บทที่ 161 นี่สินะ ความเสมอภาคในสังคม

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 161 นี่สินะ ความเสมอภาคในสังคม

“ข้ากำลังจะกลับเดี๋ยวนี้แหละ เจ้าล่ะมัวทำสิ่งใด? เหาะไม่ได้อย่างนั้นหรือ?”

เจียงหลานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“เจ้าครุ่นคิดสิ่งใด? อยากกระโดดลงไปจากจุดนี้งั้นหรือ? ท่ามกลางพลังงานของดวงดาวในทางช้างเผือก แม้แต่เทพเจ้าระดับสูงยังไม่อาจทานทนได้ เจ้าอยากจบสิ้นชีวิตตนเองหรืออย่างไร?”

ไป๋ชิวหรานกระแอมไอสองครั้ง ทว่าไม่ได้บอกนางตามความจริงว่าเขาเคยกระโดดข้ามผ่านไปมาหลายครั้งแล้ว หลังจากเวลาผ่านไปหลายพันปีจนนับไม่ถ้วน

“มานี่สิ ข้าจะพาเจ้ากลับลงไป”

เจียงหลานเข้าไปคว้าแขนของชายหนุ่มไว้ จากนั้นก็พาตัวเขาออกจากทางช้างเผือก ก่อนจะค่อย ๆ ร่อนลงสู่พื้นดิน

ทั้งสองร่อนลงตรงลานกว้างหน้ากระท่อมของเจียงหลานพอดิบพอดี เด็กสาวพลันเอ่ยถาม

“ลู่อู๋พูดคุยอะไรกับเจ้าบ้าง?”

ไป๋ชิวหรานถ่ายทอดสิ่งที่เทพลู่อู๋กล่าวกำชับกับเขาก่อนจะจากไป เมื่อเจียงหลานได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้าเบา ๆ และกล่าวต่อไป

“เขาตัดสินใจได้ถูกต้อง ในเมื่อมีความกล้าหาญแข็งแกร่งเช่นนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่จักรพรรดิสวรรค์จะพึงใจจนต้องการเรียกใช้ อย่างไรก็ตาม ยังมีเวลาอีกสองถึงสามวันก่อนที่ฐานะปุโรหิตของเจ้าจะได้รับการอนุมัติ เจ้าจะอาศัยอยู่ที่ใดล่ะ?”

“เรื่องนั้นข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน…”

ไป๋ชิวหรานยกมือขึ้นลูบศีรษะ

เป้าหมายหลัก ณ เวลานี้สำหรับเขา คือการตามหาสวรรค์ริษยารุ่นแรกในตำนาน เพื่อขอคำชี้แนะจากผู้ที่เป็นเสมือนศิษย์พี่เรื่องการฝึกตนสู่ขั้นสร้างรากฐาน ทว่าโลกในยุคสมัยนี้กว้างใหญ่นัก จนไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นสืบหาจากตรงไหนดี

สวรรค์ริษยาคงจะเป็นคนของเผ่ามนุษย์ ทว่าเขาอาจจะไม่ได้อาศัยอยู่ในดินแดนแถบนี้ เช่นเดียวกันกับเผ่ามนุษย์ที่ตั้งถิ่นฐานอยู่ถัดจากกระท่อมของเจียงหลาน

ไป๋ชิวหรานตัดสินใจว่าเขาควรจะรอต่อไปก่อน เมื่อใดที่ได้รับอนุมัติฐานะปุโรหิต เมื่อนั้นอาจจะสร้างคุณงามความดีอย่างมหาศาลให้กับสรวงสวรรค์ จากนั้นจึงเรียกใช้เครือข่ายข่าวกรองของเผ่าเทพเพื่อช่วยค้นหาสวรรค์ริษยารุ่นแรก นี่คือวิธีการที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในเวลานี้

“ช่วงระยะเวลาเพียงไม่กี่วันนี้ เจ้าสามารถพำนักอยู่ที่นี่ชั่วคราวได้ ต่อให้เป็นเทพเจ้า แต่ลักษณะโดยกำเนิดของเจ้าไม่ต่างอะไรไปจากมนุษย์ สัตว์อสูรเหล่านั้นไม่มีจิตสำนึกมากพอจะแยกแยะชาติกำเนิด เจ้าจะได้ไม่ต้องระหกระเหินเร่ร่อนอยู่ข้างนอกและคอยเอาตัวรอดจากสัตว์อสูรเหล่านั้น”

เจียงหลานกล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชาต่อไป

“แต่อย่าได้คาดหวังว่าข้าจะให้ที่พักพิงแก่คนไร้ประโยชน์ คนงอมืองอเท้าไม่มีวันมีอาหารเลี้ยงปากท้อง หากต้องการอยู่ที่นี่ เช่นนั้นเจ้าต้องช่วยเหลือข้า”

“ย่อมได้”

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ

การช่วยเหลืออีกฝ่ายหยิบจับทำงานบางอย่างไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา หากอยู่ที่นี่ต่อไป ประการแรก คือยังมีเปลญวนให้ได้นอนหลับพักผ่อน ทำให้ไม่ต้องเร่ร่อนอยู่ในดินแดนรกร้างเพื่อหาที่ซุกหัวนอน ประการที่สอง ที่แห่งนี้อยู่ใกล้เคียงกับแหล่งอาศัยของเผ่ามนุษย์ จึงเป็นการสะดวกที่จะสังเกตวิถีชีวิตของเผ่ามนุษย์ในยุคนี้ และเริ่มติดต่อสื่อสารกับพวกเขา

“เช่นนั้นจงไปหาอาหารมื้อกลางวันและมื้อเย็นของวันนี้เสีย ลืมเรื่องการเก็บผลไม้ไปซะ เจ้าคงไม่รู้ว่าผลไม้ชนิดใดบ้างที่สามารถกินได้ ฉะนั้นวันนี้คงต้องล่าสัตว์ไปพลาง ๆ ก่อน”

ว่าแล้วเจียงหลานก็เดินกลับเข้าไปในกระท่อม จากนั้นจึงหยิบคันธนูไม้และกระบอกธนูที่เย็บด้วยหนังสัตว์ ภายในมีลูกศรอยู่หลายดอก

“ที่แห่งนี้ สัตว์ทุกชนิดที่มีขนปกคลุมตลอดลำตัวสามารถนำเนื้อมากินได้ ลูกศรเหล่านี้มีพิษที่ข้าอาบไว้ตรงปลาย ตราบใดที่มันแทงทะลุเนื้อก็สามารถทำให้เหยื่อเป็นอัมพาตได้ แต่อย่าได้เผลอไปสัมผัสเชียว เพราะการล้างพิษนั้นทำได้ยากยิ่ง ข้าจะรออยู่ที่นี่… เกียจคร้านเกินไปที่จะลากเจ้ากลับมารักษา”

“เข้าใจแล้ว”

ไป๋ชิวหรานหยิบธนูไม้และกระบอกธนูพาดสะพายไว้บนไหล่ก่อนจะพยักหน้ารับ

ครั้นเห็นเจียงหลานเดินเข้าไปในบ้าน ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับแบกตะกร้าไม้ไผ่ไว้บนหลัง ชายหนุ่มจึงเอ่ยถามขึ้นด้วยความสงสัย

“แล้วเจ้าจะไปไหนหรือ?”

เจียงหลานเงยหน้ามอง ก่อนตอบกลับด้วยท่าทีเย็นชา

“ไปทำงานน่ะสิ”

การล่าสัตว์ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับไป๋ชิวหรานแต่อย่างใด

ชายหนุ่มกับเจียงหลานเดินออกจากลานบ้านเคียงข้างกัน ก่อนที่จะแยกทางกันหลังเดินขึ้นไปบนภูเขาประมาณครึ่งทาง ชายหนุ่มส่งสัมผัสเทวะกวาดออกไปสำรวจบริเวณโดยรอบ จนพบเข้ากับสัตว์ตัวอ้วนท้วนที่มีรูปร่างคล้ายแพะอยู่ไม่ไกล จากนั้นก็เหนี่ยวธนูยิงไปอย่างแม่นยำ กระทั่งมันมึนงงสิ้นฤทธิ์โดยดุษณี

ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มกลับรู้สึกว่าคันธนูไม้ที่เจียงหลานมอบให้นั้นบอบบางเกินไป ดังนั้นเขาจึงวิ่งตรงไปยังสัตว์เหล่านั้น ก่อนจะใช้มือคว้าลูกศรปักเข้าไปกลางลำตัวของพวกมัน

เขาพบเถาวัลย์อยู่ใกล้ ๆ จากนั้นก็ล่ามสัตว์เหล่านั้นไว้ให้เป็นหลักแหล่ง ก่อนที่จะหันไปตกปลา

“นี่ จื้อเซียน เจ้าคิดว่างานหรือหน้าที่รับผิดชอบของเผ่าเทพเป็นอย่างไร?”

ชายหนุ่มเด็ดใบหญ้าที่ไม่รู้จักประเภทขึ้นมาเคี้ยวในปาก แล้วก้มลงมองหาพื้นหญ้าที่ราบเรียบพอเหมาะเพื่อนั่งลงบนนั้น พลางเอ่ยถาม

“เจ้าต้องสังเกตจากฐานะปุโรหิตของเทพเจ้าแต่ละองค์ ฐานะปุโรหิตที่ต่างกันย่อมมีภาระรับผิดชอบที่แตกต่างกันออกไป”

จื้อเซียนตอบกลับ

“ดังที่ลู่อู๋กล่าว ฐานะปุโรหิตที่เขามอบให้แก่เจ้านั้น คาดว่าคงเกี่ยวกับการคอยอารักขาจักรพรรดิสวรรค์ สรุปคือการต่อสู้รบพุ่ง ฆ่าฟัน ไม่ใช่การนั่งจับปลาตลอดทั้งวันเป็นแน่ ส่วนแม่นางเจียงหลาน นางเป็นเทพแห่งโรคระบาดและยาพิษ คาดว่าหน้าที่รับผิดชอบของนางคือการรับมือโรคระบาดและสรรพพิษในโลก”

“หากเป็นเช่นนั้นจริง การที่นางสนิทสนมกับเผ่ามนุษย์ แท้จริงแล้วก็เพื่ออำนวยความสะดวกในการปล่อยโรคระบาดงั้นหรือ?”

ไป๋ชิวหรานเอ่ยถาม

“เรื่องนั้นข้าจะล่วงรู้ได้อย่างไร หากเจ้าเป็นกังวลมากนัก ไยไม่ไปติดตามดูนางด้วยตนเองเสียเล่า?”

จื้อเซียนถามไป๋ชิวหรานกลับ ก่อนจะรักษาท่าทีสงบเงียบ

อย่างไรก็ตาม คำพูดของมันเป็นการแนะนำไป๋ชิวหรานทางอ้อม เพราะหากในภายภาคหน้าจะเข้าไปที่เผ่ามนุษย์เพื่อสืบหาเบาะแสเกี่ยวกับสวรรค์ริษยา แล้วเหตุใดถึงไม่ใช้โอกาสนี้ในการลอบสังเกตการณ์นางเล่า?

เขานำสัตว์ที่ล่ามาได้สองสามตัวกลับไปยังกระท่อมของเจียงหลาน มัดพวกมันไว้กับเสากลางสวนด้วยเถาวัลย์ จากนั้นจึงเดินตรงไปยังเส้นทางลับหลังกระท่อม แล้วกระโดดลงจากหน้าผา แล้วเดินต่อไปอีกเพื่อไปยังแหล่งอาศัยของเผ่ามนุษย์ที่อยู่ใกล้เคียง

อาศัยหลักความเป็นจริงที่เขาเป็นเผ่ามนุษย์ ไป๋ชิวหรานจึงใช้ความแนบเนียนในร่างกายเพื่อหลบเลี่ยงทหารที่ถือหอกแหลมคอยเฝ้าอยู่หน้าประตู แสร้งทำว่าตนเป็นหนึ่งในพวกเขา แล้วเดินสำรวจไปรอบ ๆ บริเวณภายในถิ่นฐานที่เผ่ามนุษย์อาศัยอยู่

ในยุคสมัยนี้เป็นเรื่องยากไม่น้อยสำหรับเผ่ามนุษย์ที่ต้องดำรงชีวิตให้อยู่รอด ดังนั้นตลอดทางไป๋ชิวหรานจึงพบเห็นเพียงเด็กที่มีความสูงน้อยกว่าระดับหัวเข่าเสียอีก ส่วนมนุษย์คนอื่น ๆ กำลังทำงาน

ไม่ว่ามนุษย์ชายหรือหญิง จะวัยหนุ่มหรือชราภาพ ผู้ใดที่มีสภาพร่างกายแข็งแกร่งจะออกไปล่าสัตว์กับปกป้องมนุษย์คนอื่น ๆ ส่วนผู้ที่สภาพร่างกายอ่อนแอจะอยู่โยงในหมู่บ้านเพื่อทำปศุสัตว์กับรวบรวมอาหาร บางคนก็นำแหไปยังริมแม่น้ำใกล้เคียงเพื่อหว่านจับปลา กล่าวโดยสรุปคือทุกคนต่างมีงานของตนเองที่ต้องทำ ที่จริงแล้วตอนนี้มีเพียงไป๋ชิวหรานเท่านั้น ที่เป็นชายเกียจคร้านเอาแต่เดินไปรอบหมู่บ้านโดยไม่หยิบจับทำงานใดเลยในตอนกลางวันแสก ๆ

ขนาดของแหล่งพักอาศัยแห่งนี้ไม่ใหญ่มาก มีประชากรอย่างมากที่สุดเพียงหนึ่งพันคนเท่านั้น ไป๋ชิวหรานไม่อาจล่วงรู้ได้ว่าพัฒนาการการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์เหล่านี้เกิดขึ้นในระดับใดของยุคสมัย ทว่าในยุคสมัยของเก้ามหาทวีปสิบแผ่นดิน แหล่งอาศัยประเภทนี้เทียบได้กับหมู่บ้านขนาดใหญ่ในรัฐที่ค่อนข้างร่ำรวย!

ในสถานที่เล็ก ๆ แห่งนี้ ทุกคนคงเห็นหน้าค่าตาสมาชิกในแต่ละครอบครัวจนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีแล้ว โชคดีที่ผู้คนในที่นี้กำลังยุ่งอยู่กับงานของตนเอง จึงไม่สนใจคนเกียจคร้านเช่นเขาที่ไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน

หลังจากเฝ้าสังเกตการณ์บางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง ชายหนุ่มจึงพบว่ามนุษย์ทุกคนในยุคสมัยนี้… เหมือนจะเป็นผู้ฝึกตนที่อยู่ในขั้นกลั่นลมปราณ เนื่องจากพลังปราณทางจิตวิญญาณของพวกเขานับตั้งแต่เกิดมามีความแข็งแกร่งพอสมควร มีเพียงมนุษย์ที่เจ็บป่วยหรือร่างกายอ่อนแอเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ไม่สามารถบรรลุแม้แต่ขั้นพื้นฐานเช่นขั้นกลั่นลมปราณ

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากบรรพชนเซียนยังไม่ปรากฏตัวขึ้นเพื่อชี้แนะวิธีการฝึกตนให้กับผู้คน เหล่ามนุษย์ที่รวมตัวกันตั้งถิ่นฐานในที่แห่งนี้จึงบรรลุเพียงขั้นกลั่นลมปราณ แม้แต่นักรบที่แข็งแกร่งที่สุดของกลุ่มยังบรรลุเพียงระดับสูงสุดของขั้นกลั่นลมปราณเท่านั้น เมื่อเทียบกับสัตว์อสูรที่คอยวนเวียนอยู่ด้านนอก นับได้ว่าเผ่ามนุษย์อยู่ชั้นล่างสุดของห่วงโซ่อาหาร…

ถึงอย่างนั้นการเดินสำรวจไปรอบ ๆ แหล่งที่อยู่อาศัยแห่งนี้ที่ทุกคนล้วนอยู่ในขั้นกลั่นลมปราณเสมอกัน ทำให้ไป๋ชิวหรานรู้สึกกลมกลืนไปกับพวกเขา

“อา… นี่สินะ ความเสมอภาค”

ขณะถอนหายใจ เขายังเดินสำรวจไปรอบ ๆ ต่อไป ทว่ากลับไม่พบร่องรอยหรือที่อยู่ของสวรรค์ริษยาว่าอยู่ในที่แห่งนี้ ดังนั้นชายหนุ่มจึงเดินออกจากไป ก่อนจะเดินลัดเลาะไปตามริมฝั่งแม่น้ำข้างหมู่บ้าน

ทันใดนั้น จู่ ๆ ไป๋ชิวหรานกลับเห็นว่ามีมนุษย์อีกคนหนึ่งที่เกียจคร้านไม่ยอมหยิบจับทำงานใดเช่นเดียวกันกับตนเอง

ชายผู้นั้นเป็นคนของเผ่ามนุษย์ที่ยังเยาว์วัย เขานั่งอยู่ริมตลิ่งที่มีแม่น้ำไหลผ่าน ด้านข้างมีแหจับปลาวางอยู่ คาดเดาว่าคงเป็นชาวประมง

ขณะนั้นเขาอยู่ในอาการจดจ่ออยู่กับบางสิ่งตรงหน้า คอยจ้องมองผิวน้ำอย่างไม่ขยับเขยื้อน

ไป๋ชิวหรานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนตัดสินใจขยับเคลื่อนร่างกายไปอยู่ข้าง ๆ อีกฝ่าย