ตอนที่ 185 ปลอมเป็นผี

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 185 ปลอมเป็นผี
อาสะใภ้แปดนวดหน้าที่โดนตบจนบวมและยิ้มเยาะเย้ย “ข้าจะไปรู้วิธีแก้ไขได้อย่างไร”

อาแปดเขม่นตาใส่หนึ่งที “นังคนโง่ จวนปั๋วที่เป็นเนื้อก้อนโหญ่ขนาดนี้ไม่มีคนปกป้อง โอกาสดีเช่นนี้แล้วเจ้าจะปล่อยผ่านไปอย่างนั้นรึ”

“แต่ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว แล้วจะบีบบังคับให้ซื่อจื่อแต่งงานหรือไรเล่า”

อาแปดลูบไล้คางพร้อมฉายแววตาที่เต็มไปด้วยความโลภ “หากวิธีนี้ไม่รอดก็ค่อยหาวิธีใหม่ พวกสตรีอย่างเจ้ามักมีความคิดที่หลากหลายมิใช่รึ ยายแก่ ถ้าเจ้าใช้โอกาสนี้คุมตระกูลปั๋วไว้ได้ เจ้ายังต้องกังวลว่าพวกลูกชายจะหาเมียดีๆ ไม่ได้อีกรึ”

อาสะใภ้แปดหย่อนก้นนั่งลงแล้วยกน้ำชาที่เย็นแล้วขึ้นดื่มหลายอึก ส่วนความหวาดกลัวก่อนหน้านี้ นางได้โยนมันทิ้งออกไปไกลสุดขอบฟ้าแล้ว “ให้ข้าได้คิดก่อน”

จะทำอย่างไรถึงจะเข้าไปจัดการจวนปั๋วได้นะ ตาแก่พูดถูก โอกาสดีๆ เช่นนี้ถ้าปล่อยผ่านไป นางคงรู้สึกเสียดายไปตลอดชีวิต

อาสะใภ้แปดใช้สมองระดมความคิดอย่างสุดกำลัง

อาแปดรู้ว่าอาสะใภ้แปดเป็นคนคิดหาวิธีเก่ง เขาจึงอยู่เงียบๆ ดื่มน้ำชาไป พร้อมกับมองดูใบหน้าที่บวมแดงของอาสะใภ้แปดพลางรู้สึกหงุดหงิดใจเล็กน้อย

ข้าควรลงมือเบากว่านี้หน่อย

อาสะใภ้แปดพลันตบที่ขาเพียะ “ข้าคิดออกแล้ว!”

“เจ้าคิดออกว่าอย่างไร” อาแปดพลันรู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา พร้อมกับวางถ้วยน้ำชาที่เห็นก้นถ้วยแล้วลงบนโต๊ะ

ชุดแก้วน้ำชาเคลือบขาวเขียนสีลายละเอียดเช่นนี้ แค่หนึ่งชุดต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย ซึ่งค่าใช้จ่ายที่จวนปั๋วใช้จ่ายหาใช่ชาวบ้านทั่วไปสามารถเทียบได้ ความจริงแล้วที่นั่นมีความอิสระยิ่งกว่าเทวดาบนฟ้าสวรรค์เสียอีก

เมื่ออาแปดคิดถึงสิ่งเหล่านี้ ก็มีไฟลุกขึ้นภายในใจ

จำนวนคนในสายเลือดหย่งชังปั๋วมีน้อย และสืบทอดโดยบุตรชายเพียงคนเดียวมาหลายต่อหลายรุ่น จนถึงปัจจุบัน ความจริงแล้วก็แทบไม่มีญาติที่สนิทใกล้ชิดกันเลย กับอาแปดและอาสะใภ้แปดก็แทบจะห่างออกไปอีกหลายขั้น

แต่ยังดีที่หย่งชังปั๋วเป็นคนใจกว้าง หลายปีมานี้ ก็ดูแลคนในตระกูลเดียวกันเป็นอย่างดี ทั้งเกื้อหนุนเป็ฯเงินให้ปรับปรุงห้องเรียนและหอบรรพชนของตระกูลทุกปี และเวลาพบเจอคนในสายเลือดเกิดเรื่องคอขาดบาดตาย ขอแค่มาขอความช่วยเหลือเขาก็พร้อมยื่นมือเข้าช่วยเสมอ

เพียงแต่น่าเสียดายที่จิตใจคนนั้นโลภมากจนลาภหาย การที่อาแปดกับอาสะใภ้แปดเห็นเงินเป็นกอบเป็นกำไหลออกมาจากจวนปั๋ว มันทำให้เขาสองคนเห็นเพียงว่า หย่งชังปั๋วนั้นเกิดมาจากบนกองเงินกองทองอยู่แล้ว ถ้าเช่นนั้นแล้วจะยังนึกถึงความมีน้ำใจของสองสามีภรรยาหย่งชังปั๋วได้อย่างไรอีก

ในสายตาของพวกเขา จวนปั๋วนั้นร่ำรวยมาก การดูแลคนในสายเลือดเดียวกันนั้นเป็นสิ่งที่ควรจะเป็น และรู้สึกว่าอาจน้อยไปเสียด้วยซ้ำ ตอนนี้หัวหน้าตระกูลปั๋วได้เสียชีวิตลง กิจการที่ใหญ่โตขนาดนี้ จะมอบให้เด็กที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะดูแลต่อได้อย่างไร

อาสะใภ้แปดมองด้านนอกพลางยื่นมือปิดหน้าต่างที่เปิดเอาไว้ พร้อมกับเอ่ยเสียงเบา “ข้าว่าซื่อจื่อเป็นคนมีความคิด เรื่องนี้คงต้องลงมือจากเด็กสาวนั่นน่าจะดีกว่า”

“เจ้าคิดวิธีได้ว่าอย่างไรบ้าง” อาแปดนึกถึงตอนที่เซี่ยชิงเหยาบีบบังคับให้จนมุมเมื่อตอนอยู่ที่โถงแล้วส่ายหัว “ยัยเด็กนั่นยิ่งไม่ใช่คนที่จะไปตอแยได้ง่ายๆ”

อาสะใภ้แปดเบ้ริมฝีปาก “บุรุษอย่างพวกท่านไม่เข้าใจ สุนัขที่กัดคนมักจะไม่เห่า แต่สุนัขที่เห่าเก่งมักไม่กัด”

“เอาล่ะ พูดแผนการของเจ้าสักทีเถอะ”

“ถ้าเด็กนั่นล้มป่วย แล้วในจวนก็ไม่มีผู้อาวุโสคอยดูแล เป็นไปได้สูงว่านางจะไปรักษาตัวที่เรือนของท่านตานาง”

“แต่ข้าว่าไม่แน่ จิ้วไท่ไท่อาจอยู่ดูแลก็เป็นได้”

อาสะใภ้แปดหัวเราะไม่เห็นด้วย “ถึงจิ้วไท่ไท่อยู่ดูแลแล้วอย่างไรเล่า แม้ว่าพวกเขามีสิทธิ์ออกเสียงในเรื่องงานมงคลของซื่อจื่อ แต่ถ้าพวกเขาหาสตรีมาให้ไม่ได้ จวนปั๋วก็คงไม่ยอมให้อำนาจการดูแลจวนตกอยู่ที่คนนอกหรอกกระมัง ซึ่งไม่ว่าจะทางไหนก็ไม่ได้ผลนั่นล่ะ แต่หากเด็กนั่นล้มป่วยลง พวกเราเป็นถึงคนตระกูลเดียวกัน แล้วยังมีนามของหัวหน้าตระกูลอีก การยื่นมือช่วยดูแลท้ายเรือนของจวนปั๋วมันยังไม่สมเหตุสมผลตรงไหน ถึงอย่างไรเสีย ซื่อจื่อก็เป็นบุรุษ จะให้มาดูแลเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่นนี้งั้นรึ”

อาแปดฟังแล้วพยักหน้าตาม

“เมื่อได้อำนาจการดูแลจวนมาอยู่ในมือ ถึงแม้เด็กนั่นจะหายป่วยในภายหลัง แต่นางจะไล่พวกเราออกไปจริงๆ รึ การเชิญเทพมาจุตินั้นง่าย แต่จะเชิญเทพออกจากบ้านมันยาก ก่อนที่จวนปั๋วจะรับนายหญิงเข้ามาอย่างเป็นทางการ พวกเราก็จะมีสิทธิ์มีเสียงในจวนปั๋ว ถึงแม้ในอนาคตซื่อจื่อจะแต่งเมียเข้ามา ถึงตอนนั้น พวกเราก็คงจัดการทุกความสัมพันธ์ในจวนปั๋วได้จนชัดเจน หากคิดจะทำอะไรพวกเรา มันก็คงไม่ง่ายขนาดนั้นแล้วล่ะ ตาแก่ ท่านว่าข้าพูดถูกหรือไม่”

“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่เด็กนั่นแม้ดูเหมือนจะเสียใจ แต่ข้าว่าสภาพจิตใจก็ยังไม่แย่เสียทีเดียว”

อาสะใภ้แปดกลอกตาขาวใส่อาแปด “ข้ามีอายุมาถึงปูนนี้ เหตุการณ์ในห้องนั้นยังสามารถทำให้อาการอี้เจิ้งกำเริบได้ นั่นมันแค่เด็กสาวคนหนึ่ง หากเจอเรื่องน่าประหลาดเข้าไป จะไม่ตกใจจนล้มป่วยได้อีกรึ”

อาแปดพลันตาลุกวาว “เจ้าหมายถึง…ปลอมเป็นผี?”

อาสะใภ้แปดหัวเราะขึ้นมาราวกับได้ใจ “ใช่ ปลอมเป็นผีนั่นล่ะ พอตกดึก ก็ปล่อยผมเผ้าออกมาแล้วปลอมเป็นผีสตรีส่ายตัวไปมาต่อหน้าเด็กนั่น นางจะไม่ตกใจเป็นลมได้อีกรึ”

อาแปดคิดว่าเรื่องแบบนี้ เขามีความรัดกุมมากกว่าอาสะใภ้แปด “ในเมื่อจะปลอมเป็นผีหลอกคน ก็ต้องทำให้สำเร็จในครั้งเดียว หากว่าแค่ปล่อยผมลงมาคงไม่ปลอดภัยเท่าไหร่ ข้าคิดว่า ทาใบหน้าให้ขาว ให้ดูหน้าไม่ออกเลยจะดีกว่า…”

คนสองคนเริ่มลงรายละเอียดเกี่ยวกับการปลอมเป็นผีอย่างจริงจัง สุดท้ายต่างสบตาแล้วหัวเราะให้กัน

“ถ้าเช่นนั้นก็ตามนี้” อาแปดเทน้ำชาให้ตัวเองอีกหนึ่งแก้ว พร้อมกับยกขึ้นลิ้มรสน้ำชาในแก้วเคลือบสี

แก้วนี้จับดูแล้วช่างรู้สึกดีจริงๆ เงินทองทั้งนั้น

สายตาของอาสะใภ้แปดพลันแวววับ “แล้วใครจะเป็นคนปลอมเป็นผี”

อาแปดถูกถามจนชะงักไป

อาสะใภ้แปดพูดเองเออเอง “คนที่พวกเราพามาด้วยพึ่งพาไม่ได้ จะซื้อใจคนของจวนปั๋วตอนนี้ก็คงไม่ทัน…”

นางพูดไปพร้อมกับสบตากับอาแปด พลันเห็นความหมายจากสายตาของฝ่ายตรงข้าม “ตาแก่ นี่คงไม่ได้คิดว่าจะให้ข้าเป็นคนทำหรอกนะ”

อาแปดหัวเราะ “ยายแก่ เจ้านั่นล่ะที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ก็เหมือนกับที่เจ้าว่าไว้ ให้คนอื่นทำเจ้าก็ไม่ไว้ใจ เรื่องนี้อย่างไรเสียก็ต้องลงมือเองเนี่ยล่ะ”

อาสะใภ้แปดอ้าปากค้าง พลันนึกถึงสองมืออันเย็นเยือกในห้องโถงและตัวนางที่เกือบโดนฟ้าผ่า ก็ถึงกับขนลุกซู่ “ข้าทำไม่ได้!”

“ทำไม่ได้อย่างไร” อาแปดจ้องเขม่น

อาสะใภ้แปดจ้องเขม่นกลับอย่างไม่อ่อนข้อ “แล้วทำไมถึงไม่ใช่ท่านเล่า”

“ข้าเป็นบุรุษ จะให้ข้าเข้าไปที่พักของหญิงสาว มันจะไม่ถูกพบเจอได้ง่ายกว่ารึ” อาแปดกำลังพยายามปลีกตัวออกห่างจากพวกผีเทวดา

“ถ้าปลอมเป็นผีสาวแล้วมีคนเห็นเข้า จะยิ่งไม่เป็นที่สนใจกว่ารึ”

อาแปดไม่สามารถตอบโต้ได้อีก

“ตอนนี้บ่าวรับใช้ในจวนเกือบทั้งหมดยุ่งอยู่แต่กับที่ประกอบพิธี ทั้งวันมานี้ก็เหนื่อยกันจะแย่ พอตกดึกคงได้หลับเป็นตายแน่ๆ แล้วอีกอย่างถึงเจอผีสาวเข้าจริงๆ ก็คงพากันวิ่งหนีกันเตลิดเปิดเปิง จะมีใครกล้าเข้ามาดูใกล้ๆ กันเล่า” อาสะใภ้แปดหยิกอาแปดหนึ่งที “ข้าไม่สนล่ะ ยังไงข้าก็ไม่ไปคนเดียวแน่!”

อาแปดไม่มีวิธีอื่น จึงจำใจตกลงว่าจะไปด้วย

พอตกดึก ฝนก็หยุดลง ลมเย็นพัดผ่านจากด้านนอกเข้ามา จนมุ้งเตียงปลิวพลิ้วไสวไปมา

“อาซื่อ เจ้ายังไม่ไปนอนอีกรึ” เซี่ยชิงเหยาเห็นอาซื่อยืนอยู่ข้างหน้าต่างสักพักแล้วจึงเอ่ยถามออกไป

อาซื่อมองออกไปด้านนอกหน้าต่างครั้งสุดท้ายเสร็จจึงปิดหน้าต่างลง แล้วเดินไปข้างๆ เซี่ยชิงเหยา “นอนสิ”

เอ้อร์หนิวคงออกจากที่นี่ไปแล้ว นางไม่ได้กลิ่นของมันเลย

แต่วันนี้ลมพัดรุนแรง ก็อาจส่งผลต่อการได้กลิ่นของนาง

หากว่าเอ้อร์หนิวอยู่ตรงนี้ มันคงหิวแล้ว

เอ้อร์หนิวที่มีนายหญิงกำลังเป็นห่วงอยู่ ปากกำลังคาบไก่ตัวอ้วนวิ่งผ่านสวนดอกไม้มาทางเรือนเซี่ยชิงเหยา เมื่อวิ่งมาถึงด้านหน้าเรือนมันจึงหยุดแล้วอ้อมไปด้านข้างและไปยังด้านหลังพุ่มดอกไม้

กินไก่อ้วนนี่ให้หมดก่อนแล้วค่อยเข้าไปดีกว่า