ตอนที่ 72 โบยสามสิบไม้
ป้ายเข้าสอบคือหลักฐานการเข้าสอบแบบโบราณ หากไม่มีมันก็เข้าห้องสอบไม่ได้
เฉียวเวยตระหนักถึงความร้ายแรงของปัญหานี้ แต่เรื่องนี้จะกล่าวโทษอาเซิงก็ไม่ได้ ผู้ใดจะคาดคิดว่าป้ายจะหายทั้งๆ ที่ต่อแถวอยู่
นางปาดน้ำตาให้เขาและพูดว่า “เจ้าอย่าเพิ่งร้องไห้ เราแค่ไปหาป้ายให้พบก็พอ”
เมื่อหลัวหย่งเหนียนเติมน้ำกลับมา เขาก็เห็นพวกนางแต่ละคนต่างก้มมองหาอะไรบางอย่างบนพื้น “มีอะไรหรือท่านพี่”
“ป้ายเข้าสอบของจิ่งอวิ๋นหายไป” เฉียวเวยก้มหน้ามองหาต่อ
หลัวหย่งเหนียนขมวดคิ้ว “ของสำคัญเช่นนี้ทำหายได้เช่นไร แน่ใจหรือว่าทำหายที่นี่”
อาเซิงก้มศีรษะด้วยความสำนึกผิด “แน่ใจขอรับ”
หลัวหย่งเหนียนตบศีรษะเขา “เจ้าเด็กนี่ทำหายหรือ”
อาเซิงทำท่าจะร้องไห้อีกครั้ง
เฉียวเวยจับมือหลัวหย่งเหนียน “อย่าไปโทษอาเซิง รีบหาป้ายเถอะ”
หลัวหย่งเหนียนค้นหาอยู่พักหนึ่ง ทั้งยังถามคนในแถวด้วย ทุกคนล้วนบอกว่าพวกเขาไม่เห็นป้ายตกบนพื้น เวลานี้เหลือเวลาก่อนเข้าห้องสอบไม่ถึงหนึ่งเค่อแล้ว ผู้เข้าสอบเข้าไปกันจนเกือบจะหมดแล้ว เหลือผู้ที่กำลังตรวจสอบป้ายเข้าสอบเพียงประปรายเท่านั้น พวกเขาต่างรู้สึกกระวนกระวายใจ
เฉียวเวยขมวดคิ้ว “อาเซิง เจ้าพาวั่งซูเข้าไปก่อน”
อาเซิงสั่นศีรษะ “เอาป้ายของข้าให้จิ่งอวิ๋น ให้จิ่งอวิ๋นเข้าไปสอบเถอะขอรับ”
จริงๆ แล้วป้ายเข้าสอบนั้นหน้าตาเหมือนกันหมด ทั้งสามคนนึกสนุกจึงเขียนชื่อของแต่ละคนด้วยถ่าน เพียงลบออกก็ไม่มีปัญหาแล้ว
เฉียวเวยพูดอย่างเคร่งขรึม “เจ้าเข้าไปข้างใน”
จิ่งอวิ๋นยังเด็ก หากลองคิดอีกแง่หนึ่งต่อให้เขาถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าสอบวันนี้จริงๆ เขาก็ยังมีโอกาสหลังจากนี้อีกสามปี ทว่าอาเซิงอายุสิบขวบแล้ว หากเขาพลาดการสอบครั้งนี้จะไม่มีครั้งต่อไป
อาเซิงกำหมัดแน่น “ข้าไม่เข้าไป ข้าทำป้ายหาย หากจิ่งอวิ๋นไม่เข้าไป ข้าก็จะไม่เข้าไปด้วย”
วั่งซูกะพริบตาอย่างไร้เดียงสาและพูดว่า “ข้าก็อยากอยู่กับท่านพี่ด้วย”
เฉียวเวยย่อตัวลง ลูบแก้มลูกสาวเบาๆ “เชื่อแม่ เข้าสนามสอบไปกับพี่อาเซิงก่อน”
“ให้ท่านพี่เข้าไปเถิดเจ้าค่ะ” วั่งซูหยิบป้ายของตัวเองออกมา
“ใช้ของข้าเถิดขอรับ!” อาเซิงกล่าว
เฉียวเวยมองทั้งสองคนอย่างหนักแน่น “ไม่ใช้ของผู้ใดทั้งนั้น พวกเจ้าเข้าไป อาเซิง เจ้าส่งวั่งซูไปที่นั่งของนางก่อน วั่งซูเจ้าไม่ต้องกลัว ทำเหมือนที่ไปเรียนปกติ”
“ข้าเอาเสี่ยวไป๋เข้าไปได้หรือไม่” วั่งซูถามเสียงแผ่วเบา
“ไม่ได้” เฉียวเวยส่ายศีรษะ
อาเซิงจับมือวั่งซูเดินเข้าไปในสนามสอบ
จิ่งอวิ๋นรู้สึกเสียใจเล็กน้อย
“หรือจะถูกคนขโมยไป ท่านพี่” หลัวหย่งเหนียนถามอย่างร้อนรน
จิ่งอวิ๋นเบิกตากว้าง “ข้าจำได้แล้ว เมื่อครู่มีคนชนพี่อาเซิงขอรับ”
“ผู้ใด”
หลัวหย่งเหนียนกับเฉียวเวยถามเป็นเสียงเดียวกัน
จิ่งอวิ๋นวาดแขนชี้ไปจุดหนึ่ง ครั้นมองตามทิศทางที่เขาชี้ เฉียวเวยก็เห็นสตรีสองนางกำลังพูดคุยหัวเราะกัน หญิงรูปร่างผอมคนนั้นคืออนุภรรยาของรองหัวหน้ากองที่เอาฐานะของสามีมาข่มเหงนางที่หอหลินจือคราวก่อนมิใช่หรือ ช่างเป็นเรื่องบังเอิญโดยแท้!
เฉียวเวยเดินไปหาพร้อมสายตาเย็นชา แล้วกระชากคอเสื้อของนางอย่างไม่พูดพร่ำทั้งสิ้น นางกรีดร้องด้วยความตกใจ “กรี๊ด! เจ้าทำอันใด”
เฉียวเวยในยามนี้แตกต่างจากหญิงชาวบ้านซอมซ่อที่กระเตงลูกในครั้งก่อน นางจึงจำไม่ได้ในทันที
เฉียวเวยพูดอย่างเย็นชา “คืนป้ายมา!”
อาซิ่วมีสีหน้าตื่นตระหนก “ป้าย ป้ายอันใด”
ตุ๊งงง
ตุ๊งงง
ตุ๊งงง
ภายในสำนักศึกษามีเสียงระฆังตีบอกเวลาดังขึ้น การสอบได้เริ่มขึ้นแล้ว
เฉียวเวยไม่มีเวลามายุ่งกับนาง
“ยังไม่ยอมรับหรือ ข้าว่าเจ้าไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาสินะ!” เฉียวเวยจับแขนของนาง แล้วกดนางลงพื้นด้วยมือข้างเดียว!
หญิงร่างท้วมตกใจจนหน้าซีด นางไม่รู้จริงๆ ว่าป้ายเข้าสอบแผ่นนี้ถูกขโมยมาจากมือคนอื่น นางคิดว่ามีคนเต็มใจขายเสียอีก นางรีบก้าวไปข้างหน้า เนื้อตัวสั่นเทาบอกว่า “หยุดตี หยุดตีได้แล้ว! ข้าจะคืนให้เจ้า!”
อาซิ่วคำรามอย่างเจ็บปวด “จะคืนทำไม ป้ายเป็นของเจ้าแต่แรกแล้ว! นางขโมยของแล้วยังจะทำร้ายคนอีก มีเหตุผลที่ใด เจ้าหน้าที่! มีคนร้าย! มีคนจะก่อกวนการสอบ!”
สำนวนที่ว่าขี้ราดโทษล่องเป็นเช่นไร ก็เป็นเช่นนี้อย่างไรเล่า
ทหารหลายคนรีบวิ่งเข้ามาทันที หลัวหย่งเหนียนเห็นสถานการณ์ไม่ดีจึงปราดมาขวางหน้าเฉียวเวย “ใครกล้าแตะต้องท่านพี่ของข้า!
เฉียวเวยปล่อยอาซิ่ว นางอุ้มจิ่งอวิ๋นขึ้นมาส่งให้เขา แล้วสั่งอย่างมิยอมให้ปฏิเสธ “ไปรอข้าที่ตรอกตรงนั้น! อย่าเข้ามาหากข้ายังไม่อนุญาต!”
“ท่านพี่!”
“ถ้ายังเห็นข้าเป็นพี่ก็จงเชื่อข้า!”
หลัวหย่งเหนียนกัดฟันกรอดแล้วอุ้มจิ่งอวิ๋นหลบเข้าไปในตรอก
เสียงดังเอะอะทำให้ใต้เท้าเฉิงเข้ามาดู “เกิดอันใดขึ้น ผู้ใดก่อเรื่องด้านนอกสนามสอบ”
อาซิ่วราวกับเห็นดาวช่วยชีวิต นางน้ำตาร่วงพรู “นายท่าน! นายท่าน ในที่สุดท่านก็มาแล้ว! ท่านช่วยทวงความยุติธรรมให้ข้าด้วยจ้าค่ะ! คนบ้าผู้นี้ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด นางจับตัวข้าแล้วจะทำร้ายข้า! แล้วยังข่มขู่ให้ข้ามอบป้ายเข้าสอบให้อีก! ลูกเรามิได้เข้าร่วมสอบเสินถง ข้าจะไปนำป้ายเข้าสอบจากที่ใดมาให้นางเล่าเจ้าคะ”
ดวงตาของเฉียวเวยเย็นชา “ท่านคือรองหัวหน้ากองผู้นั้นใช่หรือไม่”
“เจ้าเป็นผู้ใด” ใต้เท้าเฉิงเห็นว่านางมีรูปลักษณ์และท่าทางมิธรรมดา ทั้งยังลงมืออย่างเหิมเกริมเช่นนี้ จึงเกรงว่านางจะมีคนหนุนหลัง ไม่กล้าฉีกหน้านางในทันที
เฉียวเวยย้อนถามอย่างเฉยชา “ทำไม จะเลือกปฏิบัติหรือไร”
ใต้เท้าเฉิงโดนพูดแทงใจดำจนรู้สึกกระดากอาย “เจ้าหยุดหยาบคายได้แล้ว ข้าเพียงอยากทราบว่าผู้ใดก่อเรื่องที่สนามสอบ!”
เฉียวเวยยิ้มเยาะ “ฟังจากคำพูดของใต้เท้า กล่าวราวกับว่ามีข้าก่อเรื่องอยู่คนเดียว ใต้เท้ารู้หรือไม่ว่าอนุภรรยาคนนี้ของท่านทำอันใดไว้ ตอนแรกก็ใช้อำนาจรังแกคนต่อหน้าธารกำนัลที่หอหลิงจือ ทำให้ลูกสองคนของข้าที่กำลังป่วยหนักไม่ได้รับการรักษา โชคดีลูกข้ามีบุญได้พบผู้สูงศักดิ์ ตอนนี้พวกเขาจึงหายดีแล้ว เรื่องนี้ข้าจึงไม่คิดหยุมหยิมกับนาง! ไหนเลยจะรู้ว่านางกลับฉวยโอกาสตอนข้าไม่อยู่ แอบขโมยป้ายเข้าสอบของลูกข้า ข้าจับได้ แต่นางกลับดื้อด้านไม่ยอมรับ แล้วยังมาใส่ร้ายข้าแทน! เป็นอนุภรรยาของรองหัวหน้ากองยิ่งใหญ่นักหรือ ไม่สนใจกฎหมายบ้านเมืองได้หรือไร จะมาข่มเหงรังแกลูกข้าครั้งแล้วครั้งเล่าได้เช่นนั้นหรือ”
คำพูดแต่ละประโยคของเฉียวเวยจี้ตรงจุด จนรองหัวหน้ากองพูดไม่ออก
ชาวบ้านที่อยู่รอบด้านต่างมุงดูพร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์ว่าใครถูกใครผิด คำตอบชัดเจนอยู่แล้ว สตรีอ่อนแอนางหนึ่ง หากมิใช่ว่าพบความอยุติธรรมจริงๆ จะกล้าโวยวายใส่ขุนนางได้เช่นไร คงหวาดกลัวหนีไปเสียตั้งแต่แรกแล้ว
รองหัวหน้ากองเฉิงมองอาซิ่วด้วยใบหน้าถมึงทึง เขารู้จักนิสัยของอนุภรรยาคนนี้อยู่บ้าง นางชอบก่อเรื่อง แต่เพราะยามอยู่ต่อหน้าเขายังถือว่ารู้ความ ทั้งยังให้กำเนิดบุตรชายคนเดียวให้แก่เขา ดังนั้นเขาจึงให้ความสำคัญกับนางเป็นพิเศษอยู่บ้าง
อาซิ่วจำเฉียวเวยได้แล้ว นางก็คือคนที่ตัวเองแทรกแถวคราวนั้น เพียงไม่กี่เดือนที่ไม่ได้เจอ นางก็เปลี่ยนไปราวกับคนละคน มิน่าตนเองถึงจำไม่ได้
นางรีบวิ่งไปหาบุรุษของนาง “นายท่าน ท่านอย่าฟังนางพูดเหลวไหลนะเจ้าคะ ข้าไม่ได้ขโมยป้ายเข้าสอบของนาง ไม่เชื่อท่านก็ค้นดู ไม่มีสิ่งใดอยู่กับตัวข้าเลยเจ้าค่ะ!”
“เจ้าให้คนอื่นไปแล้ว ของที่ขโมยมาย่อมไม่อยู่กับตัวเจ้าสิ!” เฉียวเวยหันไปมองหญิงร่างท้วม “ของที่ขโมยมาเล่า ยังไม่ส่งให้ใต้เท้าอีกหรือ”
หญิงร่างท้วมตกใจเมื่อถูกดวงตาอันเย็นเยียบคู่นั้นจ้องมองจึงรีบส่งป้ายเข้าสอบคืนให้
ความจริงญาติของนางมิได้ต้องการเข้าร่วมการสอบเสินถงมากขนาดนั้น เขาเพียงพูดส่งๆ เท่านั้นเอง แต่มารดาของอาซิ่วกลับคิดเป็นจริงเป็นจัง ทั้งยังดูกระตือรือร้นมากกว่าใครทั้งหมด แล้วยังโอ้อวดกับนางอย่างภาคภูมิใจ “ลูกเขยของข้าเป็นรองหัวหน้ากอง เรื่องรายชื่อนั่นย่อมมิใช่ปัญหา!” นางไม่อยากหักหาญน้ำใจมารดาของอาซิ่วจึงได้บากหน้ามาหาอาซิ่ว
คำพูดของนางที่กล่าวว่า “ต้องฝากเจ้าแล้วอาซิ่ว” ประโยคนั้นก็เป็นเพียงถ้อยคำแสดงความเกรงใจ หลานชายที่เป็นญาติห่างๆ ของนางกลัวการเข้าสอบ เมื่อเช้าเขายังร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่เลย!
ตอนนี้กลายเป็นเรื่องเป็นราวขึ้นมา อย่าให้พูดเลยว่าในใจนางรู้สึกเสียใจเพียงใด!
อาซิ่วแววตาตื่นตระหนก พูดขึ้นมาว่า “เจ้าบอกข้าว่าป้ายเข้าสอบของหลานชายเจ้าหายมิใช่หรือ หรือว่าแผ่นที่ข้าเก็บมาจะมิใช่ป้ายของเจ้า”
เฉียวเวยเกือบหัวเราะ
ฮูหยินร่างอวบไม่อยากโกหกอีกต่อไปแล้ว แต่นางไม่กล้าล่วงเกินอาซิ่วจึงตอบอย่างงึมงำ “ข้า…ข้าก็มิค่อย…แน่ใจ”
อาซิ่วคว้าแขนของใต้เท้าเฉิงแล้วพูดอย่างออดอ้อน “ป้ายเข้าสอบก็หน้าตาเหมือนกันหมด ข้ามิทราบว่านางทำป้ายหล่นหายเหมือนกัน ข้าคิดว่าเป็นของพี่พั่งเสียอีกจึงนำมาให้พี่พั่ง แต่ว่านายท่านเจ้าคะ นางจะทำร้ายคนเพราะเรื่องนี้มิได้สิ! ท่านดูแขนข้าสิเจ้าคะ ถูกนางบีบจนบวมหมดแล้ว!”
นางยื่นข้อมือออกมา มันบวมแดงอยู่เล็กน้อยจริงๆ
ใต้เท้าเฉิงปวดใจมาก
อาซิ่วแต่งเรื่องต่อว่า “นายท่านเจ้าคะ ท่านอย่าเห็นว่านางแต่งตัวดี นั่นล้วนเป็นเสื้อผ้าอาภรณ์ที่หยิบยืมผู้อื่นมา นางมาจากชนบท! ฝังมามาแห่งจวนเอินปั๋วเป็นพยานได้เจ้าค่ะ นางชอบกระทำความผิดเป็นนิสัย เคยขโมยของคุณหนูเฉียวด้วย ครั้งก่อนนางไปหอหลิงจือ คุณหนูใหญ่เฉียวก็ให้คนลากนางออกไป!”
ที่แท้ก็เป็นคนบ้านนอก ฮึ่ม คนบ้านนอกคนหนึ่งกล้าทำร้ายอนุภรรยาของเขาหรือ ไม่อยากมีชีวิตแล้วหรือ!
สีหน้าของใต้เท้าเฉิงเปลี่ยนไปทันควัน “ก่อกวนความเรียบร้อยของสนามสอบ ลงมือทำร้ายคนต่อหน้าธารกำนัล มิอาจละเว้นโทษ! เด็กๆ! ลากตัวนางไป! ลงโทษโบยสามสิบไม้!”