ผ่านมาเกือบสองเดือน ลาพิสเฝ้ามองดูทวีปมนุษย์อย่างตั้งอกตั้งใจ
เธอได้ใช้เส้นสายส่วนตัว ระดมเงินตามคำสั่งในการสะสมพืชสมุนไพรที่จอมมารขอมา
งานที่เธอทำนั้นเนี๊ยบมาก
200 โกลด์จากจอมมาร 1,000 โกลด์ที่เขายืมจากบริษัท และก้อนสุดท้าย 300 โกลด์ที่ลาพิสนั้นออกเองเป็นการส่วนตัว รวมทั้งหมดเป็นเงิน 1,500 โกลด์ ลาพิสเขียนสัญญากับบริษัทพ่อค้าที่อยู่ในทวีปมนุษย์
บริษัทขนาดเล็กและกลางได้ร่างสัญญากับสมาคมนักปรุงยาในเมืองใหญ่ สมาคมนักปรุงยาเหล่านั้นทำสัญญากับนักเก็บสมุนไพรทุกหมู่บ้าน
นอกจากนี้ ลาพิสก็ยังได้แอบจ้างวานนักเก็บสมุนไพรอีก 400 คน โดยผ่านตัวแทนบุคคลที่สามที่ร่างสัญญาขึ้นในครึ่งเดือน
ภายในเดือนเดียวนั้นเธอเก็บเกี่ยวสมุนไพรดังกล่าวได้ถึง 30,000 ชิ้น
ทั้งบริษัทขนาดเล็กและกลาง สมาคมนักปรุงยา รวมถึงนักเก็บสมุนไพรต่างดีใจกับคำขอนี้ พวกเขาต่างหัวเราะและบอกว่า พวกคนรวยนี่โง่ชะมัดที่เอาแต่ผลาญเงินตัวเองแบบนี้
สำหรับพวกเขาแล้วสมุนไพรดำนี่มันเป็นเพียงวัชพีชไร้ค่า การที่สามารถทำเงินจากมันได้เป็นอะไรที่ยอดมากสำหรับใครบางคน
ลาพิสสังเกตการณ์เกาะแห่งหนึ่งในทวีปมนุษย์อย่างใกล้ชิด
ซิซิเลีย(Sicilia) เกาะที่ใหญ่ที่สุดแห่งทะเลขาว(White Sea)จอมมารได้ทำนายไว้ว่า การระเบิดครั้งแรกจะเกิดขึ้นที่นี่
“ท่านหญิงครับ ทำไมท่านถึงมาเยี่ยมสถานที่ซอมซ่อแบบนี้……?”
“ไม่เป็นไร ดิฉันทำแบบนี้เพราะรักในงาน”
หนึ่งในลูกจ้างของโรงอาบน้ำสาธารณะงุนงงในขณะที่กำลังโค้งหัวต้อนรับ
มีหมอหลายคนประจำอยู่ที่โรงอาบน้ำ ชายคนนี้เป็นหนึ่งในนั้น
เขาคิดว่า ลาพิสน่าจะเป็นสตรีผู้สูงศักดิ์จากตระกูลมีชื่อ เธอช่างโอบอ้อมอารีมากที่จะมาลงเยี่ยมคนไข้ทุก 4 วัน
‘เลดี้แบบนี้ ก็ยังคงมีมาเสมอ’’
หมอแอบหัวเราะเบาๆระหว่างที่นำทางลาพิสไปยังบ่อน้ำร้อน เมื่อลูกสาวชนชั้นสูงถูกบอกเลิกอย่างโหดร้าย จากชายผู้เป็นที่รัก พวกเธอก็มักจะมาเยียวยาแผลใจตัวเองด้วยการมาดูแลผู้ป่วย
“คนไข้เป็นอย่างไรบ้าง?”
“เหมือนเดิมนั่นแหละครับ พวกเขายังคงโวยวายเรื่องอาการเจ็บเนื้อปวดตัว อันที่จริง ถ้าพวกเขาไม่ตะโกนโหวกเหวดตลอดเวลา ถนอมแรงไว้ให้ดี ตอนนี้เขาอาจจะวิ่งเล่นได้แล้วก็เป็นได้!”
หมอคนนั้นพูดติดตลก เช่นเดียวกับครูที่ชอบดูถูกนักเรียน หมอเองก็เกลียดคนไข้เช่นกัน
ลาพิสตอบไปตามความเหมาะสม
“เหรอคะ แล้วมีคนไข้ใหม่มาบ้างหรือเปล่า?”
“อ้อใช่ เมื่อวานมีชายหนุ่มเข้ารับการรักษา เขาบอกว่าตัวเองอีกอาการปวดรักแร้และที่ขาหนีบ แล้วก็บ่นว่า ปวดหัว ปวดข้อ และกล้ามเนื้อเหมือนถูกฉีกออกจากกัน บ่นเสียจนผมน่ะอยากจะตายแทนเขาให้ได้เลยล่ะ เขามีไข้สูง แต่อันที่จริงอาจเป็นแค่ไข้ฤดูร้อน”
ลาพิสหยุดกำในทันที เธอพูดออกมาห้วนๆ
“ดิฉันต้องพบผู้ป่วยก่อน”
หมอไม่มีเหตุใดผลที่จะห้ามไม่ให้เธอทำอย่างนั้น
ทั้งสองเดินไปที่ระเบียงทางเดินของห้องอาบน้ำ ก่อนที่จะเข้าไปในห้องๆหนึ่ง มีผู้ป่วยนอนอยู่ในห้องนั้นทั้งคร่ำครวญและตะโกน ทันทีที่ประตูเปิดออก
“โอ้ยยย! จะตายแล้ว จะตายอยู่jแล้ว! ใครก็ได้ กูจะตาย เพราะไอ้พวกหลอกลวงนี่!”
“ไอ้ชีเปลือยนี่!”
หมอหอบแฮกเมื่อเข้ามาใกล้เตียง
“ไอ้หนุ่มที่สุขภาพสมบูรณ์ดี แค่เป็นไข้นิดหน่อย ตอนนี้พยายามไล่ข้าออกจากเมืองอย่างนั้นเรอะ? เอ็งควรจะตายๆไปมากกว่า ไอ้ห่านี่”
“อุ้ แหม! พอมาตอนนี้หมอก็ไล่ให้ข้าไปตายซะเฉย แล้วข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อด้วยความปวดร้าวแบบนั้นได้ยังไงกัน? จริงอยู่ ข้าควรจะรีบๆตายไปเพื่อไปบอกให้ ซาตานมาฆ่าไอ้นักต้มตุ๋นนี่”
“ก็เพราะซาตานนั่นต่างหากที่ทำให้ชีวิตข้า ยุ่งเหยิง เจ้างั่ง ข้าล่ะอยากตบหน้าเจ้าซาตานชิบหายเลย ดังนั้นถ้าได้เจอมันสักทีก็คงดี”
หมอหันหน้ากลับมาหาลาพิสแล้วยิ้มแปลกๆให้
“ขอโทษด้วยนะครับ ท่านหญิง หมอนี่มันเป็นเพื่อนสมัยเด็กของผมเอง มันเป็นคนปากเสียมาทั้งชีวิต……คิดเสียว่า เจ้าหมอนี่มันเป็นพวกไร้การศึกษาก็แล้วกันนะครับ”
“ข้าเองสินะ ใครมันจะไปคิดวะว่า วันหนึ่งจะโดนหมอเรียกว่า คนไร้การศึกษา? หา? หืม? มันเป็นไปได้ยังไงที่ชายผู้เป็นที่รู้จักกันในนาม นายคัดท้ายแห่งอาณาจักรซาร์ดิเนีย จะกลายเป็นคนไร้การศึกษาไปได้? เฮ้ย เจ้านักต้มตุ๋น สมัยเจ้าอายุ7 ขวบเนี่ย เจ้าไม่ได้เป็นแบบนี้นี่หว่า ตอนนั้นเจ้ายังไปขี้เยี่ยวตรงสามแยกซีราคิวส์อยู่เลย……”
“อ้า! โอ้ว! ไอ้ห่าบ้านี่! อย่าพูดอะไรแบบนั้นต่อหน้าเลดี้สิวะ!”
หมอรีบปิดปากคนไข้อย่างเกรี้ยวกราด อีกฝ่ายก็พยายามส่งเสียงและต่อต้าน ลาพิสถอนใจก่อนจะนั่งลงข้างเตียงและช่วยหมอทำการตรวจโรค
มันแทบไม่เหมือนการรักษาโรคด้วยซ้ำ บทสนทนาส่วนใหญ่เป็นการถามว่า เขาเป็นอย่างไร รู้สึกอย่างไรบ้าง น้ำที่อาบนั้นหรือไม่
แต่เมื่อใดที่คนไข้บอกว่า ปวดข้อต่อ หมอก็จะเอาเลือดออกจากแขน
“บ่อน้ำร้อนนี่ดีมากเลย”
คนไข้พูดด้วยเสียงเหน็ดเหนื่อย
“สาวสวยมีเยอะดี แถมเบียร์ก็อร่อยด้วย……”
“โอ้ย ไอ้งั่งนี่ ก็บอกแกแล้วไงว่า งดดื่มเหล้า แต่เอ็งก็ยังฝืนดื่มอยู่ดี”
“ช่วยไม่ได้นี่หว่า ถ้าจะเอาเหล้าออกจากชีวิตลูกชาวเลอย่างเรา เอ็งก็จะได้ไปแต่ศพนั่นแหละ ใช่แล้วล่ะ มีอย่างนึงที่สังเกตเห็นตอนอาบน้ำ มันมีจุดโผล่ในซอกแขนข้าด้วยว่ะ ตรงนี้ไง”
คนไข้ยกแขนขึ้นและเผยให้เห็นจุดสีดำขนาดเท่าหัวแม่โป้ง
“……!”
ลาพิสแทบลืมหายใจ
ส่วนคนไข้กับหมอก็ยังคุยเล่นกันตามปรกติ
“เออว่ะ ว่าแต่นั่นมันคืออะร?”
“คงไม่มีอะไรหรอก แต่ปวดเนื้อปวดตัวฉิบหายเลย อารมณ์เลยไม่ค่อยดีเพราะเรื่องนี้แหละ”
“พละกำลังของแกถดถอยลงไปเยอะ นี่เป็นมาครึ่งเดือนแล้วใช่ไหม ตั้งแต่กลับมาจากสงครามน่ะ ไม่แปลกใจที่ร่างกายแกจะโทรมขนาดนั้น แกคงเป็นหวัดกับมีไข้นั่นแหละ พักให้เยอะๆแล้วจะดีขึ้นเอง”
“แน่ใจเหรอ? แน่ใจนะว่า ข้าแค่เป็นไข้หวัด? มันออกจะแปลกๆน่ะ เหมือนมันจะไม่ใช่ ข้าเคยเป็นไข้มาครั้งสองครั้งมาก่อนหน้านี้ แต่มันไม่ได้เจ็บหนักขนาดนี้……”
“นั่นเพราะแกชราแล้วไง ตาแก่เอ๋ย”
“พูดอะไรวะ ไอ้นักต้มตุ๋น?”
ความเจ็บปวดแพร่กระจายไปตามข้อต่อ มีไข้อย่างรุนแรง และมีอาการคือ บางส่วนของร่างกายเป็นสีดำ
ลาพิสนึกถึงคำพูดของจอมมารได้ จึงลุกขึ้น
“ขออภัยด้วย ดิฉันนึกได้ว่า มีเรื่องสำคัญต้องไปทำ ดังนั้นขอตัวก่อน”
“อ่า อย่างนั้นเหรอครับ ไม่เป็นไรครับ”
“ไม่ต้องไปส่งค่ะ”
ลาพิสได้หยุดหมอคนนั้นไว้จากการลุกขึ้นยืน เธอส่ง 2 เหรียญเงินให้กับหมอก่อนจะออกจากโรงอาบน้ำอย่างรีบร้อน หมอคนนั้นจ้องไปที่คนไข้
“เพราะแกแหละ เธอเลยไปเลยเห็นไหม!”
“อ้าว ทำไมความผิดข้าฟะ!”
“ก็แกมันปากเสียใจ เลดี้ท่านนั้นเลยทนไม่ไหว โธ่เว้ย นี่แหละสาเหตุว่า ทำไมพวกทหารมันถึงใช้ไม่ได้ มันรู้จักแต่การโม้เหม็นเกทับกัน แถมยังไม่รู้สึกใส่ใจคนอื่นว่าเขาจะคิดยังไง”
แล้วชายทั้งสองคนนั้นก็เริ่มทะเลาะกันอีก
อีกด้านหนึ่งของโรงอาบน้ำ ลาพิสนั้นไม่สามารถระงับความตระหนกที่อยู่ในอกของเธอในขณะที่เดินลงผ่านโถงทางเดิน คนรับใช้ทั้งหลายต่างทักทายลาพิสเนื่องจากคิดว่าเธอเป็นชนชั้นสูง หากแต่ลาพิสมิได้มีเวลาพอที่จะตอบรับทุกคน
‘ที่เขาพูดนั้นมันเป็นความจริง สิ่งที่ฝ่าบาทจอมมารพูดนั้นถูกต้อง’
เธอไปหาจอมมารในทันที เธอต้องส่งรายงานไปยังบริษัทของเธอ นี่มันเป็นสถานการณ์เร่งด่วน!
สองวันต่อมา คนไข้คนนั้นก็เสียชีวิตหลังจากที่ทั้งร่างกายกลายเป็นสีดำ หนึ่งสัปดาห์ต่อมาหมอก็เสียชีวิตทันที
จากจุดนั้น ไม่มีชาวเมืองคนใดตระหนักถึงความร้ายแรงของสถานการณ์ แต่ถึงอย่างไรก็ดี พอ10วันผ่านไป ทุกคนที่ใช้โรงอาบน้ำพากันตายหมด
จนกระทั่งร่างกายของประชากรในเมืองต่างกลายเป็นสีดำภายในครึ่งเดือน ตอนนั้นเองที่ทุกคนถึงได้ตระหนักได้ว่า เกิดอะไรขึ้น
โรคระบาดกำลังอาละวาดหนัก
* * *
บริษัทเคียนคุสก้าไม่ใช่บริษัทที่ไร้ความสามารถ
หากเขาเป็นกลุ่มบริษัทที่ไร้ความสามารถแล้ว คงจะไม่สามารถไต่เต้าไปเป็นแนวหน้าของโลกปีศาจได้ ดังนั้นแม้แต่รายงานที่มาจากบุคคลที่ถูกดูถูกในบริษัท ผู้บริหารเองก็รู้ว่า จะจัดกับมันอย่างจริงจังอย่างไรเมื่อรายงานดังกล่าวเป็นความจริง
ผู้บริหารบริษัทเคียนคุสก้านั้นรวมตัวกันในห้องประชุม
พวกเขาเป็นผู้บริหารระดับสูงสุดที่ให้การสนับสนุนบริษัทมานานกว่าร้อยปี
“ใครจะไปคิดกันล่ะว่า ดันทาเลี่ยนคนนั้นจะเป็นผู้พยากรณ์ ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง”
แวมไพร์พูดขึ้นด้วยเสียงต่ำ ในขณะที่ผู้บริหารอื่นแย้งกลับไป
“ยังไม่แน่นอนอย่างนั้นหรอก ข้ายังเชื่อว่า มันไม่ได้เป็นอะไรมากเกินไปกว่า จอมมารอ่อนหัด”
“ฮู่ว เอาจริงนะ เขาทำนายการเกิดโรคระบาดได้ โรคระบาดที่ไม่มีใครเคยรู้มาก่อน นั่นไง”
ผู้เฒ่าแห่งเผ่าหมาป่าแสดงความเห็น
“นี่พวกเรายังต้องการหลักฐานอะไรอีก? โดยทั่วไปแล้วองค์กรย่อมต้องระวังในยามที่พึงระวัง และจักต้องกล้าในยามที่ควรหาญกล้า ก่อนหน้านี้พวกเราคอยเฝ้าระวังตอนที่รายงานฉบับนั้นมาถึงมือเรา เพราะยังไม่มีหลักฐาน แต่ตอนนี้มีหลักฐานยืนยันแล้ว เหล่าสหาย! เลิกยึดติดกับการตัดสินใจอดีตได้แล้ว ความยึดติดนั้นเป็น……”
“มารดาแห่งความเสียดาย และบิดาแห่งความไม่รู้”
แวมไพร์ยืนยันเช่นนั้น
“ท่านประธานมักพูดอย่างนั้น แม้จะผ่านมาเกือบเจ็ดร้อยปีที่ท่านประธานจากไป เหตุผลที่พวกเราทั้ง7 ยังคงรักษาตำแหน่งในเคียนคุสก้าให้เป็นท็อปอยู่ได้นั้นเพราะเรามีความสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับเหล่าจอมมาร”
เหล่าผู้บริหารนิ่งเงียบเพื่อฟังคำพูดของแวมไพร์
แม้ดูเผินๆเหล่าผู้บริหารจะเสมอภาคเท่าเทียมกัน แต่แวมไพร์กลับเป็นผู้นำโดยพฤตินัย เนื่องจากเขาปกป้องบริษัทมานานกว่าทุกคน
และแวมไพร์ได้พูดออกมาอย่างไม่เต็มใจนัก
“พวกเราได้ปราบปรามปีศาจที่เป็นอริกับจอมมารอย่างลับๆ และสิ่งที่ตอบแทนกลับมาคือ จอมมารได้พึงพอใจพวกเราอย่างมาก ความสัมพันธ์ของเคียนคุสก้าที่มีกับเหล่าจอมมารนั้นเป็นดั่งสายโลหิต ดันทาเลียนอาจเป็นอันดับ71แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็เป็นจอมมารตนหนึ่ง หากเขามีพลังในการพยากรณ์จริง บริษัทเคียนคุสก้าก็จะสนับสนุนเขาอย่างเต็มความสามารถ”
“ข้าไม่ยอมรับ!”
ก็อบลินแก่ที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามตะโกนออกมา รอยย่นปรากฏขึ้นมากมายบนหน้าผากยามที่เขาทำหน้าบูดบึ้ง
“การพยากรณ์อย่างนั้นเรอะ! บอลล็อค(Bollocks) สุดท้ายแล้วมันสมองในกระโหลกของแกมันเสื่อมไปตามกาลเวลาแล้วสินะ หืม? การที่สุดยอดผู้บริหารแห่งเคียนคุสก้ากลับมาหลงเชื่อในปรากฏไม่มีเหตุผลไม่มีที่มาที่ไปอย่างการพยากรณ์เนี่ยน่ะหรือ!? ถ้าอีก6คนในโลกนี้ ที่ข้าเรียกว่าเป็นสหายกลับอ่อนแอไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ นี่ข้าจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวขนาดนี้ไปทำไมกัน? ถ้าโจรมันเอาไข่แกไปข้างนึง แล้วพวกแกจะส่งไข่อีกข้างหนึ่งให้อย่างว่าง่ายรึไง นี่พวกแกยังกล้าที่จะเชิดหน้าอยู่ได้ยังไงกัน!?”
“เฮ้ย เจ้าเพื่อนตัวเล็กจอมโวยวายของเรา”
มนุษย์หมาป่าคำรามขึ้น
“ผู้คนในสามเมืองของมนุษย์นั้นตายไปหมดเมือง ภายในแค่ครึ่งเดือนในการระบาดครั้งแรก สามเมืองล่มสลายไปแล้ว”
ข้าใช้ชีวิตอยู่มาเป็นร้อยปี ยังไม่เคยได้เห็นหรือได้ยินว่า โรคระบาดครั้งไหนจะรวดเร็วขนาดนี้ ผู้เชี่ยวชาญอาจจะทำนายแล้วว่าจะตายกันเกือบครึ่งหนึ่งของประชากรทั้งหมด แล้วแกจะบอกว่า นี่เป็นคำโกหกอย่างนั้นหรือ?”
“แล้วข้าจะไปรู้ได้ไงกันวะ? ถึงอย่างนั้นก็เถอะ ไม่ได้แปลว่ามันจะเป็นพลังการพยากรณ์ก็ได้นี่”
ก็อบลินแก่เบือนหน้าหนี ราวกับเขากำลังโมโหอยู่
มนุษย์หมาป่าคำรามผ่านทางจมูก
“เจ้าก็รู้จักแต่การยืนกรานปฏิเสธในสิ่งที่ไม่มีข้อสรุป ในสิ่งที่เจ้าเรียกว่า ตรรกะนั้น นั่นอาจเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมที่เจ้ามี แต่ในกรณี้มันกลายความไร้เหตุผลไปเสียแล้ว ข้าได้แต่หวังว่า เจ้าจะไม่แสดงท่าทีเช่นนั้นเมื่ออยู่ต่อหน้าฝ่าบาทไพม่อน(Paimon)”
“เจ้าจะอ้างถึง ฝ่าบาทไพมอนทำไมกัน? ข้าแค่จะบอกว่า มันอาจจะไม่ใช่ การพยากรณ์ก็เป็นได้!”
แวมไพร์ค่อยๆยกมือขวาขึ้น
การประชุมเงียบลงในทันที มีเพียงเสียงก็อบลินฮึดฮัดเท่านั้นที่ยังได้ยินกันอยู่
แล้วแวมไพร์ก็พูดกับก็อบลิน
“โทรุเคล(Toruke) เพื่อนยาก ข้าเชื่อว่า คำพูดของเจ้าเป็นความจริง”
พอเขาพูดเช่นนั้น ก็อบลินก็เริ่มที่จะพูดขึ้นมาอีก เหมือนกับเขาไม่เคยหุบปากเงียบมาก่อนในชีวิต
“สมแล้วที่เป็นแวมไพร์ ขุนนางแห่งความมืดมิด! ท่านนั้นแตกต่างจากเจ้าหมาที่มีแค่ปากอยู่ที่หัว! เฮ้ย ไอ้หมาโง่ จากนี้ต่อไปหากมีใครถามว่า แกเป็นใคร จงตอบกลับไปว่า แกเป็นเพียงส่วนผสมระหว่างไอ้โง่กับไอ้งี่เง่า ให้แน่ใจนะว่า แกไม่ได้พ่นชื่อ บริษัทเราออกจากปาก”
เหล่าผู้บริหารคนอื่นต่างถอนใจออกมา
แม้จะถูกก็อบลินก่อกวนด้วยการก่นด่า แต่มนุษย์หมาป่ากลับไม่โกรธ และเพียงแต่เดาะลิ้นเป็นการตอบรับ แม้จะเป็นผู้บริหารด้วยกันหากแต่วิธีที่ก็อบลินพูดนั้นรุนแรงมากเกินไป หากเขานั้นไม่มีความสามารถทางธุรกิจ เขาคงจะถูกเตะออกจากตำแหน่งผู้บริหารไปนานโขแล้ว
“ตอนนี้ให้ลองตั้งสมมุติฐานว่า ดันทาเลี่ยนผู้นั้นเป็นผู้ไม่ได้มีพลังการพยากรณ์ไว้ก่อน”
แวมไพร์ไขว้นิ้วของตน
“เขานั้นได้ทำนายไว้ว่า จะเกิดโรคระเบิดร้ายแรงขึ้น และมันก็เกิดขึ้นจริง สหายเรา หากมิได้มีพลังการพยากรณ์ แล้วคุณว่า เขาจะล่วงรู้ได้อย่างไร?”
“หืม? ก็เห็นกันอยู่ชัดๆว่า …….ท่านลอร์ด!”
ดวงตาของก็อบลินเปิดกว้าง ผู้บริหารคนอื่นต่างตกตะลึงเมื่อตระหนักถึงเบาะแสที่แวมไพร์ได้ให้ไว้
แวมไพร์ผงกหัว
“ดังนั้นก็มีอีกทางเลือกหนึ่งที่เป็นปได้ จอมมารดันทาเลี่ยนนั้นจงใจทำให้เกิดโรคระบาดเอง”
“ม-ไม่มีทาง”
“นั่นคือ สิ่งที่ข้าอยากจะเชื่อ ข้าอยากจะเชื่อว่า ดันทาเลี่ยนนั้นมีความสามารถแห่งการพยากรณ์ เพราะหากเขาไม่มีนั่นก็หมายความว่า ตัวเขาเองนั้นมีความสามารถในการสร้างเชื้อร้ายโรคระบาดให้เกิดขึ้นแก่โลกได้ตามต้องการ …….โดยส่วนตัวแล้ว ข้าไม่อาจจินตนาการได้ว่า พวกเราจะเผชิญหน้ากับจอมมารแบบนั้นได้เช่นไร”
แวมไพร์พูดขึ้นมาในใจ แต่หากสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง พวกเขาไม่มีทางที่จะต่อต้านจอมมารดันทาเลี่ยนได้
ผู้บริหารสูดสุดแห่งบริษัทเคียนคุสก้าคุ้นเคยกับการที่ทำให้จอมมารตระหนักในฐานะของตน แวมไพร์ที่โดนลดอำนาจลงอย่าง จอมมารลำดับที่ 25 ลอร์ด เกลช่า-ลาโบลาส (Glasya-Labolas) ที่กลายเป็นเถ้าถ่านไปเพราะไม่ยอมจ่ายดอกเบี้ย
ผู้นั้นยกมือยอมแพ้
อึก!
ใครบางคนในที่ประชุมกลับกลืนน้ำลายอยู่เงียบๆ