ตอนที่ 197 คำถามของฟางเว่ยตั่ง

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 197 คำถามของฟางเว่ยตั่ง

หวังหรงมองหยางโร่วหลันด้วยแววตาเสียใจและเห็นใจสงสาร “ถิงถิงมีนิสัยใจร้อน แถมยังเอาแต่ใจมาตั้งแต่ไหนแต่ไร พอหล่อนโดนตบหน้าก็รู้สึกไม่พอใจมาก เลยโทรหาเพื่อนคนหนึ่ง ขอให้เขาช่วยหาคนมาจุดไฟเผาโรงแรมที่หลินม่ายพักอยู่ แล้วฉวยโอกาสนี้เข้าไปหลบอยู่ในห้องเพื่อทำให้หล่อนหวาดกลัว แต่นั่นก็เป็นแค่การกลั่นแกล้งเล็กน้อย ถิงถิงไม่ได้จริงจังถึงขั้นอยากให้หล่อนเสื่อมเสีย ใครจะคิดว่าหลินม่ายถึงขั้นโทรแจ้งตำรวจให้ตั้งข้อหาถิงถิงข้อหาก่ออาชญากรรมเพราะเหตุนี้”

หยางโร่วหลันไม่ใช่คนโง่ หล่อนเข้าใจสถานการณ์ทันทีว่าลูกสาวสุดที่รักของตนเองเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

แต่สิ่งที่เป็นปัญหา คือหลินม่ายไม่ได้รับอันตรายใด ๆ ด้วยซ้ำ ดังนั้นเธอจึงมีความผิดที่แจ้งตำรวจจนกลายเป็นเรื่องใหญ่

ความเกลียดชังฝังแน่นอยู่ภายในหัวใจทันที

ฟางเว่ยตั่งมองหวังหรงด้วยความสงสัย “ในเมื่อหนูรู้ว่าถิงถิงต้องการจ้างวานคนให้ไปยุ่งเกี่ยวกับหลินม่าย แล้วทำไมหนูถึงไม่ห้ามหล่อนตั้งแต่ตอนนั้น?”

หวังหรงมีไหวพริบฉลาดเฉลียวมากกว่าลูกสาวของเขา ตั้งแต่สมัยเด็ก ๆ หล่อนมักจะหลอกใช้ฟางถิงให้เป็นเครื่องมือแทนตัวเองเสมอ

น่าเสียดายที่ฟางถิงกลับไม่รู้อะไรเลย และยังคงคบหาเป็นเพื่อนที่ดีของหวังหรง เรื่องนี้ทำให้ฟางเว่ยตั่งรู้สึกรังเกียจนิสัยใจคอของหวังหรงมาก

นอกจากนี้ ในเมื่อหลินม่ายคบหากับฟางจั๋วหราน คนที่ควรเกลียดชังหลินม่ายมากที่สุดไม่ควรเป็นหวังหรงหรอกหรือ?

เป็นการยากที่จะรับประกันว่าหวังหรงไม่ได้ฉวยโอกาสนี้ยุยงให้ฟางถิงไปหาเรื่องลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง จากนั้นก็ผลักให้หล่อนกลายเป็นคนสร้างปัญหา

คำถามเพียงหนึ่งประโยคปลุกคนให้ตื่นจากฝัน ใบหน้าของหยางโร่วหลันมืดลง จากนั้นก็หันไปถามหวังหรง “ทำไมหนูถึงไม่ห้ามหล่อนล่ะ?”

หวังหรงผายมือออกอย่างช่วยไม่ได้ “ถิงถิงไม่ได้เล่าแผนการให้หนูฟังนี่คะ หนูก็เลยไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง… จะห้ามหล่อนก็ไม่ทันเสียแล้ว!”

ฟางเว่ยตั่งกับหยางโร่วหลันหันมองหน้ากันอย่างจนปัญญา

แม่ของหวังหรงฉวยโอกาสเติมน้ำมันเข้ากองเพลิง “พวกคุณลองไปหาหลินม่ายสิคะ ขอให้หล่อนไปถอนแจ้งความถิงถิงซะ ถ้าหล่อนไม่ยอมทำ ก็จัดการทุบร้านอาหารของหล่อนเสียเลย!”

หวังหรงรีบห้ามปราม “คุณลุง คุณป้า เราไม่จำเป็นต้องทำอะไรรุนแรงกับหลินม่ายก็ได้ค่ะ พวกคุณแค่ไปเจรจาให้หล่อนยอมความในคดีของถิงถิงนอกศาล แค่นี้ถิงถิงก็ไม่เป็นไรแล้ว”

หยางโร่วหลันถามอย่างนึกสงสัย “เจรจายอมความกันนอกศาล? แต่ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงบังคับใช้กฎหมายนะ”

“เรื่องนี้… หนูก็รับประกันไม่ได้เหมือนกันค่ะ แต่ไม่ลองดูก็ไม่รู้ถูกไหมคะ? ไม่อย่างนั้นอนาคตของถิงถิงคงจบเห่แน่”

พอพูดมาถึงตรงนี้ แววตาของหวังหรงก็มืดมนลง “แต่หนูเกรงว่าหลินม่ายคงไม่ยอมตกลงเจรจายอมความนอกศาลแน่ค่ะ ถิงถิงคงต้องอยู่ในห้องขังไปอีกสักระยะหนึ่ง”

หยางโร่วหลันกัดฟันพูดอย่างหมดหนทาง “เราจะลองไปขอร้องหล่อนดูก่อน ไม่ว่าหล่อนจะตั้งเงื่อนไขอะไรก็ตาม พวกเรายอมทำตามข้อตกลงของหล่อนทั้งนั้น ป้าไม่เชื่อหรอกว่าถึงขั้นนี้แล้วหล่อนจะไม่ยอมเจรจายอมความนอกศาลจริง ๆ”

ร่องรอยความชั่วร้ายปรากฏขึ้นในแววตาของหวังหรง

อย่างที่หยางโร่วหลันบอก ตอนนี้ยังอยู่ในช่วงที่มีการบังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด ตราบใดที่คนถูกจับในข้อหากระทำการอันธพาล การเจรจายอมความนอกศาลคงเป็นไปไม่ได้

แต่ถึงแม้ศาลและตำรวจจะไม่ยอมปล่อยตัวฟางถิง ฟางเว่ยตั่งกับภรรยาของเขาก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากพุ่งเป้าความไม่พอใจไปที่หลินม่ายซึ่งเป็นต้นเหตุ

หลังจากนั้นละครฉากใหญ่ก็จะเกิดขึ้น

หยางโร่วหลันกับสามีของเธอเดินทางไปที่ร้านอาหารของหลินม่ายอย่างไม่รอช้า

ฟางจั๋วหรานจัดหาเอกสารแบบทดสอบวัดระดับของชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามมาให้หลินม่ายหนึ่งชุด เพราะอยากรู้ว่าเธอมีระดับความเข้าใจในการเรียนแค่ไหน

ถึงชีวิตจริงของหลินม่ายในภพชาติปัจจุบันจะมีระดับการศึกษาสูงกว่าชั้นมัธยมปลาย แต่นั่นก็ผ่านมาหลายสิบปี เธอเกือบลืมความรู้ทั้งหมดที่เคยเรียนในสมัยอยู่ชั้นมัธยมไปแล้ว

พอลองอ่านแบบทดสอบคร่าว ๆ เธอก็พอจดจำหลักการคิดขึ้นมาได้บ้าง แต่กลับไม่แม่นยำเท่าไรนัก

ดังนั้นระหว่างทำแบบทดสอบจึงต้องพลิกเปิดหนังสือเรียนควบคู่ไปด้วย

โชคดีที่เธอมีความสามารถในการเรียนรู้ที่รวดเร็ว การกลับมาเรียนอีกครั้งจึงไม่ยากเย็น

ถึงสมองของเธอจะลืมเลือนทุกอย่างไปแล้วก็ตาม แต่เมื่ออ่านทบทวนอีกครั้ง ความทรงจำก็กลับคืนมาในไม่ช้า

ขณะที่เธอกำลังทำแบบทดสอบอยู่ชั้นบน โจวฉายอวิ๋นก็เดินขึ้นมาบอกว่ามีคนกำลังตามหาเธอ

หลินม่ายถามกลับ “ใครเหรอ?”

โจวฉายอวิ๋นทำท่าทางเหมือนไม่ค่อยชอบหน้าแขกที่มาเยือนสักเท่าไหร่ “พวกเขาไม่ยอมบอก”

หลินม่ายขมวดคิ้ว ก่อนจะเดินลงไปข้างล่าง พอเห็นว่าแขกแปลกหน้าเป็นฟางเว่ยตั่งกับภรรยา ก็คาดเดาจุดประสงค์ในการมาของพวกเขาได้ทันที

แต่เธอแกล้งทำเป็นไม่รู้ ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “มีเรื่องอะไรให้ฉันช่วยหรือเปล่าคะ?”

ฟางเว่ยตั่งชำเลืองมองไปรอบร้านอาหารซึ่งเต็มไปด้วยลูกค้าที่กำลังกินข้าวอย่างเอร็ดอร่อย

แน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาต้องการเจรจากับหลินม่าย ไม่ใช่เรื่องที่ควรให้ผู้อื่นได้ยิน ดังนั้นจึงเสนอว่า “ออกไปคุยกันข้างนอกเถอะ”

หลินม่ายเดินตามพวกเขาออกจากร้านไป ทั้งสามเดินมาหยุดอยู่ตรงหัวมุมถนนที่ว่างเปล่า

หยางโร่วหลันเป็นฝ่ายพูดก่อนด้วยความโกรธ “ถิงถิงถูกตำรวจจับ เธอคงรู้เรื่องนี้แล้วสินะ?”

หลินม่ายมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความข้องใจ “ฉันไม่ใช่ญาติของหล่อนเสียหน่อย หล่อนถูกจับกุม ตำรวจก็ไม่ได้ส่งคนมาแจ้งฉัน ฉันจะรู้เรื่องนี้ได้ยังไงล่ะคะ!”

หยางโร่วหลันสวนกลับทันควัน “ถิงถิงโดนจับก็เพราะเธอเป็นต้นเหตุ ยังทำเป็นไขสืออีกเหรอ?”

ฟางเว่ยตั่งเห็นว่าหยางโร่วหลันจ้องจะเปิดฉากทะเลาะอยู่ท่าเดียว เขากลัวว่าเรื่องราวจะบานปลายไปมากกว่านี้ จึงรีบห้ามปรามหล่อนไว้ “คุณอย่าเพิ่งพูดอะไรเลยน่า!”

หลินม่ายถามอย่างเย็นชา “เพราะฉันเป็นต้นเหตุงั้นเหรอ? คุณพูดแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

ฟางเว่ยตั่งโบกมือ “คุณป้าหยางเขาร้อนใจเกินไปเพราะถิงถิงถูกจับกุม อย่าเก็บคำพูดคำจาของหล่อนมาใส่ใจเลย”

ก่อนหน้านี้หยางโร่วหลันพยายามเตือนตัวเองว่าต้องระงับอารมณ์เข้าไว้ พยายามยับยั้งชั่งใจอย่างสุดความสามารถ

แต่เมื่อหวนนึกถึงลูกสาวเพียงคนเดียวของตัวเองที่ถูกตำรวจควบคุมตัวไป หล่อนก็สงบสติอารมณ์ไว้ไม่ได้อีก

หล่อนขึ้นเสียงใส่หลินม่าย “เธออย่าเสแสร้งทำเป็นสับสนไปหน่อยเลย ถ้าเธอไม่โทรแจ้งตำรวจ ถิงถิงของฉันจะโดนจับกุมแบบนี้ไหม?”

หลินม่ายโต้กลับ “ถ้าลูกสาวของคุณไม่พยายามทำร้ายฉันก่อน ฉันจะโทรแจ้งตำรวจทำไมล่ะ?”

หยางโร่วหลันพูดพลางกลอกตา “แต่เธอก็ยังสบายดีไม่ใช่หรือ?”

หลินม่ายเกลียดประโยคนี้ที่สุด ถ้าคุณจ้องจะทำร้ายคนอื่นแต่กลับล้มเหลว คุณก็อ้างว่าเหยื่อไม่ได้รับความเสียหาย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบอะไร นี่มันไม่มากเกินไปหน่อยหรือ

หลินม่ายตอกกลับด้วยสีหน้าเย็นชา “คุณอยากให้ฉันถอนแจ้งความคดีก่ออาชญากรรมของฟางถิงนักใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นคุณก็ให้การในชั้นศาลเลยสิ ว่าทุกคดีที่เกี่ยวข้องกับการพยายามฆ่า ต่อให้จะเป็นแค่การวางยาพิษก็ตาม ตราบใดคนไม่ตาย คนร้ายก็ไม่จำเป็นต้องรับโทษ!”

หยางโร่วหลันกลายเป็นฝ่ายตกตะลึงจนพูดไม่ออก

ฟางเว่ยตั่งโกรธภรรยาของเขามาก จนถึงขั้นตบหน้าหล่อนเสียงดัง แล้วแค่นเสียงตะโกนออกมา “คุณช่วยหุบปากสักทีได้ไหม?”

เสียงดังเอ็ดตะโรของเขาทำให้คนที่เดินผ่านไปมาต่างชะเง้อคอมองอย่างอยากรู้อยากเห็น

ทั้งสามรีบหันหลังให้คนเหล่านั้นโดยปริยาย เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเขาสอดแทรกสายตามองเห็นได้

จนกระทั่งพวกเขาเดินผ่านไปแล้ว หยางโร่วหลันจึงคุกเข่าลงตรงหน้าหลินม่าย พร้อมกับโขกศีรษะราวกับโขลกกระเทียม(1) น้ำตาไหลอาบแก้ม

ขณะทำแบบนั้นก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น “หลินม่าย โปรดช่วยเหลือถิงถิงของเราด้วยเถอะ ถ้าหล่อนถูกตัดสินว่ามีโทษฐานกระทำอันธพาล หล่อนจะถูกจำคุกตลอดชีวิตจนหมดอนาคต!”

หลินม่ายตกตะลึง “หล่อนถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานกระทำอันธพาลด้วยเหรอ? หล่อนไม่ได้ถูกตั้งข้อหาพยายามวางเพลิงอย่างเดียวหรือคะ?”

เธอจำได้ว่าก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ตำรวจแจ้งให้เธอทราบแค่นั้น

หยางโร่วหลันร้องไห้ด้วยความทุกข์ระทม “มีความผิดคดีวางเพลิง แล้วยังมีความผิดฐานกระทำอันธพาลด้วย”

สำหรับยุคสมัยนี้ ความผิดฐานกระทำอันธพาลนั้นมีโทษร้ายแรงมาก

แต่ทั้งหมดนี้ก็เป็นความผิดของฟางถิง ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอะไรกับเธอเลย

หลินม่ายเพิกเฉยต่อเสียงคร่ำครวญของอีกฝ่าย เมื่อเห็นว่าพวกเขาไม่มีอะไรจะพูดแล้ว จึงหันหลังเตรียมเดินจากไป

หยางโร่วหลันรีบร้อนลุกขึ้นจากพื้น คว้ามือของเธอเอาไว้ ก่อนจะขอร้องอ้อนวอน “เห็นคนใกล้ตายแล้วไม่คิดจะช่วยเลยหรือ?”

หลินม่ายพูดยอกย้อนเชิงโวหาร “ทำไมฉันจะเพิกเฉยต่อคนใกล้ตายไม่ได้ล่ะคะ? อย่าลืมสิ ลูกสาวของคุณอยากทำลายชีวิตของฉันให้เสื่อมเสีย หล่อนถึงขั้นพยายามจะฆ่าฉัน แล้วจะให้ฉันช่วยหล่อนได้ยังไง? หล่อนถูกตัดสินว่ามีความผิดฐานกระทำอันธพาลร่วมด้วย ฉันไม่หัวเราะเยาะในชะตากรรมของหล่อนก็ดีแค่ไหนแล้ว”

หลินม่ายพยายามดึงมือออกจากการเกาะกุมของหยางโร่วหลัน ตั้งท่าจะจากไปอีกครั้ง

ความหวังเลือนรางลงไปทุกที หยางโร่วหลันยังคงตะโกนไล่หลัง “ฉันแค่อยากให้เธอเจรจายอมความคดีของถิงถิงนอกศาล แล้วพวกเราจะจ่ายเงินชดเชยให้เธอห้าพันหยวน แบบนี้เป็นอย่างไร?”

เมื่อเห็นว่าหลินม่ายไม่ตอบรับทั้งยังไม่มีท่าทางว่าจะหันกลับมา หยางโร่วหลันก็กัดฟันพูด “ถ้าห้าพันยังไม่พอ งั้นฉันจะจ่ายให้หนึ่งหมื่น!”

นี่คือจำนวนเงินสูงสุดเท่าที่ครอบครัวของหล่อนสามารถหามาจ่ายให้ได้

ฟางเว่ยตั่งหยุดหล่อนไว้ด้วยเสียงต่ำ “คุณควักเงินเก็บทั้งหมดที่บ้านเรามีออกมาแบบนี้ แล้วถ้าวันหนึ่งลูกชายต้องแต่งงานล่ะ?”

ลูกชายคนโตของพวกเขาคบหากับแฟนสาวมาระยะหนึ่งแล้ว และเขาวางแผนไว้ว่าจะแต่งงานในวันชาติปีนี้

หยางโร่วหลันพูดทั้งน้ำตานองหน้า “ให้ลูกเราแต่งงานช้าหน่อยคงไม่เป็นไรหรอก แต่ถ้าเราไม่ยอมจ่ายเงินเพื่อช่วยถิงถิง คราวนี้ถิงถิงต้องถูกยิงเป้าแน่!”

ฟางเว่ยตั่งถอนหายใจอย่างจนปัญญาเช่นกัน

เงินจูงใจซึ่งมีมูลค่ามหาศาล ทำให้หลินม่ายหยุดพิจารณาได้สำเร็จ เธอกำลังคิดวิเคราะห์ถึงความจำเป็นต่าง ๆ

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเจรจายอมความนอกศาล หรือค่าชดเชยที่เธอจะได้รับจากหยางโร่วหลันและสามีของหล่อน

เธอสนใจเรื่องไหนมากกว่ากัน?

ต้องเป็นเงินไม่ผิดแน่ เพราะตอนนี้เธอยังขาดแคลนเงินสำหรับซื้อบ้าน

ถึงแม้รอต่อไปอีกหน่อยก็สามารถหาเงินครบตามจำนวนที่กำหนดในไม่ช้านี้ แต่คงเป็นเรื่องดีไม่น้อย ถ้าจู่ ๆ ก็มีคนหยิบยื่นเงินให้เธอเอาไปจ่ายค่าบ้านฟรี ๆ

แต่เงินแค่หนึ่งหมื่นหยวนจะทำให้ฟางถิงได้รับบทเรียนจริง ๆ หรือเปล่า?

เธอต้องการฆ่านกสองตัวด้วยหินก้อนเดียว ได้รับเงินชดเชยจำนวนมาก และต้องสั่งสอนบทเรียนให้กับฟางถิง

“หนึ่งหมื่นหยวนยังน้อยเกินไป ฉันไม่ยอมรับข้อตกลงนี้!” หลินม่ายต่อรองกับหยางโร่วหลันและสามีของหล่อนด้วยท่าทางสบาย ๆ

ฟางเว่ยตั่งถามด้วยความลังเล “แล้วคุณต้องการเท่าไหร่?”

“ถ้าฉันไม่ได้รับเงินค่าชดเชยสองหมื่นหยวน ฉันไม่ยอมเจรจายอมความนอกศาลเด็ดขาด”

หยางโร่วหลันพูดตะกุกตะกัก “นี่… นี่มันมากเกินไป ครอบครัวเราหาเงินมากขนาดนั้นมาจ่ายให้เธอไม่ได้หรอกนะ”

“ถ้าอย่างนั้นก็ถอดใจเรื่องช่วยเหลือฟางถิงซะเถอะค่ะ!” หลินม่ายเยาะเย้ย “ฉันขอแลกชีวิตคนด้วยราคาสองหมื่นหยวน แต่คุณกลับคิดว่ามันแพงเกินไป เมื่อเป็นแบบนี้ฉันคงช่วยอะไรหล่อนไม่ได้!”

สองสามีภรรยาหันมองหน้ากันอย่างหนักใจ

ฟางเว่ยตั่งหงายไพ่ไม้ตายทางบุญคุณออกมา “เสี่ยวหลิน เห็นแก่พ่อแม่ของผมที่มีเมตตาต่อคุณ พวกเราขอให้คุณตอบแทนน้ำใจของพวกเขาโดยการช่วยถิงถิงสักครั้ง เราไม่ขออะไรมากไปกว่านี้ พวกเราสัญญาว่าหลังจากนี้จะลงโทษและสั่งสอนถิงถิงให้ดี”

หลินม่ายพูดอย่างไม่แยแส “อย่าหยิบยกเอาบุญคุณของคุณปู่ฟางมาอ้างหน่อยเลย ต่อให้คุณจ่ายเงินให้ฉันหนึ่งล้านหยวน ฉันก็ไม่มีวันเจรจายอมความนอกศาลแน่!”

หยางโร่วหลันพูดเชิงข่มขู่ “เธอไม่กลัวว่าพวกเขาจะโกรธเธอ หลังจากรู้ว่าเธอไม่ยอมช่วยหลานสาวของพวกเขาหรือไง?”

หลินม่ายหัวเราะเยาะ “ฉันคิดว่า ถ้าคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางรู้เข้าว่าพวกคุณข่มเหงฉันทุกวิถีทางเพื่อบีบบังคับให้ช่วยฟางถิง เกรงว่าพวกเขาจะตัดญาติขาดมิตรกับพวกคุณซะมากกว่า!”

สองสามีภรรยานิ่งอึ้งไป พวกเขาตระหนักดีว่าคุณปู่ฟางและภรรยาของเขานั้นมีอุปนิสัยซื่อตรงอย่างไรบ้าง

ท้ายที่สุด ทั้งคู่ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมตกลงทำตามคำขอของหลินม่าย จ่ายเงินชดเชยจำนวนมหาศาลให้เธอรวมสองหมื่นหยวน

แต่พวกเขาร้องขอไว้ว่าจะจ่ายให้ก่อนหนึ่งหมื่นหยวน ส่วนอีกหนึ่งหมื่นหยวนจะจ่ายให้หลังจากที่ฟางถิงได้รับการปล่อยตัวอย่างปลอดภัย

หลินม่ายครุ่นคิดเพียงครู่ จากนั้นก็ตอบตกลง

ถึงอย่างนั้นก็ไม่ลืมเขียนสัญญาชำระหนี้ขึ้นมา เพราะกลัวว่าพวกเขาจะเบี้ยวหนี้ในภายหลัง

นอกเหนือจากนี้ เธอยังเพิ่มเงื่อนไขเข้าไปด้วยว่า ถ้าทางตำรวจหรือศาลไม่อนุมัติให้มีการเจรจายอมความกันนอกศาล เงินจำนวนหนึ่งหมื่นหยวนนี้จะไม่มีการคืนให้แต่อย่างใด

ฟางเว่ยตั่งและภรรยาของเขายอมตกลง เนื่องจากตอนนี้ชะตากรรมของลูกสาวสุดที่รักของพวกเขาตกอยู่ในเงื้อมมือของเธอเสียแล้ว…

ทันทีที่บรรลุข้อตกลงร่วมกัน หลินม่ายก็ปฏิบัติต่อสองสามีภรรยาเป็นอย่างดี “ถิงถิงจงใจก่อเรื่องโดยประมาท ปฏิบัติต่อคนอื่นราวกับชีวิตของพวกเขาไม่มีค่า คิดจะทำร้ายตามใจชอบอย่างไรก็ได้ เป็นเพราะพ่อแม่อย่างพวกคุณไม่ยอมอบรมสั่งสอนหล่อนให้ดี ฉันหวังแค่ว่าถ้าหล่อนโชคดีได้รับการปล่อยตัวในครั้งนี้ พวกคุณจะลงโทษหล่อนให้สาสม ไม่อย่างนั้นหล่อนคงทำผิดอีกครั้งแล้วครั้งเล่า”

ฟางเว่ยตั่งและภรรยาของเขาพยักหน้ารัวเหมือนไก่จิกข้าว “เราจะทำแน่นอน เราจะทำแน่นอน!”

……………………………………………………………………………………………………………….

หมายถึงโขกเร็ว ๆ รัว ๆ เพื่อร้องขอความเห็นใจอย่างหนัก

สารจากผู้แปล

เอาสิ สองหมื่นหยวนห้ามเบี้ยว ไม่งั้นลูกสาวตายนะ

ต้องให้ยัยถิงมันเดินเข้าลานประหารแล้วรอดแบบหวุดหวิดอะถึงจะสำนึกจริงๆ เพราะถ้าไม่สำนึกก็คือตาย บางคนมันกลับตัวกลับใจได้ก็ตอนที่ใกล้จะตายนี่แหละ

ไหหม่า(海馬)