ตอนที่ 168 ภาระ
ดวงตาของชายชราร้อนผ่าวขึ้นมาในทันที จูงมือหลานชายของตัวเองไล่ตามขวบนกองทัพไปอย่างทุลักทุเล ตะโกนออกมาเสียงดัง

“ใช่เสี่ยวไป๋ไซว่หรือไม่ขอรับ…ใช่เสี่ยวไป๋ไซว่แห่งกองทัพไป๋หรือไม่ขอรับ!”

เมื่อได้ยินคำเรียกขานว่าเสี่ยวไป๋ไซว่อีกครั้ง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจ ขอบตาของไป๋ชิงเหยียนร้อนผ่าว กำหมัดแน่น กัดฟันกรอด ก้าวเดินไปยังทิศใต้อย่างมั่นคง

นางสูญสิ้นวิทยายุทธไปแล้ว ไม่ใช่เสี่ยวไป๋ไซว่ดังเช่นตอนนั้นอีกต่อไปแล้ว

หลังจากได้รับบาดเจ็บหนัก นางเอาแต่พักรักษาตัวอย่างคนอ่อนแอ ไม่คู่ควรถูกเรียกว่าเสี่ยวไป๋ไซว่!

ชายชรามือหนึ่งถือไม้เท้า มือหนึ่งจูงหลานชายเดินไล่ตามทางด้านหลังอย่างสุดกำลัง ตะโกนเสียงดัง

“ข้าเป็นอาจารย์สอนตำราอยู่ที่อำเภอเฟิง สี่ปีที่แล้วท่านแม่ทัพเป็นคนช่วยชีวิตหลานชายเพียงคนเดียวของข้าออกมาจากคมดาบของศัตรู! สี่ปีต่อมา แม่ทัพและทหารของกองทัพไป๋สละชีพคุ้มครองให้พวกเราหนีเอาชีวิตรอด ท่านแม่ทัพเป็นทายาทของตระกูลไป๋ใช่หรือไม่ขอรับ! ท่านมาที่นี่หนานเจียงเพื่อยึดอำเภอเฟิงและคืนบ้านเกิดให้ชาวบ้านต้อยต่ำอย่างพวกเราใช่หรือไม่ขอรับ!”

ดวงตาแดงก่ำของไป๋จิ่นจื้อเกือบมีน้ำตาไหลออกมา ความรู้สึกเอ่อล้นอยู่ในใจ

ที่แท้ในสายตาของชาวบ้านแถบชายแดนเหล่านี้ กองทัพไป๋คือความหวังของพวกเขา

ไป๋จิ่นจื้อหันไปมองไป๋ชิงเหยียนที่ยังคงมองตรงไปยังเบื้องหน้า

“พี่หญิงใหญ่ ชายชราผู้นั้นตะโกนเรียกพี่หญิงใหญ่อยู่ทางด้านหลังเจ้าค่ะ”

เพราะได้ยินคำว่ากองทัพไป๋ ชาวบ้านทุกคนต่างพากันชะงักฝีเท้าลง หันมองไปทางทิศที่ชายชราตะโกน บางคนได้ยินชื่อเสียงของกองทัพไป๋จึงเดินตามชายชราไป

“เสี่ยวไป๋ไซว่! ใช่ทายาทของตระกูลไป๋ผู้นั้นใช่หรือไม่!”

“องค์รัชทายาทเสด็จมามิใช่หรือ เหตุใดไม่บอกว่ามีแม่ทัพของกองทัพไป๋ติดตามมาด้วย!”

“คือแม่ทัพคนใดของกองทัพไป๋กัน!”

“คุณชายผู้นั้นผูกผ้าสีดำไว้ที่แขนเสื้อ เป็นการไว้อาลัยนี่นา! เขาต้องเป็นแม่ทัพของตระกูลไป๋แห่งจวนเจิ้นกั๋วกงแน่นอน!”

เมื่อเห็นกองทัพเคลื่อนขบวนห่างออกไปเรื่อยๆ ชายชราไล่ตามต่อไปไม่ทันจึงรั้งให้หลายชายคุกเข่าลงบนพื้น “เร็ว! ชุนเอ๋อร์คุกเข่าคำนับเดี๋ยวนี้ ผู้นั้นคือผู้มีพระคุณที่ช่วยชีวิตเจ้าเอาไว้!”

เด็กน้อยที่ถูกเรียกว่าชุนเอ๋อร์คุกเข่าก้มศีรษะคำนับแนบพื้นไปยังทิศที่กองทัพเคลื่อนขบวนไปอย่างไม่รู้ประสีประสา ชายชราก็พยุงไม้เท้านั่งคุกเข่าลงอย่างทุลักทุเลเช่นเดียวกัน เขาตะโกนออกมาเสียงดัง

“ท่านแม่ทัพและทหารของกองทัพไป๋ปกป้องชาวบ้านแถบชายแดนอย่างพวกเข้าจนต้องเสียชีวิตลง พวกข้าจดจำได้ขึ้นใจ! เสี่ยวไป๋ไซว่ ท่านแม่ทัพไป๋ ท่านต้องแย่งอำเภอเฟิงของแคว้นเรากลับคืนมาเพื่อแก้แค้นให้ท่านแม่ทัพคนอื่นๆ ที่ตายอยู่ใต้คมดาบของศัตรูที่มารุกรานชาวบ้านแคว้นต้าจิ้นให้ได้นะขอรับ!”

“เป็นแม่ทัพกองทัพไป๋จริงๆ หรือ!”

“ตระกูลไป๋ยังมีแม่ทัพเหลืออีกอย่างนั้นหรือ แม่ทัพของตระกูลไป๋เสียชีวิตไปหมดแล้วมิใช่หรืออย่างไร แม่ทัพท่านใดจะกล้ามาที่หนานเจียงอีก! ช่างมันเถิด เทียนเหมินกวนแตกแล้ว พวกเรารีบหนีเอาตัวรอดกันก่อนดีกว่า มิเช่นนั้นหากกองทัพซีเหลียงบุกมาถึงพวกเราคงไม่มีทางรอดแล้ว!”

“ถุย! เจ้ากล่าวเช่นนี้ได้อย่างไร แม่ทัพตระกูลไป๋ทุกคนล้วนเป็นวีรบุรุษผู้กล้าหาญ เจ้าคิดว่าเขาจะกลัวตายเช่นเจ้าหรืออย่างไร!”

สตรีวัยกลางคนที่อุ้มเด็ก และสะพายย่ามไว้ที่หลังคุกเข่าตามชายชราด้วยน้ำตาที่อาบหน้า ตะโกนเสียงดัง “แม่ทัพไป๋ สามีของข้าถูกคนซีเหลียงฆ่าตาย! แม่ทัพไป๋โปรดแก้แค้นให้ข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ ได้โปรดแย่งบ้านเกิดกลับคืนมาให้พวกข้าด้วยเถิดเจ้าค่ะ!”

“แม่ทัพไป๋!”

“แม่ทัพไป๋ ท่านต้องชนะนะเจ้าคะ! พวกข้าไม่อยากจากบ้านเกิดเมืองนอนไปเจ้าค่ะ!”

เสียงร้องไห้ของสตรีวัยกลางคนทำให้ชาวบ้านคนอื่นๆ รู้สึกสะเทือนอารมณ์ไปตามๆ กัน ต่างคุกเข่าลงบนพื้น ตะโกนออกมาเป็นภาษาถิ่นของเมืองเฟิ่งและอำเภอเฟิง ต่างพากันร้องเรียกแม่ทัพไป๋ ขอให้เขาแย่งชิงแผ่นดินที่เสียไปกลับคืนมา ขอให้เขาช่วยคืนบ้านเกิดเมืองนอนให้ ขอให้เขาแก้แค้นให้กองทัพไป๋ที่เสียชีวิตไปแล้ว

ชาวบ้านเดือดร้อน แม่ทัพตระกูลไป๋บุกไปยังด่านหน้าที่หนานเจียง สละชีพเพื่อชาวบ้าน ผู้คนจะไม่สำนึกในบุญคุณครั้งนี้ได้อย่างไรกัน

ตระกูลไป๋ที่มีแต่คนนับถือ ถูกชาวบ้านแถบชายแดนยกย่องให้เป็นวีรบุรุษผู้กอบกู้ หากพวกเขาโชคดีมีจักรพรรดิที่ทรงคุณธรรม…ย่อมต้องสร้างผลงานที่ยิ่งใหญ่จนเป็นที่กล่าวขานไปทั่วหล้าอย่างแน่นอน ทว่า หากมีจักรพรรดิผู้โง่เขลา หวาดระแวงว่าขุนนางจะบารมีมากกว่าตน มีจุดจบเช่นนี้ก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว

เซียวรั่วไห่ไม่ได้เพิ่งเคยเห็นชาวบ้านคุกเข่าส่งขบวนกองทัพเช่นนี้เป็นครั้งแรก ทว่า ก่อนหน้านี้เต็มไปด้วยบรรยากาศที่ฮึกเหิม!

ทว่า บัดนี้ชาวบ้านคุกเข่าร้องไห้ตะโกนว่าแม่ทัพไป๋คือความหวังของพวกเขา เท่ากับเป็นการวางภาระที่หนักอึ้งนี้ลงบนบ่าของไป๋ชิงเหยียน

ไป๋จิ่นจื้อหันกลับไปมองอย่างอดไม่ได้ มองดูชาวบ้านที่เสื้อผ้าซอมซ่อ ใบหน้าซูบผอมหิวโหยคุกเข่ามองส่งกองทัพ นางกระตุกชายเสื้อของไป๋ชิงเหยียนเบาๆ ด้วยดวงตาที่แดงก่ำ

“พี่หญิงใหญ่ ท่านจะไม่หันกลับไปมองสักหน่อยหรือเจ้าคะ! ชาวบ้านเหล่านั้นคุกเข่าอยู่ที่พื้น…”

ไป๋ชิงเหยียนกัดฟันแน่น

ชาวบ้านที่คุกเข่าร้องไห้พลางตะโกนเรียกตามชายชราน้ำตานองหน้า เห็นเพียงร่างผอมเพรียวแต่สูงโปร่ง ลำแขนผูกผ้าสีดำไว้ทุกข์ของเด็กหนุ่มที่อยู่ในชุดของบุรุษหันหลังกลับมา โค้งคำนับมาทางพวกเขาหนึ่งครั้ง จากนั้นหันหลังกลับเดินตามขบวนกองทัพต่อไปโดยไม่กล่าวสิ่งใดทั้งสิ้น

ไป๋จิ่นจื้อและเซียวรั่วไห่ที่เดินตามหลังไป๋ชิงเหยียนก็โค้งคำนับให้ชาวบ้านเช่นเดียวกัน

คำนับนี้เพื่อขอบคุณที่ชาวบ้านยังไม่ลืมตระกูลไป๋ ไม่ลืมกองทัพไป๋

นางจะทำตามความหวังของพวกเขา จะแย่งบ้านเกิดของพวกเขากลับมาให้ได้! นางจะแก้แค้นให้ชาวบ้านและกองทัพไป๋ที่เสียชีวิต…แก้แค้นให้ท่านปู่ ท่านพ่อ บรรดาท่านอาและน้องชายของนาง!

ชาวบ้านที่คุกเข่าอยู่ ตื่นเต้นขึ้นมาในที

“แม่ทัพไป๋ ใช่แม่ทัพไป๋จริงๆ ด้วย!”

“มีทางรอดแล้ว พวกเรามีทางรอดแล้ว!”

“แม่ทัพไป๋มาช่วยพวกเราแล้ว! พวกเราไม่ต้องกลายเป็นคนเร่ร่อนอีกแล้ว!”

เมื่อกองทัพยิ่งเคลื่อนขบวนเข้าไปใกล้เมืองหวั่นผิงมากเท่าใดก็ยิ่งเจอชาวบ้านที่อพยพหนีตายมากยิ่งขึ้นเท่านั้น ส่วนใหญ่ไม่อยากไปจากบ้านเกิดของตัวเองแต่ก็จำต้องจากไปเพราะสงคราม กลัวว่าจะเจรจาสงบศึกไม่สำเร็จ เมื่อสองแคว้นเปิดศึกกัน ชาวบ้านธรรมดาอย่างพวกเขาคงไม่มีชีวิตรอด

เมื่อเห็นกองทัพจำนวนห้าหมื่นนายเดินทางมา ชาวบ้านอพยพต่างชะงักฝีเท้าลง ในใจเริ่มมีความหวังว่าทหารยอดฝีมือของแคว้นในครั้งนี้จะช่วยทวงคืนแผ่นดินให้พวกเขาได้

คืนนั้น กองทัพเดินทางมาถึงค่ายทหารของเมืองหวั่นผิง ใจกลางของเมืองหวั่นผิงไม่ได้คึกครื้นเหมือนยามปกติอีกแล้ว จวิ้นโส่ว[1]กล่าวว่าชาวบ้านได้ยินข่าวการตายของแม่ทัพจวนเจิ้นกั๋วกงและทหารกองทัพไป๋จึงรู้สึกหวาดกลัว พวกเขากลัวกองทัพม้าเหล็กของซีเหลียงเป็นอย่างมาก ชาวบ้านที่มีฐานะหน่อยก็พาครอบครัวหลบหนีออกไปจากเมืองหวั่นผิงแล้ว ที่เหลืออยู่ในเมืองตอนนี้ก็มีเพียงคนอ่อนแอและคนชราเท่านั้น

เมื่อจัดเตรียมที่พักเสร็จเรียบร้อยแล้ว ไป๋ชิงเหยียนขอให้รัชทายาทเรียกประชุมแม่ทัพทั้งหมดที่ติดตามมาในครั้งนี้เพื่อปรึกษาเรื่องสงคราม

ภายในจวนที่ว่าการ เปลวไฟส่องสว่าง

รัชทายาทนำทุกคนยืนอยู่ที่หน้าแผนที่แผ่นใหญ่ กล่าวขึ้น

“บัดนี้เราเดินทางมาถึงเมืองหวั่นผิงแล้ว พรุ่งนี้เช้าเราจะออกเดินทางต่อ หากเดินทางโดยไม่หยุดพักก็คงจะถึงเมืองเวิ่งในช่วงกลางดึก เรื่องที่เราส่งคนไปเจรจาสงบศึกแต่ลับหลังกลับลอบเคลื่อนทัพมาที่นี่คงปิดไม่อยู่แล้ว สงครามกำลังจะเริ่มขึ้น พวกเราต้องเผชิญหน้ากับกองทัพที่ร่วมมือกันของซีเหลียงและหนานเยี่ยน ศึกครั้งนี้ต้องชนะ ห้ามพ่ายแพ้เด็ดขาด! แม่ทัพทุกท่านมีแผนการอันใดบ้างหรือไม่”

“ซีเหลียงยึดเทียนเหมินกวนเอาไว้แล้ว ส่วนหนานเยี่ยนครอบครองอำเภอเฟิง กระหม่อมว่าเราต้องแบ่งโจมตีพ่ะย่ะค่ะ!” ซือพานซานยืนกอดอกมองดูแผนที่อยู่นาน จากนั้นหมุนตัวกำหมัดรายงานรัชทายาท

“หนานเยี่ยนไม่น่ากลัว กองทัพซีเหลียงต่างหากที่น่ากลัว และมีกองกำลังที่แข็งแกร่งพ่ะย่ะค่ะ โดยเฉพาะแม่ทัพอวิ๋นพั่วสิงของซีเหลียงผู้นั้น นอกจากเคยพ่ายแพ้ด้วยน้ำมือของเจิ้นกั๋วกงแล้ว กล่าวได้ว่าเขาไม่เคยรบพ่ายแพ้เลยพ่ะย่ะค่ะ เราต้องชิงไหวชิงพริบกันพ่ะย่ะค่ะ!”

“กล่าวก็เหมือนไม่ได้กล่าว!” เจินเจ๋อผิงเป็นคนใจร้อน เขากำหมัดกล่าวกับรัชทายาท

“องค์ชาย มอบกองกำลังให้กระหม่อมหนึ่งหมื่นนาย กระหม่อมจะอ้อมเทียนเหมินกวนออกไปทางเมืองผิงหยางเพื่อลอบโจมตีรังของพวกซีเหลียงพ่ะย่ะค่ะ! กระหม่อมไม่เชื่อว่าฮ่องเต้ของซีเหลียงจะไม่เรียกอวิ๋นพั่วสิงกลับไปปกป้องรังของพวกมัน ขอแค่อวิ๋นพั่วสิงถูกเรียกตัวกลับไป พวกเราคุ้นเคยกับเทียนเหมินกวนมากกว่า ให้แม่ทัพจางตวนรุ่ยนำทัพไป ต้องแย่งชิงเทียนเหมินกวนกลับมาได้แน่นอนพ่ะย่ะค่ะ!”

———————————————

[1] จวิ้นโส่ว ผู้ดูแลเมือง เทียบเท่ากับตำแหน่งผู้ว่าราชการจังหวัด หรือเรียกว่า ไท่โส่ว