนถึงพื้นที่ราบนี้ จุดประสงค์หลักของเขาก็คือหาสัตว์อสูรราชันที่มีสายเลือดแข็งแกร่ง!

ขณะจ้องมองไปยังพื้นที่ราบสีเขียวตรงหน้า หยางเย่เผยรอยยิ้มขึ้นที่มุมปาก ดูเหมือนเขาจะนึกบางอย่างได้พร้อมหันไปมองมุมปาที่อยู่ด้านหลัง ” ข้าสงสัยว่าเจ้ามีความกล้าพอที่จะตามมาหรือเปล่านะ!”

ทันทีที่กล่าวจบ หยางเย่ไม่รอช้าพร้อมพุ่งตรงไปข้างหน้า

สามวันที่ผ่านมา มือสังหารหาได้ปรากฏตัวไม่ แต่สัญชาตญาณของเขาก็บอกว่ามือสังหารยังไม่ออกจากขุนเขานี้ และยังรู้สึกว่าถูกจ้อมมองจากมุมมืดอยู่ บางทีที่มีอสังหารไม่ลงมือคงเพราะเขายังหาโอกาสดีในการโจมตีไม่ได้

ตอนนี้หยางเย่กําลังจะเข้าไปในส่วนที่ลึกและอันตรายที่สุดของขุนเขาไม่สิ้นสุด เขาจึงสงสัยว่ามือสังหารจะกล้าตามเข้ามาหรือเปล่า?

ขณะที่หยางเย่กําลังพุ่งออกไป คนชุดดําได้กระโจนออกมาจากต้นไม้ เขามองไปยังทางที่หยางเย่อยู่ และไม่ลังเลที่จะตามอย่างรวดเร็ว

หากมีใครสักคนมองดู ผู้นั้นคงมองว่าคนชุดดําแปลกประหลาดอย่างมาก เพราะร่างของคนชุดดํากะพริบตลอดทาง มันไม่ใช่การข้ามมิติ แต่มันคือการหายจากการเคลื่อนไหวทุกสามเมตรและเขาจะไปปรากฏตัวในสิบเมตรข้างหน้า

เพื่อหลอกล่อให้มือสังหาร หยางเย่ยังไม่ได้เรียกสีหมอกออกมา ทําให้ความเร็วของเขาช้าลงอย่างมาก และยังคงอยู่ในที่ราบนี้หลังจากผ่านไปหนึ่งถึงสองชั่วยาม

หลังจากเดินทางมาได้อีกครู่หนึ่ง หยางเย่หยุดชะงักพร้อมขมวดคิ้ว เขาสังเกตว่าที่ราบนี้มีบางอย่างที่ผิดปกติ เพราะตลอดทางที่ผ่านมาเขาไม่เห็นสัตว์อสูรแม้แต่ตัวเดียว แม้แต่พวกระดับต่ำก็ยังไม่มี

โดยปกติจะมีอยู่สองคําอธิบายเกี่ยวกับสิ่งนี้ อย่างแรกคือมีบางอย่างที่ทําให้สัตว์อสูรหวาดกลัว อย่างที่สองคือมันเป็นเขตแดนของสัตว์อสูหรือพวกสายพันธุ์ที่น่าสะพรึง ดังเช่นเทือกเขาแห่งความตายที่มีราชันหมีพสุธาอยู่ แต่สิ่งที่แตกต่างคือสัตว์อสูรราชันที่นี่ไม่อนุญาตให้บรรดาสัตว์อสูรเข้ามา

หยางเย่คิดว่าคงเป็นอย่างที่สอง สัตว์อสูรราชันที่นี่ร้ายกาจถึงเพียงใดนะ มันสามารถทําให้สัตว์อสูรโดยรอบกลัวที่จะเหยียบเข้ามาเชียวหรือ? แน่นอนว่ามันต้องไม่ด้อยไปกว่าราชันหมีพสุธาแน่นอน มันยังไม่อันตรายมากหากมีเพียงสัตว์อสูรตัวเดียวเหมือนราชันหมีพสุธา แต่หากมันอยู่กันเป็นกลุ่มล่ะ?”

“สหาย สัตว์อสูรราชันแบบไหนที่มันไม่กลัวเจ้าบ้าง?” หยางเย่หันไปถามมิงค์ม่วงที่นั่งอยู่บนไหล่ เขาต้องถามเพื่อสร้างความมั่นใจ

มิงค์ม่วงกะพริบตาอยู่ชั่วครู่ จากนั้นมันชี้นิ้วไปบนฟ้าก่อนจะชี้กลับลงมาที่พื้น และท้ายที่สุดมันยื่นอุ้งมือออกมา

เปลือกตาหยางเย่กระตุกเมื่อเห็นเช่นนั้น เขากลืนน้ำลายก่อนจะกล่าว “เจ้าบอกว่ามีเพียงห้าชนิดในสวรรค์และโลกนี้ที่ไม่กลัวเจ้างั้นหรือ?”

มิงค์ม่วงพยักหน้า

“นอกจากห้าชนิดนั้นก็ไม่มีสัตว์อสูรไหนที่เจ้าไม่สามารถต่อกรได้ใช่หรือไม่? ข้าหมายถึงพวกที่ไม่ได้อยู่ในระดับสูงเกินไป”

มิงค์ม่วงคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะรู้สึกว่าไม่มีอะไรแล้วจึงได้พยักหน้า

หยางเย่สุดหายใจลึกก่อนจะกล่าวอย่างจริงจัง ” สหายอย่าล้อเล่นนะ หากข้าเจอกับสัตว์อสูรที่ร้ายกาจขึ้นมา เช่นนั้นพวกเราคงจบสิ้นแน่!”

มิงค์ม่วงรู้สึกไม่พอใจที่หยางเย่สงสัย มันข่วนไปที่หัวหยางเย่ครั้งหนึ่ง

หยางเย่หันไปลูบหัวมิงค์ม่วง จากนั้นเขาไม่สนทนาหัวข้อนี้อีกต่อไป ตอนนี้เขามีความมั่นใจมากพอแล้ว

เวลานี้นอกจากความรู้สึกมั่นใจ เขายังรู้สึกตกตะลึง มีเพียงห้าชนิดบนโลกของสัตว์อสูรที่ไม่หวาดกลัวมัน! มันหมายความว่าแทบทุกตัวในอาณาจักรสัตว์อสูรต่างอ่อนแอกว่ามิงค์ม่วง แค่นึกถึงก็ทําให้หยางเยรู้สึกสะพรึงแล้ว

กล่าวคือไม่ว่ายังไงสหายตัวจ้อยก็เป็นสิ่งวิเศษที่เขาได้ครอบครอง

กุบ กับ! กุบ กับ! กุบ กับ!

ทันใดนั้นเสียงเกือกม้าได้ดังขึ้นด้านหลังหยางเย่ หยางเย่หยุดเคลื่อนไหวพร้อมหันไปมองตามเสียง

เขาสังเกตเห็นกลุ่มทหารม้านับร้อยคนปรากฏตัวขึ้น หยางเยรู้สึกประหลาดใจเมื่อเห็นกลุ่มทหารม้า เพราะพวกเขาเป็นมนุษย์ที่กําลังขี่สัตว์อสูรทมิฬระดับสี่ อาชาวายุ

อาชาวายุเป็นสัตว์อสูรทมิฬระดับสี่ที่ไม่มีความสามารถด้านการต่อสู้ แต่ความเร็วของมันนั้นนับว่ายอดเยี่ยม ตามข่าวลือ อาชาวายุระดับสูงสามารถวิ่งตัดพายุได้ด้วยความเร็วสูงสุด ในเขตแดนใต้ มีเพียงจักรวรรดิต้าฉันเท่านั้นที่มีอาชาวายุ ไม่ใช่มหาอํานาจอื่นจะไม่สามารถใช้มันได้ แต่พวกเขาไม่จําเป็นต้องใช้มัน

แต่ที่หยางเย่สงสัยคือ เหตุใดพวกเขาถึงมาปรากฏตัวที่ขุนเขาไม่สิ้นสุดได้?

ขณะที่หยางเย่กําลังสับสน กองทหารม้าก็ได้มาถึงตรงหน้าหยางเย่แล้ว เมื่อชายวัยกลางคนสวมชุดเกราะทองคําเห็นหยางเย่ ประกายแห่งความระมัดระวังตัวได้ปรากฏผ่านดวงตา ไม่ใช่แค่เขาคนเดียว ทหารเกราะเงินด้านหลังเองก็มีสายตายเช่นนั้น

เมื่อเห็นพวกเขาเข้ามาใกล้มากขึ้น หยางเย่ก็เริ่มขยับตัว ทหารทุกคนอยู่ขั้นปราณสวรรค์ และชายวัยกลางคนที่สวมชุดเกราะทองนั้นยังไม่อาจทราบได้ จิตสังหารที่แผ่พุ่งออกมาจากกองทหารนี้ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาผ่านการต่อสู้มาอย่างโชกโชน

“เหตุใดพวกเขาถึงมาที่นี่กัน?” หยางเย่รู้สึกสงสัยมากยิ่งขึ้น

ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรงหน้าสุดของกลุ่มมองหยางเย่อย่างสงสัย แววตาประหลาดใจเผยออกมาเมื่อสังเกตเห็นความแข็งแกร่งของหยางเย่ แต่เขาก็รีบสงบอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นเขายังไม่คิดจะทักทายหยางเย่พร้อมนํากลุ่มมุ่งไปต่อ

มีศิษย์จากสํานักมากมายมายังขุนเขาไม่สิ้นสุดเพื่อฝึกฝนตนเอง ดังนั้นมันจึงไม่แปลกที่จะพบกับใครสักคน

หยางเย่เองก็ไม่ต้องการจะทักทายพวกเขาเช่นกัน มันไม่เป็นอะไรหากพวกเขาไม่ได้มาเพื่อหาเรื่อง เพราะเขาก็ไม่ต้องการมีปัญหาเพิ่มขึ้น แต่หยางเย่ก็ยังชะเง้อมองรถม้าที่อยู่ ตรงกลางของกลุ่มอย่างสงสัย เห็นได้ชัดว่ากลุ่มทหารม้ากําลังคุ้มกันรถม้าคันนั้น เพราะพวกเขาตั้งแนวเป็นแบบป้องกัน หากผู้ใดจะเข้าโจมตีรถม้า พวกเขาจะต้องผ่านทหารม้าทั้งหมดให้ได้เสียก่อน

ตู้ม!

เมื่อกลุ่มทหารม้าเดินผ่านหยางเย่ไปได้ครู่หนึ่ง เสียงระเบิดได้ดังขึ้น มันทําให้ม้าที่พวกเขาขี่อยู่แตกตื่น

ท่าทีของชายวัยกลางคนไม่ได้เปลี่ยนไป เขายกหอกสีทองในมือขึ้นพร้อมตะโกนออกมา “ศัตรู โจมตี ตั้งแถว!”

ทันทีที่กล่าวจบ ทหารม้าด้านหลังรวมตัวกันอย่างรวดเร็วเพื่อคุ้มกันรถม้า จากนั้นพลังปราณล้ำลึกถูกโคจรออกมาผ่านท่าทีที่ระมัดระวังรอบด้าน

หยางเย่กล่าวในใจ “บัดซบ!”

เขาต้องการจะหนีให้เร็วที่สุด แต่ทันที่ที่กําลังจะก้าวขา สัตว์อสูรจํานวนมากมายได้ออกมาจากรอบด้าน สัตว์อสูรทั้งหลายเข้าโอบล้อมหยางเย่และกลุ่มทหารม้าอย่างรวดเร็ว ยิ่งกว่านั้นพลังกดดันของพวกมันยังนับว่าน่าสะพรึงนัก

หยางเย่กวาดสายมองด้วยท่าที่เคร่งเครียด สัตว์อสูรทั้งหลายมีขนาดใหญ่ไม่น้อยไปกว่าสีหมอก พวกมันทุกตัวเป็นสัตว์อสูรทมิฬระดับแปดถึงเก้า!

“เป็นพวกราชสีห์เพลิงกัมปนาท! นํายันต์ของพวกเจ้าออกมา!” เมื่อพวกเขาเห็นสัตว์อสูรมากมาย ชายวัยกลางคนรีบออกคําสั่งกองทหาร

ทันใดนั้นทหารทั้งร้อยคนไม่ลังเลที่จะนํายันต์ออกมา จากนั้นพวกเขาแปะมันลงที่ตัว

หยางเย่สังเกตเห็นว่าเป็นยันต์เสริมกําลังระดับกลาง แน่นอนว่าหยางเย่ไม่มีเวลาจะใส่ใจรายละเอียด เขาต้องหาหนทางหนีไปให้ได้

สัตว์อสูรนับหมื่นหยุดเคลื่อนไหวเมื่อมาถึงตรงหน้าหยางเย่เพียงสามสิบเมตร จากนั้นมันคํารามใส่หยางเย่และกองทหารม้าอย่างบ้าคลั่ง

เวลานี้บรรดาสัตว์อสูรขยับตัวออกไปด้านข้าง ทันใดนั้นชายหนวดโค้งได้เดินออกมาจากฝูงสัตว์อสูร..