ตอนที่ 236 ออกไปให้พ้น

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 236 ออกไปให้พ้น

ฮ่องเต้หย่งไท่ทิ้งคำขาดเอาไว้ หัวหน้าสำนักเส้าฝู่และวัดจงเจิ้งต่างดีใจอย่างประหลาด

พวกเขาอดทนกับขุนนางตระกูลใหญ่มาเพียงพอแล้ว ความคับแค้นใจของทั้งสองฝ่ายที่สั่งสมมานับวันยิ่งมากขึ้น

คราวนี้ ขุนนางตระกูลใหญ่เจตนาชั่วร้าย บังอาจถ่ายทอดพระราชโองการเท็จปลงพระชนม์สมาชิกราชวงศ์ ความแค้นของทั้งสองฝ่ายถือว่าถูกเปิดเผยออกมาอย่างชัดเจน

ทั้งสองฝ่ายแทบอยากจะให้อีกฝ่ายตาย

หากเป็นแต่ก่อน ความขัดแย้งของทั้งสองฝ่ายไม่ได้ใหญ่หลวงเพียงนี้

พวกเขายังสามารถอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขได้ บางเวลายังสามารถยืนอยู่ฝั่งเดียวกัน ร่วมมือกันเพื่อบรรลุเป้าหมายใดบางอย่าง

แต่นับแต่ฮ่องเต้ปลงพระชนม์เหล่าท่านอ๋อง ความสมดุลของทั้งสองฝ่ายถูกทำลาย สมาชิกราชวงศ์ถูกกดขี่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนแทบจะหายใจไม่ออก

นับแต่นั้นเป็นต้นมา ทั้งสองฝ่ายไม่มีความเป็นไปได้ที่จะร่วมมือกันได้อีก อีกทั้งไม่มีความเป็นไปได้ที่จะประนีประนอม

มีเพียงความขัดแย้ง มีเพียงการปะทะ จนกระทั่งเกิดสถานการณ์เมื่อคืน

ที่ผ่านมา ในที่สุดฮ่องเต้ที่อดทนกับขุนนางตระกูลใหญ่ก็กลับใจ พระองค์ทรงตระหนักได้ว่าสมาชิกราชวงศ์เป็นพลังที่สามารถพึ่งพาได้อย่างแท้จริง มันเป็นเรื่องดีอย่างมาก!

คุ้มค่าแก่การเฉลิมฉลอง!

การใช้ชีวิตนับร้อยแลกมาซึ่งการกลับใจของฮ่องเต้ แลกมาซึ่งการตัดสินใจประหารขุนนางตระกูลใหญ่ของฮ่องเต้ คุ้มค่า!

ใต้เท้าทั้งสองแสดงท่าทีอย่างพร้อมเพรียง “กระหม่อมยินดีรับใช้ฝ่าบาท บรรเทาความทุกข์เพื่อฝ่าบาท บรรเทาความทุกข์เพื่อราชสำนัก แก้แค้นให้คนในตระกูลที่ตายอย่างไม่เป็นธรรม”

“ดีๆ!”

ฮ่องเต้หย่งไท่พูดติดต่อกันหลายคำ

ซุนปังเหนียนที่ปรนนิบัติอยู่ด้านข้าง ก้มหน้าด้วยความกังวล

ดูเหมือนฝ่าบาทจะทรงเปลี่ยนจากความรุนแรงหนึ่งไปยังอีกความรุนแรงหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก!

ที่ผ่านมา พระองค์ทรงเชื่อขุนนางตระกูลขุนนางเพียงฝ่ายเดียว กดขี่สมาชิกราชวงศ์อย่างสุดกำลัง

เวลานี้ พระองค์ทรงหันกลับมาให้ความสำคัญกับสมาชิกราชวงศ์ กดขี่ขุนนางตระกูลใหญ่

เมื่อเป็นเช่นนี้ เกรงว่าจะมีเพียงหายนะที่ใหญ่กว่าเกิดขึ้น

ซุนปังเหนียนอยากเกลี้ยกล่อม แต่ก็ไม่กล้าเอ่ยปาก

สถานการณ์นี้ เขาไม่มีสิทธิเอ่ยปาก

เขามองไปทางเถาฮองเฮาอย่างไร้เสียง บนใบหน้าของเถาฮองเฮาเปื้อนรอยยิ้ม ราวกับเห็นด้วยกับการเปลี่ยนแปลงของฮองเต้

ซุนปังเหนียนขมวดคิ้วเล็กน้อย ภายในใจรู้สึกกังวลมากยิ่งขึ้น

เขาจากมาเพียงชั่วครู่เพื่อแอบให้คนส่งข่าวออกไปด้วยการอ้างว่าออกมาเร่งให้หมอหลวงต้มยา

ต้องมีคนออกมาห้ามปรามฝ่าบาท พระองค์ต้องซึมซับบทเรียน อย่าได้เดินจากความรุนแรงหนึ่งไปยังอีกความรุนแรงหนึ่ง

ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงอารมณ์ดีเมื่อได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกราชวงศ์

เขาเริ่มถามเกี่ยวกับสถานการณ์บาดเจ็บล้มตายเมื่อคืนนี้

เขาพลิกดูรายชื่อทั้งหมดที่หัวหน้าวัดจงเจิ้งถวายขึ้นมา สีหน้ายิ่งดำทะมึน

หัวหน้าสำนักเส้าฝู่รีบทูล “กองทัพเหนือเพียงแค่ปฏิบัติตามคำสั่ง แม้จะมีความผิด แต่ยังไม่ถึงโทษตาย สามารถให้โอกาสกองทัพเหนือในการไถ่โทษ คนที่สมควรตายที่สุดคือคนที่วางแผนและถ่ายทอดพระราชโองการเท็จ กระหม่อมคิดว่าข้างกายของฝ่าบาทมีคนชั่ว ขอฝ่าบาทโปรดตรวจสอบคนที่ปรนนิบัติอยู่ข้างกายอย่างเข้มงวด ย่อมต้องสืบหาคนที่สมรู้ร่วมคิด กินบนเรือนขี้บนหลังคา ใช้คนผู้นี้สืบสาวไปถึงผู้บงการที่แท้จริง อวี้เฉิงแห่งสำนักเส้าฝู่ยินดีที่จะรับภาระหนักนี้!”

หัวหน้าเส้าฝู่ทูลขอรับภารกิจในการจับคนร้ายในตำหนักซิงชิ่งออกมา

ภารกิจหนักมาก แต่เมื่อสืบหาผู้ร้ายเจอย่อมเป็นความดีความชอบใหญ่

สำนักเส้าฝู่ต้องการความดีความชอบนี้

ความดีความชอบนี้จะปล่อยให้องครักษ์จินอู่ไม่ได้

ฮ่องเต้หย่งไท่พึงพอพระทัยอย่างมาก “เจ้าจงรักภักดีต่อกษัตริย์และบ้านเมือง เป็นขุนนางสำคัญของราชสำนัก ดี ข้าจะมอบหมายภารกิจสืบหาผู้ร้ายนี้ให้เจ้า”

หัวหน้าสำนักเส้าฝู่ตอบรับด้วยดีใจอย่างมาก “กระหม่อมย่อมจะสืบหาผู้ร้ายออกมา ไม่ทรยศต่อความคาดหวังของฝ่าบาทอย่างแน่นอน”

หัวหน้าวัดจงเจิ้งก็ทูลขอจัดงานศพให้สมาชิกราชวงศ์ที่ตายอย่างไม่เป็นธรรม ปลอบประโลมอารมณ์ของทุกคน

“ก่อนที่ฝ่าบาทจะออกรับสั่งอย่างเป็นทางการ กระหม่อมจะยับยั้งเชื้อพระวงศ์ไม่ให้สร้างความเดือดร้อนแก่ฝ่าบาท หากฝ่าบาททรงต้องการความช่วยเหลือจากทุกคน พระองค์เพียงแค่รับสั่ง เชื้อพระวงศ์นับหมื่นที่พักอาศัยอยู่ในเมืองหลวงล้วนจะยืนอยู่ข้างฝ่าบาท บุกน้ำลุยไฟเพื่อฝ่าบาท”

“ดีๆ …”

ฮ่องเต้หย่งไท่เอ่ยด้วยความรู้สึกตื้นตัน

เวลานี้ เขาทั้งพึงพอใจทั้งดีใจ

เขาไม่ได้หมดหนทาง

ถึงแม้ขุนนางตระกูลใหญ่จะทรยศเขา แต่เขายังมีการสนับสนุนของเชื้อพระวงศ์นับหมื่น

มันเป็นพลังที่ไม่สามารถมองข้ามไปได้

เมื่อมีการสนับสนุนของพลังกลุ่มนี้ เขาก็สามารถลุกขึ้นมาปะทะกับตระกูลขุนนางได้

ฮ่องเต้หย่งไท่เต็มไปด้วยความมั่นใจในชั่วพริบตา

เขาฟื้นคืนชีพอีกครั้ง

เถาฮองเฮาพูดเสริม “ยินดีกับฝ่าบาท เมื่อมีการสนับสนุนของเชื้อพระวงศ์ ฝ่าบาทจะทรงบรรลุสิ่งที่ต้องการ ตัดความมั่นใจของขุนนางตระกูลใหญ่ ทำให้พวกเขารู้ว่าไม่สามารถท้าทายอำนาจของกษัตริย์ได้อย่างแน่นอน”

“ฮองเฮาพูดถูก!”

ฮ่องเต้หย่งไท่เองก็รู้ว่าการซื้อใจคนไม่สามารถใช้เพียงแค่วาจา

เขารับสั่งหัวหน้าสำนักเส้าฝู่ นำทรัพย์สินออกมาปลอบขวัญคนในครอบครัวของผู้ตาย ปลอบขวัญเชื้อพระวงศ์ทั้งหลาย

เงินก้อนนี้เป็นการชดเชยและการปลอบประโลมทุกคน แต่ก็เป็นการบอกเชื้อพระวงศ์ทั้งหมดว่าฮ่องเต้ทรงยืนอยู่ฝั่งเดียวกับพวกเขา

หัวหน้าสำนักเส้าฝู่รับคำสั่ง

เรื่องดีอย่างการใช้เงินส่วนพระองค์ของฮ่องเต้มาทำความดี หัวหน้าสำนักเส้าฝู่เห็นด้วยอย่างมาก

เวลานี้ ข้าหลวงมาทูลว่าองค์ชายสองขอเข้าเฝ้า

ฮ่องเต้หย่งไท่ผงะไป “เหตุใดเจ้าสองจึงเข้าวังในเวลานี้”

เถาฮองเฮาส่ายหน้า นางก็ไม่รู้

นางกวาดตามองซุนปังเหนียนอย่างไร้เสียง

ซุนปังเหนียนก้มหน้าก้มตา ท่าทางใสซื่อ แต่ภายในใจเหมือนปลดภาระอันหนักอึ้ง

เถาฮองเฮาสงสัยว่าบุตรชายคนโตมีแหล่งข่าวในตำหนักซิงชิ่งมานานแล้ว

วันนี้เหมือนจะพิสูจน์การคาดเดาของนาง

เพียงแต่นางไม่กล้าเชื่อว่าซุนปังเหนียนจะส่งข่าวให้บุตรชายคนโต เป็นไปไม่ได้

บุตรชายคนโตใช้สิ่งใดโน้มน้าวซุนปังเหนียน

ซุนปังเหนียนไม่ขาดแคลนเงิน

อำนาจหรือ บุตรชายคนโตเองยังไม่มีอำนาจ จะใช้สิ่งใดซื้อใจคน

ด้วยเหตุนี้ เถาฮองเฮาจึงไม่มั่นใจการคาดเดาของตนเอง

ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่อยากพบบุตรชายในเวลานี้ เขารับสั่งข้าหลวง “บอกให้เขากลับไป! อากาศหนาวเพียงนี้ ไม่พักรักษาตัวอยู่ในจวน เหตุใดจึงวิ่งออกมาด้านนอก”

ข้าหลวงลำบากใจอย่างมาก “ทูลฝ่าบาท องค์ชายสองตรัสว่า…”

“พูดว่าอย่างไร”

“องค์ชายสองตรัสว่าหากฝ่าบาทไม่ทรงพบเขา เขาจะไม่จากไป จนกระทั่งฝ่าบาทพบเขา”

“เหลวไหล!”

ฮ่องเต้หย่งไท่ทรงพิโรธ

ไฟโกรธที่ข่มลงไปแล้วปะทุขึ้นมาอีกครั้ง

เถาฮองเฮากระแอมไอเสียงเบา นางแก้ตัวแทนบุตรชาย “เจ้าสองไม่ใช่คนเหลวไหล เขาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาทในเวลานี้ย่อมต้องมีเรื่องสำคัญ ฝ่าบาททรงฟังสิ่งที่เขาจะพูดดีกว่า หากเขาพูดจาเหลวไหล ฝ่าบาทค่อยรับสั่งให้คนไล่เขาออกไปก็ไม่สาย”

ฮ่องเต้หย่งไท่ให้เกียรติเถาฮองเฮา “เรียกเจ้าสองเข้าเฝ้า!”

หัวหน้าสำนักเส้าฝู่และวัดจงเจิ้งถือโอกาสนี้ทูลลา

ฮ่องเต้หย่งไท่ไม่ลืมที่จะกำชับใต้เท้าทั้งสอง “พวกท่านโปรดอดทนก่อน อย่าได้ปะทะกับขุนนางราชสำนัก หลงกลกับดักของพวกเขาอย่างเด็ดขาด”

“กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”

องค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวินถูกข้าหลวงนำไปยังตำหนักบรรทม

ระหว่างทาง เขาเดินสวนทางกับหัวหน้าสำนักเส้าฝู่และวัดจงเจิ้ง

สีหน้าของเขาเรียบเฉย เพียงแค่พยักหน้าเบาๆ แต่ไม่พูดสิ่งใด

เมื่อทั้งสองฝ่ายห่างกันไปไกลแล้ว หัวหน้าวัดจงเจิ้งจึงได้พร่ำบ่นกับหัวหน้าสำนักเส้าฝู่ “องค์ชายสองยังคงหยิ่งผยองเหมือนเคย”

หัวหน้าสำนักเส้าฝู่ลูบเครา พลันพูด “เขาไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ ไม่มีตำแหน่งทางการ อีกทั้งยังไม่ต้องรับผิดชอบภาระใดๆ เขาพักรักษาร่างกายอยู่ในจวนอย่างเงียบสงบ ไม่เกี่ยวข้องกับผลประโยชน์ของผู้ใด ย่อมไม่จำเป็นต้องประจบสอพลอกับผู้ใด”

“เพียงแค่โอหังและถือดี ไม่เป็นที่ชื่นชอบนัก”

“องค์ชายสองใช้ชีวิตอิสระ ไม่ต้องเอาใจผู้ใด ย่อมไม่สนใจความชอบของพวกเรา”

“มีเหตุผล!”

เซียวเฉิงเหวินไม่เคยสนใจความคิดเห็นของผู้อื่น

เขาเดินเข้าไปในตำหนักบรรทม ก่อนจะกวาดตามองเถาฮองเฮาและซุนปังเหนียน ไม่มีการแลกเปลี่ยนสายตากันแม้แต่น้อย

จากนั้น เขาจึงเดินขึ้นหน้าโน้มตัวถวายบังคม

“กระหม่อมถวายบังคมเสด็จพ่อและเสด็จแม่ เสด็จพ่อและเสด็จแม่พระวรกายแข็งแรง”

“ไม่ต้องมากพี! ร่างกายเจ้าไม่ดี นั่งลงเถิด!”

ทันใดนั้นก็มีข้าหลวงนำเก้าอี้กลมตัวหนึ่งมา

เซียวเฉิงเหวินโน้มตัวนั่งลงบนเก้าอี้กลม

ฮ่องเต้หย่งไท่ถามอย่างหมดความอดทน “อากาศหนาวเย็นเพียงนี้ เจ้าไม่สนใจร่างกายของเจ้า เลือกมาเข้าเฝ้าข้าในเวลานี้ มีเรื่องใดกัน”

เซียวเฉิงเหวินไม่ได้ตอบทันที หากแต่เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า “ตอนที่กระหม่อมมา เห็นขุนนางราชสำนักจำนวนมากอยู่ด้านนอกประตูตำหนักซิงชิ่ง เพียงแค่ขุนนางที่กระหม่อมรู้จักก็อยู่ด้านนอกรอเข้าเฝ้าพระองค์เกือบทั้งหมด แต่เสด็จพ่อทรงไม่ยอมพบพวกเขาเสียที กระหม่อมกังวลเล็กน้อย”

สีหน้าของฮ่องเต้หย่งไท่ดำทะมึน “เรื่องในราชสำนัก เจ้าไม่ต้องกังวล ถอยออกไปเสีย!”

“กระหม่อมยังมีเรื่องที่ต้องทูล”

“พูด!”

เซียวเฉิงเหวินกล่าวด้วยน้ำเสียงฮึกเหิม “ก่อนเข้าวัง กระหม่อมได้ยินเชื้อพระวงศ์จำนวนมากถกเถียงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ พวกเขาต่างเชื่อว่ามันเป็นการแก้แค้นของขุนนางตระกูลใหญ่ วิธีการโหดเหี้ยม แค้นนี้ต้องชำระ แต่เรายังไม่ต้องถกเถียงว่าเรื่องนี้เป็นการแก้แค้นของขุนนางตระกูลใหญ่หรือไม่ กระหม่อมแค่กังวลว่าหากความขัดแย้งรุนแรงขึ้น จะมีผลที่ร้ายแรงยิ่งกว่าเกิดขึ้นหรือไม่

แผ่นดินเกิดสงครามทุกหนทุกแห่ง เวลานี้เมืองหลวงจะเกิดความวุ่นวายไม่ได้ เพื่อสถานการณ์โดยรวม เพื่อสยบสงครามบนแผ่นดิน กระหม่อมคิดว่าไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นฝีมือของขุนนางตระกูลใหญ่หรือไม่ เสด็จพ่อควรทรงเจรจากับขุนนางตระกูลใหญ่อย่างสงบ บรรเทาความขัดแย้ง

อย่างไรก็ตาม อันดับแรกต้องรักษาความมั่นคงสถานการณ์ในเมืองหลวง อย่าให้เมืองหลวงเกิดความวุ่นวาย เมื่อเมืองหลวงมั่นคง ราชสำนักย่อมมั่นคง เมื่อราชสำนักมั่นคง จิตใจของผู้คนย่อมมั่นคง เมื่อจิตใจของผู้คนมั่นคน แผ่นดินต้าเว้ยย่อมมั่นคงดุจภูผา เพียงแค่โจรกบฏไม่มีทางสั่นคลอนแผ่นดินต้าเว้ยได้อย่างแน่นอน”

ฮ่องเต้หย่งไท่หรี่ตาลงด้วยสายตาไม่เป็นมิตร “เจ้ากำลังสอนข้าว่าต้องทำอย่างไร หรือว่ากำลังตำหนิว่าทุกสิ่งเป็นความผิดของข้า”

ก่อนหน้านี้ ต่อหน้าหัวหน้าสำนักเส้าฝู่และวัดจงเจิ้ง ฮ่องเต้ยอมรับผิดอย่างรวดเร็ว กอบโกยความผิดทั้งหมดไว้ที่ตัวเอง ท่าทีจริงใจช่างเห็นได้ยากนัก

แต่เวลานี้ เขามีแต่สีหน้าขุ่นเคือง

เขาสามารถยอมรับความผิดของตนเองต่อหน้าเชื้อพระวงศ์ได้ แต่เขาไม่อนุญาตให้บุตรชายมาชี้หน้าต่อว่าตนเองอย่างเด็ดขาดว่า ‘ท่านผิดไปแล้ว!

มันคือศักดิ์ศรีและเกียรติยศของฮ่องเต้ จะปล่อยให้บุตรชายมาก้าวก่ายได้อย่างไร

เซียวเฉิงเหวินโค้งคำนับเล็กน้อย “เสด็จพ่อทรงเข้าใจผิดแล้ว! กระหม่อมเพียงแค่กังวลเรื่องของบ้านเมืองเท่านั้น หวังว่าจะช่วยแบ่งปันความกังวลเสด็จพ่อ ความกังวลของราชสำนักด้วยกำลังอันน้อยนิดได้ หากความขัดแย้งจะคลี่คลายเร็วขึ้น สยบการจลาจลในเมืองหลวงได้เร็วขึ้น ย่อมสามารถปลอบขวัญผู้คนได้เร็วขึ้น หย่งไท่ปีที่สิบห้ากำลังจะย่างก้าวเข้ามา มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นปีที่สภาพอากาศราบรื่น แต่หากต้องการเพาะปลูกย่อมต้องบรรเทาภัยพิบัติ สามัญชนต้องการเมล็ดพันธุ์ ต้องการเสบียงประคองตัวเองมีชีวิตอยู่ถึงการเก็บเกี่ยวในฤดูใบไม้ร่วง เสบียงมาจากที่ใด มีเพียงหวังพึ่งการสนับสนุนจากตระกูลขุนนาง กระหม่อมขอเสด็จพ่อโปรดทรงเห็นแก่ภาพรวม…”

ฮ่องเต้หย่งไท่พูดขัดเซียวเฉิงเหวินเสียงดัง “หุบปาก! เจ้ากลับไปพักรักษาตัวเสีย เรื่องบ้านเมืองยังไม่ต้องให้เจ้าเป็นกังวล เจ้าไม่เคยเข้าประชุมท้องพระโรงแม้แต่วันเดียว เจ้าจะมีคุณสมบัติมาแบ่งเบาความกังวลของข้าได้อย่างไร ข้าจะถือว่าเจ้าพูดจาเหลวไหล ไม่ลงโทษเจ้า เจ้ารีบไปเสีย!”