ตอนที่ 218 คำสั่งสังหาร ชีวิตดิ้นรนบนปลายดาบ (4)

เหนียงจื่อของคุณชายขี้โรค

ตอนที่ 218 คำสั่งสังหาร ชีวิตดิ้นรนบนปลายดาบ (4)

มั่วเชียนเสวี่ยไม่แสดงท่าทีที่แน่ชัด “เช่นนั้นหรือ” ยกประโยชน์ของตระกูลมั่วให้คนนอก? ถ้อยคำนี้พูดแก้ต่างให้กับความไร้ยางอายของสองคนนั้น ขณะเดียวกันก็พูดให้นางฟังด้วย แน่นอนว่าสีหน้าของมั่วจื่อฮว่าและมั่วจื่อเยี่ยย่อมไม่สบอารมณ์ ทว่าไม่กล้าโต้แย้ง เห็นนางพูดด้วยความมั่นใจเช่นนั้น เกรงว่าจะเป็นเรื่องจริง

หญิงสาวในโลงศพ คงจะเป็นสาวใช้จริงๆ หากฮ่องเต้สืบสาวราวเรื่องขึ้นมา เกรงว่าจะทำให้ผู้อาวุโสในตระกูลเดือดร้อนไปด้วย

เหตุที่ตอนนั้นพวกเขาเห็นศพก็เอาไปฝังทันที หนึ่งเป็นเพราะนักฆ่าที่ส่งไปลอบทำร้ายมั่นใจว่าคนที่ตกหน้าผาคือมั่วเชียนเสวี่ย สองเป็นเพราะกลัวจะมีคนสืบเรื่องนี้แล้วพบเบาะแสจากศพ เมื่อถึงเวลา ไก่ก็บินหนี ไข่ก็แตก[1] ไม่เพียงไม่ได้ตำแหน่ง ทั้งยังต้องเอาชีวิตเข้าแลก

ในตอนหลัง แม้จะเคลือบแคลงสงสัย แต่ก็ไม่กล้าเปิดโลงศพมาตรวจ

เห็นมั่วเชียนเสวี่ยยิ้มทว่าไม่ปริปากพูด จื่อถั่งยิ้มแห้ง “น้องเสวี่ยคือคนที่ข้าและท่านพ่อเห็นตั้งแต่เล็กจนโต จะจำไม่ได้ได้อย่างไร”

เมื่อก่อนเขามาจวนกั๋วกงบ่อยครั้ง เขาย่อมรู้จักมั่วเชียนเสวี่ยเป็นธรรมดา แม้ไม่ได้เจอกันห้าปี แต่คล้ายว่าดวงหน้าของนางไม่เปลี่ยนแปลง เพียงเปลี่ยนจากหญิงสาวอ่อนแอกลายเป็นสตรีที่แข็งแกร่งขึ้นก็เท่านั้น

พวกเขามาเพียงเพื่อลองเชิงมั่วเชียนเสวี่ย ดูท่าทีของนาง ไม่ได้คิดอยากจะโจมตีนาง ยิ่งไปกว่านั้นท่านพ่อก็บอกตั้งแต่แรกแล้วว่า อย่าเอาแต่หมกมุ่นกับเรื่องที่ว่าเป็นตัวจริงหรือตัวปลอม

จื่อถั่งเพียงส่งเสียงหัวเราะ ใบหน้าของอีกสองคนก็อาบด้วยรอยยิ้ม

ภาพเหตุการณ์ไม่ลงรอยกันเมื่อครู่ คล้ายไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คาดไม่ถึงว่าสามคนนั้นจะถามสารทุกข์สุกดิบของนางอย่างไม่ละอาย ทำราวกับเป็นพี่ชายแท้ๆ

มั่วเชียนเสวี่ยแสร้งนอบน้อมและคล้อยตาม ขณะที่นางกำลังจะยกมือขึ้นจับศีรษะบอกกับพวกเขาทั้งสามวันตนเพลีย ด้านนอกมีเสียงของพ่อบ้านพูดขึ้นด้วยความร้อนใจ “คุณหนูใหญ่ขอรับ มีพระราชเสาวนีย์จากวังหลวง รับสั่งให้คุณหนูรีบไปรับพระราชเสาวนีย์ที่โถงด้านหน้าขอรับ”

ไม่ใช่ว่าพ่อบ้านไร้มารยาท แต่ไม่ว่าตระกูลใดได้รับราชโองการ คนรายงานต้องพูดเสียงดัง เพื่อแสดงถึงความเคารพในพระมหากรุณาธิคุณ

ทั้งสามกลับไป มั่วเชียนเสวี่ยเดินตามพ่อบ้านไปรับราชโองการที่โถงหน้า

พระราชเสาวนีย์? รับสั่งของฮ่องเต้คือราชโองการ รับสั่งของไทเฮาและฮองเฮาจึงจะเรียกว่าพระราชเสาวนีย์ ไทเฮาไม่สนใจเรื่องทางโลกแล้ว ดูเหมือนว่า เป็นพระราชเสาวนีย์ของฮองเฮา

เป็นจริงตามที่คาดไว้ เมื่อไปถึงโถงด้านหน้า กงกงที่ยากจะคาดเดาใช้เสียงแหบพร่าของเขาประกาศรับสั่งของฮองเฮาให้มั่วเชียนเสวี่ยรีบเข้าวังหลวงเพื่อไปเข้าเฝ้าฮองเฮา

มั่วเชียนเสวี่ยรับพระราชเสวนีย์ มั่วเหนียงยิ้มแล้วมอบสินน้ำใจให้กับกงกงผู้อ่านพระราชเสวนีย์ นางพูดด้วยรอยยิ้ม “ลำบากกงกงที่มาถ่ายทอดรับสั่งแล้ว เชิญกงกงออกเดินทางก่อน หลังจากคุณหนูใหญ่แต่งตัวเสร็จ คุณหนูจะรีบไปเข้าเฝ้าฮองเฮาในวังหลวงทันทีเจ้าค่ะ”

ขันทีคนที่อ่านพระราชเสวนีย์รับสินน้ำใจจากมั่วเหนียง ทว่าไม่ได้โอนอ่อนลง แต่กลับพูดต่อ “ฮองเฮารับสั่งว่า คุณหนูใหญ่มั่วไม่ต้องแต่งตัว รีบเดินทางเข้าวังหลวงทันที”

มีที่ไหนเรียกให้เข้าเฝ้าทว่าไม่ให้เปลี่ยนแม้กระทั่งเสื้อผ้า มั่วเหนียงและพ่อบ้านมองหน้ากัน ทว่าก็ไม่อาจโต้เถียง

ในรถม้า มั่วเหนียงกล่าวถึงฮองเฮาเสียงเบา บอกว่าก่อนที่ฮองเฮาจะขึ้นเป็นฮองเฮา ฮองเฮาเรียกแม่ของมั่วเชียนเสวี่ยว่าท่านพี่มาโดยตลอด ทั้งสองสนิทสนมกันราวกับพี่น้อง

ทั้งยังบอกอีกว่าตอนมั่วเชียนเสวี่ยยังเด็ก ฮูหยินมักจะพานางเข้าวังหลวง ฮองเฮารักและเอ็นดูนางมาก น่าจะเป็นเพราะมั่วเชียนเสวี่ยกลับเมืองหลวงอย่างปลอดภัยฮองเฮาจึงดีพระทัยยิ่งนัก ร้อนใจอยากจะเจอนาง มั่วเหนียงพูดปลอบโยนนาง ไม่ให้นางเป็นกังวลกับการเดินทางในครั้งนี้

บนโลกใบนี้ไม่มีความรักที่ไร้เหตุผล และไม่มีความแค้นที่ไม่มีเหตุผล ความรักและความแค้นในวังหลวง มีที่มาที่ไปยิ่งกว่าความรักและความแค้นของปุถุชนคนทั่วไป

หากฮองเฮาเอ็นดูนางจริงๆ คิดถึงตน เช่นนั้นวันนี้ต้องให้นางพักผ่อนเต็มที่ พรุ่งนี้ค่อยส่งพระราชเสวนีย์มา คำพูดเหล่านี้ของมั่วเหนียงเพียงปลอบโยนนางเท่านั้น เมื่อมีความผิดปกติย่อมมีบางอย่างผิดแปลก! มั่วเชียนเสวี่ยอุทานในใจเบาๆ ว่าแย่แล้ว ทว่า ไม่ได้พูดสิ่งใด เพียงยิ้มแล้วให้ชูอีกับสืออู่คอยติดตามตน จากนั้นหันไปบอกมั่วเหนียงให้นางสั่งอาซาน อาอู่ มั่วเหยียนและมั่วสิงคอยคุ้มกันรถม้า

มั่วเชียนเสวี่ยไม่ได้พูดสิ่งใดมากมาย สำหรับเรื่องที่ไม่รู้ นางชอบใช้ความคิดเท่านั้น เวลานี้ ชีวิตของนางไม่ใช่ของนางเพียงคนเดียว ไม่ว่าใครก็ไม่อาจเอาชีวิตนางไปได้

หลังจากยื่นป้าย พวกมั่วเหนียงถูกกันให้อยู่นอกประตูวังหลวง

วังหลวงเคร่งขรัดยิ่งนัก ตำหนักต่างๆ ล้วนวิจิตรา กำแพงสีชาดสะพานหินงดงาม ต้นหลิวเขียวขจี ทุกอย่างล้วนสะอาดเอี่ยมอ่อง เพียงแต่เบื้องหลังความสะอาดซ่อนสิ่งโสมมเช่นไรไว้ ไม่มีผู้ใดรับรู้

เจ้าหน้าที่ในวังหลวงพานางไปหน้าตำหนักแห่งหนึ่ง แล้วเดินจากไป

สตรีตรงหน้าแต่งกายหรูหราตั้งแต่หัวจรดเท้า บนศีรษะของนางประดับประดาด้วยเครื่องหัว มองเรือนร่างด้านข้างมีทรวดทรงองเอวชัดเจน รูปโฉมงดงาม ฮองเฮาที่มองดูแล้วคล้ายคนอายุสามสิบต้นๆ กำลังหยอกนกแก้วอยู่ตรงหน้าทางเดิน แม้ด้านหลังจะมีนางกำนัลมากมายคอยปรนนิบัติรับใช้ ทว่ากลับทำให้มั่วเชียนเสวี่ยเห็นถึงความเงียบเหงาของทั้งตำหนัก

ฮองเฮาฐานันดรศักดิ์สูงส่งแล้วอย่างไร เป็นเพียงนักโทษที่มีเกียรติยศเท่านั้น

มั่วเชียนเสวี่ยรู้สึกสงสาร ฮองเฮาแกล้งนกแก้ว นกแก้วก็แกล้งนางตอบ ทั้งสองล้วนอยู่ในกรงขัง ดังนั้นจึงอยู่เคียงข้างกัน

ภายใต้กำแพงวังหลวงที่หนาทึบ ภายใต้การปิดล้อมที่แน่นหนา ช่วงเวลาในวัยแรกแย้มและน้ำตาของหญิงสาวมากเท่าใดล้วนมลายหายไปจากที่นี่อย่างเงียบงัน

ด้านข้างมีคนกระแอมไอ มั่วเชียนเสวี่ยหลุดจากภวังค์

อยู่ใต้ชายคา ต้องยอมจำนน! โลกเก่าบ้าๆ นี่ช่าง…! มั่วเชียนเสวี่ยก่นด่าในใจ ทว่าจำต้องคุกเข่าทำความเคารพ “ถวายบังคมเพคะฮองเฮา ฮองเฮาพันปี พันพันปี”

เมื่อฮองเฮาได้ยินเสียงมั่วเชียนเสวี่ยนางจึงยื่นไม้หยอกนกแก้ว ให้กับนางกำนัลที่อยู่ข้างกาย หมุนตัวหันหลังด้วยความสง่างาม “ลุกขึ้นเถอะ”

นัยน์ตาของนางมีความอ่อนโยนและเมตตาเล็กน้อย มั่วเชียนเสวี่ยอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าก่อนหน้านี้ตนคิดมากเกินไปหรือไม่ นางน่าจะเป็นสตรีคนหนึ่งที่เปล่าเปลี่ยวหัวใจ อยากจะหาใครสักคนพูดด้วยกระมัง

มั่วเชียนเสวี่ยคลายความระมัดระวังแล้วลุกขึ้น “ขอบพระทัยเพคะ เหนียงเหนียง”

คล้ายว่าฮองเฮาจะพอใจกับความถ่อมตนของนางยิ่งนัก “ได้ยินว่าวันนี้เจ้าเพิ่งกลับเข้าเมืองหลวง?”

มั่วเชียนเสวี่ยพูดด้วยความเคารพ “กราบทูลเหนียงเหนียง หม่อมฉันเพิ่งกลับถึงจวนเย็นวันนี้เพคะ” ดูโทรทัศน์มามาก ย่อมรู้ว่าควรจะตอบฮองเฮาอย่างไร

ฮองเฮาเดินเข้าไปในตำหนัก “ตลอดทางกลับมาราบรื่นดีหรือไม่”

ทางด้านมั่วเชียนเสวี่ยเดินตามหลังฮองเฮา นางเดินไปด้วย พร้อมกับตอบ “กราบทูลเหนียงเหนียง ราบรื่นดีเพคะ”

ฮองเฮากลับเข้าไปในตำหนัก เหยียดกายลงนั่งบนที่นั่งด้านบน คล้ายญาติผู้ใหญ่ทั่วไปพูดคุยกับคนรุ่นหลัง “ครึ่งปีที่ผ่านมานี้เจ้าไปแห่งหนใด ข้าเป็นห่วงเจ้าทุกคืนวัน นึกถึงเมื่อครั้นในอดีต ข้ากับมารดาของเจ้า สนิทสนมกันราวกับพี่น้องแท้ๆ”

มั่วเชียนเสวี่ยตอบอย่างระมัดระวัง “เมื่อครึ่งปีก่อนเชียนเสวี่ยเคราะห์ร้ายถูกน้ำซัดไป…หลังจากนั้นมีชาวบ้านช่วยเหลือเชียนเสวี่ยไว้เพคะ…”

ทว่าคิดไม่ถึง ฮองเฮาได้ยินนางพูดถึงตรงนี้ เปลี่ยนบทสนทนา แววตาของนางไร้ซึ่งความสงสาร ในทางตรงกันข้ามกลับคมกริบดั่งมีด

“เหตุใดข้าจึงได้ยินว่าเจ้าอยู่กินกับบุรุษคนหนึ่งนานครึ่งปีโดยไร้แม่สื่อและไม่มีสินสอด ไม่ใช่หญิงพรหมจรรย์อีกแล้ว” ถ้อยคำนี้หยาบคายยิ่งนัก

มั่วเชียนเสวี่ยเงยหน้าขึ้นมองฮองเฮา “ไม่ทราบว่าฮองเฮาได้ยินมาจากผู้ใดหรือเพคะ” ตอนนี้นางเป็นบุตรีสายตรงของจวนกั๋วกง หากพิสูจน์แล้วว่านางไม่ใช่หญิงพรหมจรรย์ ก็จะมีความผิดฐานทำตัวต่ำช้า นางยังไม่ได้แต่งงาน การไม่ใช่หญิงพรหมจรรย์ไม่แตกต่างจากคบชู้ต้องถูกลงโทษโดยการจับขังในกรงหมูแล้วถ่วงน้ำ ทว่า แม้ไม่ถึงตาย แต่ก็ทุกข์ทรมาน

ฮองเฮามองตรงมาที่มั่วเชียนเสวี่ย “เจ้าแค่บอกว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริง สิ่งสำคัญที่สุดของสตรีคือชื่อเสียง บิดาของเจ้ามีชื่อเสียงดีงามมาโดยตลอด มารดาของเจ้าก็เป็นแบบอย่างของความบริสุทธิ์ ไม่อาจมีมลทินเพราะเจ้าได้”

พูดถึงตรงนี้ มั่วเชียนเสวี่ยเก็บความสงสารที่มีต่อฮองเฮาในตอนแรกแล้ว คำถามนี้ตอบยาก นางพิจารณาคำที่จะพูดอย่างไตร่ตรอง “อยู่ในห้องเดียวกันคือเรื่องจริงเพคะ แต่ว่า…”

[1] ไก่ก็บินหนี ไข่ก็แตก หมายถึง สำนวนจีนเปรียบเปรยว่าสุดท้ายไม่ได้อะไรสักอย่าง