ตอนที่ 42 การนำเสนอไม่เคยเป็นเรื่องง่ายในห้องประชุม

แกร่งสุดด้วยอาชีพผสาน ในโลกที่มีมอนสเตอร์ออกมากินคนยามค่ำคืน

ผู้หญิงคนนี้… คนเดียวกับที่เห็นป้วนเปี้ยนอยู่หน้าร้านสะดวกซื้อ

ทัตจำใบหน้าของเธอได้ ไม่ใช่เพราะน่าจดจำแต่เป็นเพราะความแปลกประหลาดของชุดเมดที่เธอสวมกลางเมือง

แน่นอนว่านั่นก็ยังเป็นชุดที่เธอกำลังสวมอยู่ตอนนี้

“นี่… คนเมื่อตอนเย็นนี่นา” พิมกระซิบข้างหูยืนยันอีกเสียง ทัตเองก็พยักหน้าเห็นด้วย

ผู้หญิงในชุดเมดเดินผ่านหลังทัตกับพิม เพิ่งสังเกตเห็นว่าในมือมีกระเป๋าเคสใบใหญ่อยู่ด้วย ทำให้รู้สึกว่าเป็นนักธุรกิจได้อยู่

…ถ้าไม่ติดเรื่องชุดเมดล่ะก็นะ

แต่ผู้หญิงคนนี้ไม่ได้ใส่ใจว่าตัวเองถูกมองยังไง เธอเดินเข้าไปหาฝ้ายที่ยืนอยู่หน้าห้องโดยไม่ยอมให้เสียเวลาเปล่าแม้วินาทีเดียว

“สวัสดีค่ะ ไม่ได้เจอกันนานพอสมควรเลยนะคะ” ฝ้ายเป็นฝ่ายยื่นมือเข้าไปทักทายตามมารยาท

“…”

คุณเมดสาวมองตาปริบสลับใบหน้าของฝ้ายกับมือที่ยื่นมาเหมือนไม่รู้จะทำยังไง

แต่แล้วคุณเมดสาวก็ยื่นไปจับมือทักทายฝ้ายกลับ แม้บุคลิกภายนอกของเธอดูเหมือนไม่ได้ใส่ใจอะไรนอกจากสิ่งที่ต้องทำ แต่อย่างน้อยก็ยังรักษาหน้ากันอยู่

“นี่… อย่าบอกนะว่ายัยนี่คือหัวหน้าใหญ่น่ะ”

“แล้วผมจะไปรู้ไหมครับเนี่ย”

กิฟกับคิวแอบกระซิบกระซาบ ตั้งข้อสงสัยแบบเดียวกับทัตและพิมไม่มีผิด

แต่ในตอนที่กำลังคิดว่าความจริงเป็นแบบไหน คุณเมดสาวก็ยกกระเป๋าเคสขึ้นมาวางบนโต๊ะหน้าห้องให้ทุกคนเห็น

เธอเปิดฝากระเป๋าขึ้นเผยให้เห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน… คอมพิวเตอร์พกพา

คอมพิวเตอร์ถูกเปิดใช้งาน หน้าจอสีเทาแสดงผลเป็นอย่างแรก ดูเหมือนโปรแกรมบางอย่างจะถูกเปิดไว้ตั้งแต่แรกอยู่แล้วเพื่อความง่ายในการใช้งาน

แต่คำถามคือ จะเอามาใช้งานอะไรนี่แหละ

นั่นคือสิ่งที่ทัตคิดขึ้นมาเป็นอย่างแรก ทุกคนในห้องต่างก็คิดแบบนั้น ยกเว้นฝ้ายกับคุณหมอนิวที่เคยเห็นมาก่อน

คุณเมดสาวเดินไปยืนอยู่ข้างหลังโน๊ตบุ๊คในจังหวะนั้นพอดี

“ได้เวลาแล้วค่ะท่านเซน”

‘อืม…’

“ “ “!!!?” ” ”

เสียงตอบกลับดังมาจากตัวโน๊ตบุ๊คสร้างความแปลกใจให้ทุกคนในห้อง เป็นเสียงที่ถูกดัดแปลงจนไม่รู้ว่าอีกฝั่งเป็นเพศชายหรือหญิง

ชัดเจนแล้วว่านั่นเป็นโปรแกรมสำหรับประชุมระยะไกล และแน่นอนอีกเช่นกันว่าไม่มีใบหน้าของอีกฝ่ายแสดงบนจอภาพของโน๊ตบุ๊ค

‘สายัณห์สวัสดิ์ สมาชิกเซฟเวอร์ทุกท่าน’ เสียงนั้นทักทายเป็นการส่วนตัวอีกครั้ง

‘ชื่อของฉันคือเซน ยินดีที่ได้รู้จัก’

เสียงปริศนาผู้เป็นหัวหน้าใหญ่ของเซฟเวอร์… เซนกล่าวทักทาย แม้จะถูกดัดแปลงเสียงจนจับอะไรไม่ได้ แต่น้ำเสียงนับได้ว่าเป็นมิตรมากกว่าวางอำนาจอย่างที่เดาไว้

‘ขอขอบคุณสำหรับการทำงานที่เหนื่อยยาก แต่ตอนนี้คงต้องข้ามพิธีรีตองไปก่อน’ เซนไม่มากพิธีแต่ก็ไม่ลืมที่จะให้ความสำคัญกับความรู้สึกของทุกคนถึงได้เกริ่นไปก่อนหน้า

นั่นเป็นเรื่องดีที่แสดงให้เห็นว่าเขาให้ความสำคัญกับสภาพจิตใจของผู้ใต้บังคับบัญชาก่อนที่จะเริ่มงานจริง

‘หนึ่งในเรื่องที่ฉันต้องการสอบถามโดยตรงก็คือเรื่องที่โรงพยาบาลแห่งนี้ถูกบุกเมื่อวันจันทร์เต็มดวงครั้งก่อน’ เซนเข้าประเด็นโดยไม่เสียเวลา แต่ยากจะบอกได้ว่าเขารู้สึกยังไงจากน้ำเสียงที่ถูกดัดแปลง

‘สถานการณ์ในเมืองนี้มีอะไรเปลี่ยนไปบ้างไหมฝ้าย’

เซนหันไปถามคนที่น่าจะรู้เรื่องดีที่สุด

ในตอนนั้นฝ้ายก็เดินไปตรงตำแหน่งที่ใกล้ ๆ พิมแล้วนั่งลง

ทัตไม่เข้าใจว่าทำไมฝ้ายถึงต้องทำแบบนั้น แต่พอสังเกตเห็นกล้องติดโน๊ตบุ๊คเขาก็เริ่มจะรู้แล้วว่าอีกฝ่ายน่าจะมองเห็นฝั่งนี้ได้

พูดง่าย ๆ ว่าอีกฝ่ายปิดกล้องไม่ให้เห็นหน้า แต่เปิดกล้องจากทางนี้เพื่อสังเกตการณ์พวกทัตได้ตลอดเวลา

นั่นคงเป็นไปเพื่อสังเกตสีหน้า น้ำเสียงและท่าทางระหว่างแจ้งข้อมูลเหตุการณ์ในวันแห่งโศกนาฏกรรมจากฝ้าย

“หลังจากวันนั้นกลุ่มพยัคฆ์ฟ้าก็แตกกลุ่มค่ะ ครึ่งนึงถูกฆ่าตายในเหตุชุลมุนและอีกครึ่งนึงหนีไปได้รวมถึงหัวหน้าของกลุ่ม ส่วนกลุ่มปลอกแขนแดงส่วนใหญ่และหัวหน้ากลุ่มมีชีวิตรอด ตอนนี้พวกเรากำลังจับตาดูกลุ่มนี้อย่างใกล้ชิดค่ะ” ฝ้ายตอบคำถามเสียงชัดไร้ความกังวล แม้ว่าเนื้อหาจะไม่ใช่เรื่องที่ปล่อยวางได้เลย

‘สมาชิกที่เหลือรอดของพยัคฆ์ฟ้าเป็นไปได้ว่าจะเป็นปัญหานะ ส่วนเรื่องปลอกแขนแดง มีความเป็นไปได้มากแค่ไหนว่าคนพวกนี้จะไม่ก่อเหตุซ้ำ’ เซนเองก็รู้เรื่องนั้นถึงต้องลงลึกสถานการณ์มากเข้าไปอีก

แต่พอถูกถามเรื่องนั้นฝ้ายก็เงียบไป ไม่ได้ตอบกลับทันทีเพราะยืนยันไม่ได้

อันที่จริงเธอแอบเหลือบมองทัตที่อยู่ถัดไปทางขวาของเธอใกล้ ๆ ด้วยซ้ำ

ทัตเป็นคนเดียวที่ได้คุยกับคนพวกนั้นหลังจบศึกและหลังจากนั้นอีกคือเมื่อเย็นที่ผ่านมานี้ ถ้าจะมีใครที่ยืนยันได้ก็มีแต่พี่ชายของเธอนี่แหละ

ช่วยไม่ได้สินะ…

ถึงจะไม่ชอบการทำอะไรเกินจำเป็น แต่ถ้าน้องสาวผู้น่ารักต้องการความช่วยเหลือ ทัตก็ไม่มีทางเลือกอื่น

“พวกนั้นบอกแล้วว่าจะไม่ก่อเรื่องอีกถ้าไม่มีใครไปเริ่มกวนพวกนั้นก่อน และฉันเองนี่แหละที่จะคอยคุมพวกนั้นให้”

ทัตยืนยันแบบนั้นด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม ถึงแบบนั้นเนื้อความก็ยังยืนยันไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าอีกฝ่ายจะไม่ก่อเรื่อง เรื่องนั้นแม้แต่ทัตเองก็รู้

‘…จะว่าไป นายเป็นใครเหรอ?’

เซนถามได้ตรงประเด็น เพราะความน่าเชื่อถือของข้อมูลส่วนนึงมาจากตัวคนพูด

และเป็นอีกครั้งที่ทัตคิดว่าช่วยไม่ได้กับการออกหน้า

“ฉันชื่อทัต พี่ชายของฝ้าย”

‘อ้อ…’

เสียงแปลกใจหลุดมาจากทางเซน แล้วเขาก็ใช้เวลาสักพักกว่าจะเปิดปากอีกรอบ

‘งั้นเหรอ… นายนี่เอง ‘The One’ ที่ว่า’ เซนพูดด้วยความสนใจสมกับที่ฝ้ายแจ้งให้ทราบก่อนหน้านี้

เรื่องสถานการณ์ของเมืองนี้ก็เรื่องนึง แต่เรื่องใหญ่กว่าก็คือเซนต้องการยืนยันความสามารถของทัตนี่แหละ ทัตถึงอยู่ในห้องนี้ทั้งที่เป็นสมาชิกทั่วไป

‘ที่จริงฉันติดต่อมาเพราะเรื่องของนายเป็นหลักเลยนี่แหละ’ เซนตัดเข้าประเด็นอีกรอบไม่ให้เสียเวลา

และแน่นอน… ความตั้งใจของหัวหน้าใหญ่ตรงกับที่ฝ้ายบอกทัตก่อนหน้านี้ไม่มีผิดเพี้ยน

“เหรอ… แล้วนายต้องการอะไรจากฉันล่ะ?” ถามมาก็ตอบตรง ทัตเองก็ไม่อ้อมค้อมเช่นกัน

‘ขอดูสเตตัสของนายด้วยตาของฉันเองหน่อยได้ไหม?’

เช่นเดียวกับเซนที่ร้องขอทัตตามตรง ทั้งหมดที่เขาต้องการคือยืนยันเรื่องพลังอันเหนือกฎเกณฑ์ของทัต

แต่ในอีกด้านหนึ่งก็เป็นอย่างที่รู้ ว่าทัตไม่ใช่คนประเภทที่ชอบเผยไพ่ในมือตัวเอง

แต่ยังไงตอนนี้ก็เป็นพวกเดียวกัน แถมไม่มีเหตุผลพอจะปฏิเสธอีกฝ่ายที่เป็นหัวหน้าใหญ่ด้วย

ทัตเลยเรียกหน้าต่างสเตตัสออกมา ลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้ ๆ โน๊ตบุ๊ค

คุณเมดสาวเห็นดังนั้นจึงยกโน๊ตบุ๊คขึ้นพร้อมเคส เดินเข้าไปอยู่ข้าง ๆ ทัต เพราะการยืนข้างกันและหันไปทางเดียวกันเป็นตำแหน่งที่ทำให้กล้องมองเห็นหน้าต่างสเตตัสไปด้วย

“นี่ค่ะท่านเซน”

เมดสาวปรับตำแหน่งยืนตัวเองอีกรอบให้กล้องมองเห็นสเตตัสของทัตชัดเจนขึ้น จึงแนบชิดกับทัตที่ยืนข้าง ๆ อย่างไม่ตั้งใจ

ทำเอาพิมที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ แยกเขี้ยวใส่เลยทีเดียวเชียว

เย็นไว้โยม… ทัตอยากจะปรามพิมแบบนั้นแต่แน่นอนว่าไม่ใช่จังหวะที่จะพูดออกมา และได้แต่หวังว่าเซนจะรีบตรวจสอบให้เสร็จเร็ว ๆ

‘สเตตัสเยอะกว่าคนทั่วไปในเลเวลเดียวกันจริงด้วย แถมเลเวลของนายที่มากกว่า 100 นี่… นายจัดการ ‘Chivalry’ ไปแล้วสินะ’

“ใช่” ทัตตอบกลับอย่างมั่นใจ เซนได้ยินน้ำเสียงนั้นก็รู้เลยว่าการเตรียมใจของทัตไม่ธรรมดา

‘ถ้าไม่ว่าอะไร ฉันขอดูคำอธิบายของฉายาด้วยได้ไหม’

แต่เซนเป็นหัวหน้าใหญ่ และแน่นอนว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดคนของเซฟเวอร์ที่มีเลเวลสูงกว่า 100

เรื่องโค่น ‘Chivalry’ จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่เขาเคยผ่านมาแล้ว และไม่แปลกใจเลยถ้าคนอื่นจะทำได้เหมือนที่เขาทำ

สิ่งที่เซนติดใจที่สุด จึงยังคงเป็นเรื่องของ ‘The One’ ที่เขาไม่เคยเจอมาก่อน

และทัตเองก็ไม่มีทางเลือกอีกตามเคย เขาจึงกดขยายคำอธิบายให้เซนอ่านตามที่ร้องขอ

ใช้เวลาไม่นานนักเจ้าตัวก็ทำความเข้าใจพลังของ ‘The One’ เสร็จ

‘อืม… เป็นพลังที่เว่อร์เอาเรื่องเหมือนกันนะเนี่ย’ เซนส่งเสียงแปลกใจตามคาด

‘ถ้าเป็นศัตรูกันคงน่ากลัวเอาเรื่อง แต่ถ้าเป็นพวกเดียวกันเห็นแล้วก็วางใจ ขอบคุณที่เอาให้ดู’

น้ำเสียงของเซนดูสบายใจขึ้นมา คงเห็นแล้วว่าตอนนี้ทัตเป็นบุคลากรที่มีคุณภาพของตัวเอง

ทัตเห็นแล้วว่าเสร็จธุระ เขาก็เลยกลับไปนั่งที่เดิมข้าง ๆ พิม

“ใกล้ไปไหม เมื่อกี้อ่ะ” แล้วพิมก็ทำแก้มป่องใส่ตามคาด

“ขอโทษด้วยนะ”

“ฉันไม่ได้โกรธนาย”

แต่พิมก็ดันตอบกลับมาทันที แล้วหันไปมองค้อนใส่คุณเมดสาวที่กำลังยกโน๊ตบุ๊คกลับไปวางที่เดิม

เดิมทีก็ไม่ใช่สถานการณ์ที่เขาเป็นคนเริ่มและคัดค้านอะไรได้ การที่พิมไม่ถือโทษทำให้ทัตโล่งใจไปเปราะนึง

เพราะการทำอารมณ์ให้ปลอดโปร่งก่อนจะทำเรื่องสำคัญ ย่อมทำให้ทัตมีความมั่นใจสูงขึ้นด้วย

‘ถ้างั้นทุกท่าน ขอขอบคุณที่สละเวลากับการพบปะในครั้งนี้———’

“เดี๋ยวก่อนสิ”

ตอนที่เซนกำลังจะกล่าวปิดการประชุมลงห้วน ๆ ทัตก็เลยเอ่ยขึ้นขวางได้อย่างทันท่วงทีพอดี

ในขณะเดียวกันก็ดึงความสนใจจากทุกคนไปด้วย รวมถึงคุณเมดสาวที่ขมวดคิ้วมองทัตเผยอารมณ์ออกมาเป็นครั้งแรก

และแน่นอนว่าอารมณ์นั้นคือความหงุดหงิด

“ท่านเซนไม่ได้ว่างเหมือนนายหรอกนะ” เธอมองค้อนใส่ทัตแต่ทัตไม่ไหวติง คงมีแต่พิมนี่แหละที่มองค้อนคุณเมดคนนี้กลับ

แต่โชคร้ายคือคำพูดของทัตไม่ได้มีน้ำหนักเท่าเจ้านายของเธอ คุณเมดจึงเลือกที่จะพับปิดหน้าจอโน๊ตบุ๊คลงตามเดิม เสมือนคำพูดของทัตเป็นแค่ลม

‘เดี๋ยวก่อน’

แต่ก่อนที่การประชุมจะจบลงไปทั้งอย่างนั้น ก็เป็นเซนเองนั่นแหละที่ประกาศให้คุณเมดหยุดมือตัวเอง

กลายเป็นว่าถึงคำพูดของทัตจะไม่มีน้ำหนักกับคุณเมด แต่ก็ยังมีน้ำหนักกับหัวหน้าใหญ่คนนี้อยู่

“แต่ว่า ท่านเซนคะ”

‘ฉันบอกว่า ‘เดี๋ยวก่อน’ ไง’

“ค่ะ”

ถูกเซนย้ำเสียงแข็ง คุณเมดสาวก็รีบชักมือตัวเองออกจากโน๊ตบุ๊ตแล้วโค้งคำนับให้ทันทีทั้งที่ตัวเซนไม่ได้อยู่ตรงนี้ ดูท่าเธอคนนี้จะซื่อสัตย์แม้กระทั่งลับหลังเจ้านาย

ซื่อสัตย์จนถึงขนาดมองค้อนใส่ทัตแบบเดียวกับที่พิมมองใส่คนอื่นไม่มีผิด รังสีอำมหิตนั่นทำเอาทัตเหงื่อตกเลยทีเดียว

‘จะคุยเรื่องสำคัญงั้นเหรอ?’

เซนถามเข้าประเด็นอีกครั้ง ไม่มีครั้งไหนเลยที่เขาใช้เวลาไปอย่างเสียเปล่า

แต่อีกนัยนึงมันก็เหมือนเป็นการบอกทัตกลับว่า ‘ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญก็จะไม่คุยด้วย’ เช่นกัน

“ฉันอยากคุยเรื่องที่ควรทำนับจากนี้”

และแน่นอน… ทัตเองก็เป็นประเภทเดียวกัน น้ำเสียงของทัตเองนี่แหละที่แสดงให้เห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญและจริงจัง

‘…งั้นก็เอาสิ’

ท่ามกลางความสับสนของสมาชิกในห้องประชุม เซนตอบกลับด้วยน้ำเสียงปกติเช่นเคย

จะด้วยความอยากรู้ส่วนตัว หรือไม่อยากขัดใจคนที่อาจกลายมาเป็นทหารเอกของตนก็ตาม สุดท้ายเซนก็เลือกที่จะให้ทัตพูดสิ่งที่ต้องการ

…และนี่แหละโอกาสที่ทัตรอคอย

“แต่ก่อนอื่นฉันอยากจะฟังเรื่องของเซฟเวอร์จากปากของนาย… เซฟเวอร์ก่อตั้งขึ้นเพื่ออะไรงั้นเหรอ?”

ทัตเริ่มจากคำถามพื้น ๆ ที่ไม่รู้จะถามไปทำไม คนในห้องสับสนไปตามกัน

มีแต่เซนเท่านั้นที่เข้าใจทัต เขารู้ว่าทัตต้องการทดสอบเจตนาของเขาว่าเป็นหัวหน้าที่ไว้ใจได้ไหม

‘เป็นศูนย์กลางในการรับมือเรื่องมอนสเตอร์ที่ปรากฏตัวออกมาตอนกลางคืน รวมถึงปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะเหตุการณ์นี้ เรื่องนั้นไม่ชัดเจนงั้นเหรอ?’

เซนตอบกลับเหมือนอ่านสคริปต์ แต่น้ำเสียงและวิธีการปฏิบัติตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ทำให้ทัตค่อนข้างมั่นใจว่านั่นเป็นเจตนาจริง ๆ ของเขา

ทัตไม่ข้องใจเรื่องเจตนาแล้ว

…แต่ผลลัพธ์จากเจตนานั้นเป็นอีกเรื่องนึง

“ได้ยินว่าลูกน้องนายไปรุกรานผู้มีพลังกลุ่มอื่นด้วยนะ” ทัตเริ่มจากเรื่องที่ได้ยินมาจากพวกปลอกแขนแดง เรื่องนั้นสร้างความตกใจให้ทุกคนอยู่บ้าง

คงมีแต่ฝ้ายที่ได้ยินเรื่องนี้บ่อยครั้งจากการเป็นหัวหน้าระดับภูมิภาค เธอคงชินชากับเรื่องนี้เลยสงบกว่าคนอื่น

‘อา… ฉันเองก็เคยได้ยิน แต่อุดมคติที่ผู้ใต้บังคับบัญชาเชื่อฟังผู้นำร้อยเปอร์เซ็นต์มันไม่มีหรอก’

“เรื่องนั้นฉันเห็นด้วย”

ทุกองค์กรย่อมมีคนที่ไม่ปฏิบัติตามกฎ เป็นส่วนด่างพล้อยเล็กน้อยที่มีโดยทั่วไป

ทัตไม่ปฏิเสธข้อเท็จจริงนั้น คิดตามหลักความเป็นจริงแล้วไม่ว่ายังไงก็เลี่ยงไม่ได้

“แต่ที่ฉันข้องใจคือวิธีการรับมือกับปัญหานั้นต่างหาก” เราเลี่ยงปัญหาให้เกิดไม่ได้ก็ต้องจัดการปัญหาที่เกิดแล้ว นั่นคือสิ่งที่ทัตต้องการบอก

‘เพราะงั้นพวกเราถึงมีกฎห้ามทำร้ายคนยังไงล่ะ’

“ซึ่งก็เห็น ๆ อยู่ว่ามีคนแหกกฎ” คำพูดทัตทำหลายคนในห้องสะอึก ทั้งที่ทัตยังพูดไม่จบดี

“ถึงจะไล่คนพวกนี้ออกไปจากองค์กร พวกนั้นก็จะกลายเป็นพวกกลุ่มนอกคอกและจะกลายเป็นศัตรูในอนาคต แถมซ้ำร้ายยังสร้างศัตรูให้เซฟเวอร์ทิ้งไว้ก่อนจะหายไปอีก เห็นชัดอยู่แล้วว่าวิธีแก้ปัญหานี้มันใช้ไม่ได้ผล”

ส่วนเสริมของทัตยิ่งทำทุกคนนิ่งเงียบเถียงไม่ออก ไม่แม้แต่เซนเองก็ด้วย

ทุกคนในห้องนี้น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าสิ่งที่ทัตพูดมันจริงแค่ไหน มากยิ่งกว่าทัตที่เพิ่งเข้ามาเป็นสมาชิกได้ไม่ถึงเดือนแน่นอน

ทุกคนรู้อยู่แล้วแต่ก็เพิ่งจะเห็นชัดเจนเมื่อทัตพูดถึง ว่า ‘กฎ’ ไม่ได้เป็นการแก้ปัญหานี้เลย

อย่างไรเสียกฎมันก็จำเป็นแน่ ๆ แต่คำถามคือทำไมมันถึงใช้ไม่ได้ผล นั่นแหละคือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ในห้องนี้ไม่เข้าใจ

กลับกัน… ทัตนั้นรู้ว่าสิ่งที่ขาดไปคืออะไร และนั่นแหละคือสิ่งที่เขาตั้งใจจะพูด

“นี่เป็นคำตอบในมุมมองของฉัน… ที่เป็นงี้เพราะนายมีกฎ แต่ขาดอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญพอ ๆ กัน”

‘อะไรล่ะ?’

“อำนาจบังคับใช้”

คำตอบนั้นดึงความสนใจของเซน ไม่ใช่แค่เพราะวิธีการของตัวเองใช้ไม่ได้ผล แต่เพราะคำตอบของทัตมันเป็นเรื่องจริงที่เห็นได้ชัด

ดังเช่นมนุษย์ในสังคม ทุกคนเกรงกลัวกฎหมายไม่ใช่เพราะมีบทลงโทษเพียงอย่างเดียว แต่เพราะมีตำรวจคอยไล่ตามผู้กระทำผิดมารับบทลงโทษและมีศาลตัดสินชี้ขาดอย่างเที่ยงตรง ความยุติธรรมจึงครบถ้วนกระบวนการ

นั่นแหละคือขั้นตอนที่เซฟเวอร์ยังขาดไป… ‘อำนาจในการบังคับใช้กฎที่ตัวเองสร้างขึ้น’

เพราะถ้าจะเอากันตามเนื้อผ้า… สมาชิกที่อยู่ในห้องนี้เองหรือแม้แต่ฝ้ายก็อาจจะแหกกฎนั้นบ้างถ้าจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นไปเพื่อป้องกันตัวหรือจงใจ แต่ผิดกฎมันก็คือผิดกฎอยู่ดี

แต่คำถามคือถ้าพวกเดียวกันผิดกฎแล้วจะลงโทษอย่างเหมาะสมแบบใดเพื่อให้เป็นมาตรฐาน นั่นก็เพื่อไม่ให้เกิดการแบ่งแยกหรือเกิดคำครหาจากการใช้อำนาจเข้าข้างพวกพ้องตัวเอง

การไม่มีแผนรับมือกับการผิดกฎนั้นอย่างเหมาะสมนั่นแหละคือต้นตอของเรื่องปลอกแขนแดง คนภายนอกองค์กรจึงไม่เชื่อถือในวิธีการของเซฟเวอร์

แถมซ้ำร้าย… ปัญหาการควบคุมคนในองค์กรก็ยังไม่ใช่ปัญหาเดียวที่เซฟเวอร์ต้องเผชิญ

“ถ้าไม่มีอำนาจบังคับใช้กฎ… ถึงจะมีของแบบนั้นไปคนบางพวกมันก็ไม่แคร์อะไรอยู่ดี ยิ่งไม่ต้องพูดถึงไอ้พวกนอกคอกเวรตะไลที่ไม่มีกฎอะไรด้วย”

ทัตใช้น้ำเสียงโกรธเกรี้ยวเป็นครั้งแรก

ทุกครั้งที่นึกถึงความเลวทรามของพวกนอกคอกก็จะทำให้เขานึกถึงการสูญเสียฝ้ายและสินไปในศึกครั้งก่อนเสียทุกครั้ง ความโกรธเกลียดในเวลานั้นปะทุขึ้นมาทุกครา

โกรธแค้นความไร้ศีลธรรมของคนพวกนั้น ชิงชังกฎไร้ราคาที่บังคับอะไรไม่ได้นอกจากพวกตัวเองจนกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบ

และจุดที่น่าโมโหที่สุด… คือเรื่องนี้มันดันตรงกับสิ่งที่ศัตรูคู่อาฆาตอย่างดิวเคยบอกไว้นี่แหละ เลยยิ่งทำทัตไม่สบอารมณ์

‘ตอนแรกฉันนึกว่านายจะพูดถึงแค่เรื่องในเซฟเวอร์ซะอีก’

แต่ในจุดนี้ เซนเป็นฝ่ายที่มีเหตุผลมากกว่า เขาดึงกลับมาสู่ประเด็นแรกที่ทัตพูดเพราะเห็นชัดว่าทัตกำลังหลุดจากการพูดถึงแค่ภายในเซฟเวอร์

ชัดว่าเมื่ออารมณ์โกรธเกิดขึ้นเหตุผลก็อ่อนลงตาม ทั้งสองอย่างไม่ใช่ของที่จะอยู่คู่กันจริง ๆ

‘แต่เอาเถอะ… เรื่องมาตรการณ์รับมือพวกนอกคอกเองก็เป็นเรื่องที่พวกเราทุกคนอยากจะแก้เหมือนกันนั่นแหละ’

กระนั้น เซนก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าสิ่งที่ทัตใช้อารมณ์ในการนำเสนอเป็นเรื่องที่น่าสนใจ

เพราะมันทำให้เขาได้ข้อสรุปแล้วว่าทัตต้องการอะไร

‘งั้นถ้าเข้าใจไม่ผิด… นายตั้งใจจะเป็นคาวบอยผู้พิทักษ์กฎหมาย หรืออะไรทำนองนั้นรึไง?’

“แล้วคิดว่ามีวิธีอื่นดีกว่านี้ไหมล่ะ?” ทัตเอ่ยเสียงขึงขัง

‘หากไม่มีตำรวจก็จงเป็นตำรวจเสีย’ วิธีการแก้ปัญหาง่าย ๆ นั้นทำคิ้วของทุกคนขมวดเข้าอย่างจริงจัง มองไปที่เขาด้วยความสนใจกันหมด

และคนที่ตะลึงที่สุดคงไม่พ้นพิมกับฝ้าย เพราะทัตตั้งใจจะแต่งตั้งตัวเองเป็นคนลงทัณฑ์ผู้ที่ทำผิดกฎด้วยตัวของเขาเอง ฟังดูก็รู้ว่าเป็นบทบาทอันตราย พวกเธอจะแสดงความเป็นห่วงก็ไม่ใช่เรื่องแปลก

แต่ถึงแบบนั้นก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่เป็นวิธีแก้ปัญหาที่มีประสิทธิภาพ หากวางโครงสร้างดี ๆ ก็จะทำให้สถานการณ์ระหว่างผู้มีพลังเรียบร้อยขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้ได้อย่างแน่นอน

ผู้คนจะเกรงกลัวกฎ เริ่มทำเฉพาะสิ่งที่จำเป็น ขับเคลื่อนเป้าหมาย มองเห็นมอนสเตอร์เป็นศัตรูมากกว่ามนุษย์ด้วยกัน

และสักวันความกลมเกลียวนี้อาจนำไปสู่จุดสิ้นสุดของเรื่องราวประหลาดนี้ได้

ทุกคนเริ่มมีความหวังอย่างนั้น

เรื่องเนื้อหาที่น่าครุ่นคิดก็ส่วนนึง… แต่ถ้าเป็นในแง่น้ำเสียงของทัตที่ดูเหมือนประชดประชัน คุณเมดสาวก็มีปฏิกิริยาเช่นกัน

“นี่นาย… ตั้งแต่เมื่อกี้แล้ว นายกำลังพูดกับท่านเซนอยู่นะ ระวังปากหน่อย”

“…ฉันไม่ชอบวิธีการที่เธอพูดกับเขาเลยนะ”

พิมเป็นอีกคนที่มีปฏิกิริยาตอบโต้แบบเดียวกัน เธอตอกกลับคุณเมดสาวกลับไปด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองแทนทัต

อีกคนที่ส่งสายตาคมกริบใส่คุณเมดสาวก็คือฝ้าย ส่วนคนอื่นทำสีหน้าลำบากใจกันไปหมดเพราะบรรยากาศกำลังดี ๆ อยู่เชียว

ยิ่งทำให้รู้สึกกลัวเมื่อเห็นคุณเมดล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากระโปรงของตัวเอง

‘หยุดนะคริส!’

เสียงตะโกนห้ามของเซนดังลั่นไปทั้งห้อง

แต่ไม่ทันการ เพราะคุณเมดสาว… คริสหยิบมีดสั้นออกมาแล้วร่างก็อันตรธานหายไปก่อนแล้ว

ทันทีที่ทุกคนตระหนักได้ว่าเธอใช้สกิล ‘พรางกาย’ ความตึงเครียดก็พุ่งถึงขีดสุดในพริบตา เพราะชัดเจนว่าเป้าหมายของเธอคือทัต

ทว่า…

“!!!?”

ตัวคนจู่โจมอย่างคริสกลับเป็นฝ่ายตกตะลึงแทน เพราะมีดของเธอถูกทัตจับไว้ด้วยปลอกแขนเหล็กที่เขาสวม

อุปกรณ์เหล็กที่สวมคลุมตั้งแต่มือไปจนถึงต้นแขนนั่นเป็นสีดำและมีลวดลายวิจิตร ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันคืออาวุธ Chivalry อย่างแน่นอน

ยืนยันเรื่องนั้นได้จึงทำให้คริสเหงื่อตก

ทีแรกเธอตั้งใจพุ่งเข้าไปแล้วพยายามจะเอามีดจ่อคอทัตเพื่อให้เขาขอโทษที่เสียมารยาทกับเซน

ถึงจะไม่ได้ตั้งใจให้บาดเจ็บแต่ก็นับเป็นการคุกคาม ต่อให้โดนทัตโจมตีเขาก็ยังอ้างได้ว่าเป็นการป้องกันตัว

ซ้ำร้าย… คนที่เตรียมพร้อมจะรับมือเธอก็ไม่ได้มีแค่ทัตคนเดียว

“ใจเย็นก่อนพิม ฉันไม่เป็นไรหรอก”

ทัตเอ่ยห้ามพร้อมกับใช้มือข้างที่ว่างอยู่กุมข้อมือพิม มือข้างนั้นของเธอมีดาบคาตานะซึ่งเป็นอาวุธ Chivalry อีกอัน และปลายดาบคมกริบเล่มนั้นก็กำลังชี้มาทางคริส

จุดที่น่ากลัว คือพิมกำลังมองมาทางเธอด้วยแววตาโกรธจัด

…แถมพิมก็ไม่ใช่องครักษ์คนเดียวของทัตด้วย

“ถึงจะไม่เข้าใจก็เถอะว่าทำไมถึงโกรธขนาดนั้น แต่คิดจะทำอะไรช่วยเกรงใจตำแหน่งของฉันด้วยนะคะ”

แถมด้านหลังของเธอยังถูกหอกอีกเล่มจากเด็กสาวผมบลอนด์ตัวเล็กอีกคนจ่ออยู่อีกต่างหาก

เห็นชัดว่าทั้งแฟนสาวและน้องสาวของทัตไม่ยอมปล่อยให้เธอทำตามใจได้ง่าย ๆ แม้ว่าจะเป็นแค่การข่มขู่ก็ตาม

ไม่สิ… สมาชิกในห้องคนอื่นอย่างมิ้น คิว กิฟ เบล ลินดาและคุณหมอนิวที่นิ่งไปเพราะตามการเคลื่อนไหวของทัตกับคุณเมดไม่ทัน ตอนนี้พวกเขาก็พร้อมรับสถานการณ์แล้วเช่นกัน

แต่ถึงสิ่งที่ต้องการจะกลับกลายเป็นตรงกันข้ามเพราะความหุนหันพลันแล่นของตัวเอง แววตาของคริสกลับไม่ได้โอนอ่อนลงเลยแม้แต่น้อย แววตาเธอยังคมกริบอย่างไรตอนนี้ก็ยังเป็นอย่างนั้น

ทัตถึงกับเริ่มกลัวว่าผู้หญิงคนนี้อาจจะคิดทำอะไรโง่ ๆ ขึ้นมาอีก ทั้งที่สถานการณ์ตอนนี้มันคุกรุ่นมากเกินไปแล้วแท้ ๆ

‘ทุกคนพอได้แล้ว’ คำพูดของเซนทำให้ทุกคนในห้องหยุดความคิดตัวเองไปชั่วขณะ

‘คริส! ฉันบอกกี่ครั้งแล้วว่าอย่าเคลื่อนไหวถ้าไม่ได้สั่งน่ะ!’

เซนเริ่มจากตำหนิคนของตัวเองก่อน

พอคริสได้ยินเสียงตะคอก ไหล่ของเธอก็กระตุกอย่างแรง

เป็นครั้งแรกที่คริสแสดงสีหน้าถอดสีออกมาอย่างกังวล เธอหงอลงอย่างเห็นได้ชัดหลังถูกเจ้านายอย่างเซนดุว่า

‘ต้องขอโทษแทนลูกน้องของฉันด้วยนะทุกคน’ เซนหันไปพูดกับทุกคนบ้าง น้ำเสียงเขาไม่แตกต่างจากตอนที่คุยกับทัตก่อนหน้านี้เลยสักนิด

จะว่าเยือกเย็นก็ได้

หรือไม่เขาก็พยายามสงบจิตใจตัวเองอยู่

แต่ไม่ว่าจะดีหรือร้าย ทัตก็เห็นแล้วว่าคุณเมดสาวคนนี้ไม่กล้าขัดคำสั่งโดยตรงของเซน หรือต่อให้เธอจะโจมตีเขาอีกครั้งก็ไม่มีทางสำเร็จแน่ เพราะการโจมตีทีเผลอยังทำอะไรทัตไม่ได้ การต่อสู้ซึ่งหน้าจึงยิ่งเสียเปรียบ เรียกว่าเลือกตาเดินแบบไหนก็รุกจน

ทัตจึงยอมปล่อยมีด พร้อมกับเก็บปลอกแขน Chivalry ที่เป็นอาวุธให้หายไปด้วย เขาเองก็หวังให้สถานการณ์สงบลงโดยเร็วเหมือนกับเซน

“พิมกับฝ้ายเองก็ด้วยนะ เก็บอาวุธเถอะ”

พอทัตพูดแบบนั้นคิ้วที่ขมวดเข้าด้วยกันของพิมกับฝ้ายก็คลายลง พวกเธอเก็บอาวุธตามที่ทัตบอก ช่วยให้สถานการณ์เย็นลงได้อีกขั้น

เย็นพอให้คุณเมดสาวคริสรู้ตัวว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดลงไป

“ดิฉันทำตัวไม่น่าดูชมเลย เรื่องเมื่อครู่ต้องขออภัยด้วยจริง ๆ ค่ะ”

คริสเริ่มโค้งคำนับให้ทัต เสร็จแล้วก็หันมาคำนับให้ฝ้าย ต่อด้วยสมาชิกในห้องที่นั่งอยู่อีกฝั่งจนแทบจะครบทั้งสี่ทิศ

ท่าทางของคริสดูจริงใจจากความรู้สึกผิด แต่ถึงไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นจริงก็ยังพอให้บรรยากาศดีขึ้นบ้าง

พอได้ทีเธอก็เดินกลับไปยืนอยู่ด้านหลังโน๊ตบุ๊คที่วางอยู่หน้าห้องเหมือนเดิม

‘ต้องขอโทษด้วยอีกครั้งนะที่คนของเราทำอะไรโดยพลการ’

“เรื่องนั้นช่างเถอะ”

ทัตไม่ถือโทษโกรธเคือง เพราะโดยผลลัพธ์แล้วก็ไม่มีใครเป็นอันตราย

กลับกัน… ฝ่ายที่เสียหน้าคือทางเซนเองต่างหาก

เพราะไม่ว่าจะดีหรือร้าย แต่ก็เพราะคุณเมดสาวคริสควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ การเจรจาก็เลยถูกขัด

และถ้าจะรักษาหน้ากัน ตามมารยาทแล้วฝ่ายเซนก็ยิ่งต้องรับฟังฝ่ายทัตมากขึ้น

‘ยังไงก็ตาม… เรื่องที่คิดจะจัดระเบียบองค์กรรวมถึงพวกนอกคอกด้วยกฎและบทลงโทษที่ชัดเจน ก็น่าสนใจและมีความเป็นไปได้ว่าจะสำเร็จอยู่จริงนั่นแหละ’

เซนพูดกลับเข้าประเด็นในจังหวะที่ทัตคาดหวัง

‘แต่เรื่องบทลงโทษมันยังไม่ชัดเจน’ เซนพูดขัดขึ้นมาอีกรอบ ทัตรู้สึกเหมือนโดนตบหัวแล้วลูบหลัง

‘ที่สถานการณ์ตอนนี้เป็นเรื่องลำบากในการควบคุม ก็เป็นเพราะบทลงโทษอย่างเดียวที่มอบให้กับผู้กระทำผิดได้คือความตายนี่แหละ ซึ่งการมีบทลงโทษสูงสุดอย่างเดียวมันไม่นับเป็นความยุติธรรม แต่เป็นเผด็จการต่างหาก’

เซนแสดงความคิดของตัวเองออกมาโดยมีคุณเมดที่ยืนอยู่ข้างหลังพยักหน้าตามงก ๆ

น้ำเสียงของเซนดูจริงจังกว่าที่ผ่านมา เห็นชัดว่าถ้าเป็นเรื่องของชีวิตผู้คนเขาจะใส่ใจเป็นพิเศษ

นั่นเป็นจุดยุ่งยากแต่ไม่ได้น่ารำคาญ อย่างน้อยก็ในความคิดของทัต

เพราะถ้าชายคนนี้ไม่มีความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้นำพึงมี ทัตคงรู้สึกลำบากใจที่จะทำงานร่วมกันมากกว่านี้

ส่วนเนื้อหาที่เซนพูด… เหล่าผู้มีพลังนั้นไม่ถูกผูกมัดด้วยโลกจริง สิ่งเดียวที่สังหารพวกเขาได้คือเวลาที่มอนสเตอร์ปรากฏตัว การลงโทษทางร่างกายจึงเป็นอย่างเดียวที่จะสร้างความเกรงกลัวกฎให้ได้

แต่การทรมานร่างกายก็ยังนับว่าโหดร้ายเกินไปสำหรับองค์กรที่เรียกตัวเองว่าเป็นผู้ช่วยชีวิต หรือต่อให้ทำได้จริง แต่พอเวลาถูกย้อนกลับมาความเจ็บปวดและบาดแผลก็หายไปอยู่ดี

จะให้ทำการยึดทรัพย์สินก็ทำไม่ได้ด้วยหลักการเดียวกัน

การลงโทษที่ให้ผลชัดเจนและส่งผลต่อเนื่องจึงมีแต่การสังหารเพียงอย่างเดียว แต่การทำแบบนั้นมันไม่ต่างจากพวกนอกคอกที่พวกตนคิดจะปราบปรามเลย

มันคือการโค่นล้มเผด็จการด้วยเผด็จการ เป็นการกลืนน้ำลายตัวเองอย่างเห็นได้ชัด

“อา… เรื่องนั้นฉันเห็นด้วย” ทัตจึงไม่ปฏิเสธว่าสิ่งที่เซนพูดเป็นความจริง

แต่แววตาของเขากลับไม่เสียความมั่นใจลงไปเลย สีหน้าเองก็ยังมั่นคงไม่เปลี่ยนสี

เซนเห็นเพียงแค่นั้นก็เข้าใจแล้ว

‘งี้นี่เอง… แสดงว่านายมีทางแก้ปัญหานี้แล้วสินะ’

“ถูกต้อง”

ทัตตอบกลับฉะฉาน ทำเอาคนทั้งห้องแสดงสีหน้าประหลาดใจอ้าปากค้างไปตาม ๆ กัน แต่ในขณเดียวกันแววตาก็เป็นประกายไปด้วย

ปฏิกิริยานั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้ เพราะทุกคนในห้องนี้ใช้ชีวิตอยู่กับสถานการณ์นี้มานานหลายปี พวกเขายังคิดไม่ตกเลยว่าจะสร้างบทลงโทษแบบไหนให้คนกลัวกฎโดยที่ไม่ต้องฆ่า

รวมกับเรื่องที่จะมีการแต่งตั้งผู้คุมกฎขึ้นมาบังคับใช้กฎและบทลงโทษดังกล่าวด้วยแล้ว ความเป็นไปได้ที่สถานการณ์วุ่นวายของผู้มีพลังจะคลี่คลายจึงยิ่งมีมากกว่าเดิมอีก

‘ก็ได้ ฉันรับข้อเสนอของนาย’

วิธีการนั้นจึงเป็นที่สนใจแม้แต่กับหัวหน้าใหญ่อย่างเซน เขาเองก็มองเห็นความเป็นไปได้นั้นเหมือนกับคนอื่น ๆ ในห้อง

ว่าไปแล้วเซนก็คงอยากจะเริ่มดำเนินการให้เร็วที่สุดด้วย

‘ก็อยากจะพูดอย่างนั้นอยู่หรอกนะ… แต่ฉันแค่คนเดียวคงพิจารณาเรื่องนั้นไม่ได้ ในฐานะที่เป็นผู้นำที่ดีก็คงต้องฟังความเห็นของคนอื่นด้วย’

ทัตได้ยินแบบนั้นก็เผลอยิ้มแห้งเพราะเรื่องไม่ได้อนุมัติง่ายอย่างที่คิด

แต่หากนับจากแรกเริ่ม ทัตหวังว่าจะยื่นข้อเสนอเฉย ๆ โดยเตรียมใจที่จะถูกปฏิเสธอยู่แล้วด้วยซ้ำ แถมคิดจะออกจากเซฟเวอร์เพื่อไปทำหน้าที่กำจัดพวกนอกคอกเองด้วยหากเรื่องนี้ถูกปัดตก

พอความคาดหวังแรกเป็นแบบนั้น ทัตก็ค่อนข้างรู้สึกพอใจมากเพราะมาได้ไกลกว่าที่คิด

ไม่สิ อันที่จริง… ทัตไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าตัวเองยังไปได้ไกลกว่านี้อีก

‘งั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ที่กรุงเทพฯ ฉันจะจัดตั้งการประชุมหัวหน้าใหญ่จากทุกสาขาเพื่อกำหนดมาตรการที่จะรับมือกลุ่มอิสระทั้งหมดนับจากนี้ไปอย่างจริงจัง’

ทัตได้รู้เรื่องนั้นตอนที่เซนเหมือนจะกล่าวปิดประชุม แต่ดันกลายเป็นการนัดประชุมครั้งใหม่ไปเสียได้

ข่าวนี้ทำทุกคนผงะอีกครั้ง สังเกตจากสีหน้าแปลกใจของทุกคนแล้ว การรวมตัวของหัวหน้าใหญ่ทุกคนคงจะเป็นเรื่องที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างแน่นอน

นอกจากนั้น…

‘แต่ตัวหลักของงานก็คือนาย… ทัต’

เซนกล่าวเสริมเป็นอย่างสุดท้าย น้ำเสียงของเซนดูตื่นเต้นสนอกสนใจกว่าเคย

แต่นั่นเป็นการสร้างงานให้ทัตจนเขาเหงื่อตกอีกรอบ เขารู้ได้ทันทีว่าตัวเองกำลังจะเจอกับอะไร

‘ฉันจะให้นายเป็นพระเอกของงานเลย… ถ้านายอยากจะเสนออะไร ก็มาพูดกับหัวหน้าทุกคนในวันนั้นเลยแล้วกัน’