บทที่ 191 ออกกำลังกายกลางดึก

Top Star ระบบปั้นเธอให้เป็นดาว

บทที่ 191 ออกกำลังกายกลางดึก

บทที่ 191 ออกกำลังกายกลางดึก

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว วันที่รักในฝันออกอากาศมาถึง กิจกรรมดูละครในห้องประชุมประจำสัปดาห์ก็วนมาอีกครั้ง

เพียงแค่ครั้งนี้มีอวิ๋นเหมี่ยวเพิ่มมา

เธอนั่งอยู่เงียบ ๆ ฟังซูโย่วอี๋และฮันเจ๋อหยางพูดคุยกัน บางครั้งก็พูดสองสามประโยค

เธอไม่จู้จี้จุกจิกและไม่ทำตัวยุ่งยาก

ในละคร เหตุการณ์ในเมืองกู้ชิงถูกฮั่วเสวียนควบคุมไว้จนหมด อวิ๋นเหมี่ยวยังคงรักษารอยยิ้มเอาไว้ รอจนทั้งสองตอนออกอากาศจนจบจึงพูดขึ้นอย่างอ่อนหวาน “ขอบคุณคุณซูนะคะ วันนี้ฉันน่าจะได้ขึ้นการค้นหาร้อนแรงแล้ว”

ซูโย่วอี๋มองเธออย่างสงสัยแต่พบว่าสายตาของอวิ๋นเหมี่ยวเต็มไปด้วยรอยยิ้มอันอบอุ่น ไม่ได้มีความเยาะเย้ยหรือประชดประชันอยู่เลยแม้แต่น้อย เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นในใจ

ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ใช่พึ่งเกิดขึ้น แต่มันเกิดขึ้นมาตลอดหลายวันแล้ว

เหมือนกับว่าอวิ๋นเหมี่ยวเก็บความรู้สึกตะขิดตะขวงในตัวเธอไปหมด และแสดงท่าทีต่อเธอ… ดีขึ้น

สวีโหมวเองก็พอใจกับผลลัพธ์ในโทรทัศน์มาก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “อวิ๋นเหมี่ยว คุณเองก็ไม่เลวเลยนะ”

อวิ๋นเหมี่ยวพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง แต่ในใจกลับไม่เห็นด้วย แน่นอนว่าเธอต้องไม่เลวอยู่แล้ว

แต่บทบาทนางเอกของเธอกลับกลายเป็นนางรองไปแล้ว!

คนที่อยู่ในวงการบันเทิงมาหลายปีกลับเปิดทางให้กับนักแสดงหน้าใหม่!

ไม่เลวเลยจริง ๆ !

ทีมงานที่รับผิดชอบข้อมูลรีบนำเสนอผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่าเรตติ้งถึงจุดสูงสุดอีกครั้ง และเป็นประวัติการณ์

อีกทั้งหัวข้อละครรักในฝันยังโด่งดังในสื่อโซเชียลต่าง ๆ มากมาย แม้จะไม่ได้เสียเงินจ้างคนให้ลงข่าวในอินเทอร์เน็ตแม้แต่น้อย แต่ชาวเน็ตก็พร้อมใจกันโปรโมตละครให้ครั้งใหญ่และแนะนำให้คนที่ไม่เคยดูหรือคนที่ไม่รู้จักลองไปดู

คะแนนในโต้วป้านก็สูงมาก ทะลุไปถึง 9 ทั้งที่เรตติ้งละครแนวย้อนยุคอีกหลายเรื่องที่ออกอากาศในช่วงเวลาเดียวกันนั้นอยู่ที่แปดคะแนนหรือต่ำกว่านั้น

หลังสิ้นสุดการออกอากาศ นักแสดงทั้งสี่คนก็เดินกลับห้องไปพร้อมกัน

“คุณซู อากาศที่โม่เป่ยแห้งมากเลยนะคะ แต่ฉันเห็นว่าผิวของคุณก็ยังดีอยู่เลย มีเคล็ดลับอะไรหรือเปล่าคะ?”

เอิ่ม

ซูโย่วอี๋มายังโม่เป่ยได้ไม่นานก็พบกับปัญหาเรื่องอากาศแห้ง จึงให้สุนัขจิ้งจอกเข้าไปแลกเปลี่ยน ‘เม็ดยาให้ความชุ่มชื้น’ มาเล็กน้อย หลังจากที่ได้ใช้ผิวของเธอก็ชุ่มชื่นอยู่ตลอด

ดีกว่าตอนที่อยู่ปักกิ่งเสียอีก

ช่างแต่งหน้าของซูโย่วอี๋มักจะแอบถอนหายใจ นี่คือผิวของมนุษย์เหรอ?

ดาราก็ยังคงเป็นดารา แม้จะตากแดดตากลมเหมือนกัน นอนดึก ดื่มชานม พวกเธอก็จะยิ่งสวยมากยิ่งขึ้น ส่วนคนธรรมดา ๆ ก็มีแต่จะเป็นสิว รูขุมขนกว้าง ขอบตาดำเพิ่มมากขึ้นในทุก ๆ วัน

“ก็… ใช้มาส์กหน้าบ่อย ๆ ใช้แผ่นเดียวไม่พอ ต้องสองแผ่นเลยค่ะ”

อวิ๋นเหมี่ยวอารมณ์เสีย “งั้นคงเป็นเพราะฉันไม่ชินกับสภาพอากาศ ใช้มาส์กหน้าก็แล้ว ไม่มีผลลัพธ์อะไรเลย”

“คงจะต้องอยู่ที่นี่ไปอีกสักประมาณครึ่งเดือน คงทำได้แค่ทนไปก่อนค่ะ”

ซูโย่วอี๋มาถึงหน้าประตูห้องพักก่อน เธอเลยบอกลาคนที่เหลืออีกสามคน

จู่ ๆ อวิ๋นเหมี่ยวก้าวเข้าไปหาเธอสองก้าว “คุณซู หลายวันมานี้ฉันพึ่งเจอร้านอาหารเช้าที่อร่อยมาก ๆ ซาลาเปา หมั่นโถว และโจ๊กที่นั่นไม่เลวเลย พรุ่งนี้อยากไปลองด้วยกันไหมคะ?”

ซูโย่วอี๋นิ่งไปและพูดขึ้น “ได้ค่ะ งั้นพรุ่งนี้เช้าเจอกัน”

ส่วนฮันเจ๋อหยางยืนเอามือข้างหนึ่งล่วงกระเป๋าอยู่ไม่ไกล “ผมไปด้วย พรุ่งนี้โทรหาผมด้วยนะ”

“ได้สิคะ รุ่นพี่ฮัน”

พูดจบอวิ๋นเหมี่ยวหันไปมองป๋ายลิ่นที่ยังไม่ได้เข้าห้อง “คุณป๋ายอยากไปด้วยกันไหมคะ?”

สายตาของป๋ายลิ่นมองไปยังซูโย่วอี๋และรีบหันกลับไป “ไม่ดีกว่าครับ พวกคุณไปกันเถอะ”

ซูโย่วอี๋เข้าไปในห้อง เมื่อครุ่นคิดย้อนไป เหมือนป๋ายลิ่นจงใจหลีกเลี่ยงเธอในช่วงหลายวันมานี้ จนเธอเลิกคิ้วขึ้นอย่างสงสัย

โทรศัพท์สายนั้นคงจะทรงพลังมากจริง ๆ

ไม่นานก็ทำให้ป๋ายลิ่นรู้ตัวและยอมถอยไปแล้ว

ใครจะไปรู้ว่าป๋ายลิ่นได้รับการตักเตือนจากลู่เฉินเพียงเท่านั้น

ซูโย่วอี๋ลืมเรื่องทั้งหมดและเข้าไปยังพื้นที่ในระบบ เธอรู้สึกว่าการถ่ายละครในช่วงนี้ต้องจริงจังกับการฝึกฝนความ [สง่างาม] มากขึ้น

ความ [สง่างาม] และความ [เพรียวบาง] นั้นต่างกัน การฝึกฝนแรกเธอต้องลดน้ำหนักให้ได้ห้าสิบกิโลกรัมในหนึ่งเดือน ซูโย่วอี๋จะต้องออกกำลังกายมากกว่าสองชั่วโมงทุกวัน

ด้านความสง่างามก็เหมือนกับการฝึกฝนในชีวิตจริง ซูโย่วอี๋ฝึกฝนทุกวัน แต่ความคืบหน้าในการฝึกฝนนั้นช้ามาก

สุนัขจิ้งจอกคอยเตือนอยู่หลายครั้ง ซูโย่วอี๋จึงเข้มงวดกับการฝึกฝนมาก ถ้าเลิกงานไวก็จะกลับมาฝึกหนึ่งถึงสองชั่วโมง

จากหนึ่งร้อยแปดประเภทการฝึกฝน วันนี้พึ่งผ่านไปได้แค่ครึ่งหนึ่ง

ฝึกฝนเสร็จซูโย่วอี๋นอนอยู่กลางพื้นที่มิติ “เจ้าจิ้งจอกเน่า ฉันรู้สึกเหมือนว่าวันหนึ่งฉันทำงานสองอย่างเลย กลางวันถ่ายละคร กลางคืนยังต้องออกกำลังกายอีก”

สุนัขจิ้งจอกกลอกตาไปมา [ทำไมไม่พูดถึงตอนออกกำลังกายกับลู่เฉินดึก ๆ ดื่น ๆ ล่ะ]

!

นั่นคือการออกกำลังกายหรือไง?

“เจ้าจิ้งจอกเน่า นายเปลี่ยนไปนะ อย่าลืมว่านายยังไม่บรรลุนิติภาวะนะ!”

สุนัขจิ้งจอกไม่สนใจ [อะไรที่ควรเข้าใจ ฉันก็เข้าใจหมดแล้ว]

ซูโย่วอี๋กระแอมเบา ๆ ลูกชายคนนี้โตแล้วคงหลอกไม่ได้แล้วสิเนี่ย

เธอคลานขึ้นมาจากพื้น จับหูสามเหลี่ยมของสุนัขจิ้งจอกไว้ “เด็กก็ควรทำตัวให้สมเป็นเด็ก เข้าใจไหม?”

สุนัขจิ้งจอกไม่พอใจจึงกัดฟันพูดขึ้น [ซู่จู่ ปล่อยเลยนะ อย่าบังคับให้ฉันต้องใช้กำลัง]

โหวววว

ซูโย่วอี๋รู้สึกสนุกขึ้นมาจึงจับแรงขึ้น สุนัขจิ้งจอกเจ็บจนร้องออกมา [ฉันผิดไปแล้ว ๆ]

แต่ในใจของมันกลับไม่เห็นด้วย ซู่จู่นี่กล้าทำแต่กลับไม่กล้ายอมรับจริง ๆ

หึ

ก็เธอกับลู่เฉินกำลังออกกำลังกายชัด ๆ

เช้าวันต่อมา ซูโย่วอี๋ อวิ๋นเหมี่ยว และฮันเจ๋อหยางไปที่ร้านซาลาเปาในซอยข้างโรงแรมด้วยกัน

เมื่อเถ้าแก่เจ้าของร้านเห็นอวิ๋นเหมี่ยวก็ทักทายด้วยความกระตือรือร้น “แม่หนู มาซื้อซาลาเปาอีกแล้วเหรอ?”

อวิ๋นเหมี่ยวมองดูคนสองคนที่อยู่ด้านหลัง “ค่า ร้านของคุณลุงทำอร่อยมาก ฉันเลยพาเพื่อนมาลองชิม ฉันขอเหมือนเดิมแล้วกันค่ะ”

เจ้าของร้านหัวเราะขึ้นและเปิดเตานึ่ง “ขอบคุณนะ กิจการร้านพวกเราต้องพึ่งพาการแนะนำจากลูกค้าเก่า พวกเธอวางใจได้เลย เนื้อที่ร้านของเราใช้เป็นของดีทั้งนั้น”

อวิ๋นเหมี่ยวดึงมือซูโย่วอี๋อย่างสนิทสนม “คุณลองดู ชอบกินอะไรคะ? ฉันเลี้ยงเอง ไม่ต้องเกรงใจนะคะ”

ซูโย่วอี๋ไม่พูดอะไรพลางก้าวเดินไปสองก้าวและยกมือขึ้น “เถ้าแก่ ขอซาลาเปาเนื้อหลงเจี๋ยงหนึ่ง น้ำเต้าหู้หวาน ๆ หนึ่งค่ะ”

พูดจบก็มองไปยังฮันเจ๋อหยาง “รุ่นพี่ คุณกินอะไรดี?”

ฮันเจ๋อหยางเหมือนยังไม่ตื่นดีเลยหาวออกมา “ซาลาเปาเนื้อหนึ่งเข่ง กับโจ๊กหนึ่งถ้วย”

เถ้าแก่เจ้าของร้านตะโกนขึ้น “โอเค พวกคุณนั่งรอสักครู่ เดี๋ยวจะรีบนำไปให้”

เก้าอี้ในร้านมีน้อยมาก อวิ๋นเหมี่ยวและซูโย่วอี๋นั่งลงก่อนตรงข้ามกัน ส่วนฮันเจ๋อหยางไม่ลังเลที่จะลากเก้าอี้นั่งมานั่งข้าง ๆ ซูโย่วอี๋

ฝ่ายชายตัวใหญ่ทำให้ซูโย่วอี๋และฮันเจ๋อหยางนั่งค่อนข้างเบียดกัน

อวิ๋นเหมี่ยวหัวเราะและยืนขึ้น “รุ่นพี่ฮัน คุณมานั่งฝั่งนี้เถอะ ฉันนั่งกับซูโย่วอี๋เอง”

ฮันเจ๋อหยางยักไหล่อย่างไม่แยแส “ไม่เป็นไร”

พอดีกับที่เถ้าแก่เจ้าของร้านยกซาลาเปามา “ไอ้หยา แต่ละคนหน้าตาสะสวยอย่างกับดอกไม้ นี่พวกเธอมาถ่ายละครกันเหรอ”

อวิ๋นเหมี่ยวไม่รู้สึกลำบากใจที่ถูกปฏิเสธและนั่งลง “ค่ะ พวกเราคือทีมละครรักในฝันน่ะค่ะ”

เถ้าแก่เนี้ยที่อายุราว ๆ สี่สิบกว่าได้ยินเช่นนั้นก็มองดูพวกเธออย่างละเอียดอีกรอบ ทันใดนั้นก็นึกขึ้นมาได้ “ไอ้หยา พวกเธอนี่เอง ลูกสาวของผมดูทุกวันเลย แม่หนู หนูคือคนที่แสดงเป็นกู้ชิงเฉิงใช่ไหม”

“ใช่ค่ะ”