บทที่ 227 มีบทละครหรือไม่?

บทที่ 227 มีบทละครหรือไม่?

หนานกงหลีกอดเสี่ยวเป่าพร้อมกับแกล้งร้องไห้ เอาหัวดันท้องน้อย ๆ ของนางไม่หยุด

ในที่สุดอารมณ์ขุ่นมัวก็ได้รับการเยียวยาจากเจ้าก้อนนุ่มนิ่ม

“งี้ด ๆ!”

ลูกจิ้งจอกที่หลบอยู่ข้างหลังเสี่ยวเป่าในตอนแรก เมื่อเห็นว่าเจ้านายของตัวเองหายตัวไป มันก็ส่งเสียงร้องและตะกุยชายเสื้อของหนานกงหลีทันที

“ท่านอาเจ็ดไม่ร้องนะ เสี่ยวเป่าจะไปบอกท่านพ่อให้”

“แต่ว่า…ท่านพ่อของเจ้านั่นแหละที่ส่งข้าไปเป็นเส้าชิงที่หงหลูซื่อ!”

เสี่ยวเป่า “เช่นนั้น…ท่านอาเจ็ดก็ร้องออกมาเถอะ เดี๋ยวเสี่ยวเป่าปลอบเอง”

หนานกงหลี: …

ปลอบเช่นนี้ ข้าไม่อยากได้หรอกนะ!

“ท่านอาเจ็ดกินเฉ่าเหมยหรือไม่”

เสี่ยวเป่าเห็นแววตาอันขมขื่นอย่างถึงที่สุดของท่านอาเจ็ด ก็รีบยื่นตะกร้าใบน้อยไปให้

“โอ๊ะ สุกอีกแล้วหรือ!”

เขาคว้าเฉ่าเหมยกำลังจะเอาเข้าปาก แต่เจ้าก้อนแป้งนุ่มนิ่มในอ้อมแขนกลับไม่อยู่แล้ว

หลานสาวตัวน้อยของเขาถูกพี่สี่ชิงตัวไปเป็นที่เรียบร้อย

หนานกงหลีอ้าปากเตรียมจะบ่นออดแอดด้วยความไม่พอใจ แต่เมื่อสบเข้ากับสายตาดุร้ายเหมือนหมาป่าของพี่สี่ เขาก็หงอขึ้นมาด้วยความกลัว

ปากกัดเฉ่าเหมยคำโตอย่างฉุนเฉียว ในใจกำลังคิดหาข้ออ้างให้กับความขี้ขลาดของตัวเอง

ข้าไม่ได้กลัวหรอกนะ เพียงแต่กำลังยุ่งอยู่กับการกินเลยไม่มีเวลาสนใจท่านต่างหาก หึ!

“ท่านอาสี่ก็กินด้วยสิ หวานมากเลยนะ”

เสี่ยวเป่าป้อนเฉ่าเหมยลูกใหญ่ให้ท่านอาสี่

หนานกงจ้านกัดเข้าไปครึ่งลูก “อร่อยดี”

“ท่านอาสี่ชอบหรือไม่ ในเรือนเพาะชำมีอีกเยอะแยะเลย หมู่บ้านน้ำพุร้อนของท่านพ่อก็ปลูกไว้ด้วย มีให้กินไม่เบื่อเลย!”

ในฤดูนี้นอกจากเรือนเพาะชำ ก็มีเพียงหมู่บ้านน้ำพุร้อนที่สามารถปลูกผักและเฉ่าเหมยได้

“เจ้าพยายามมันจนได้สินะ”

หนานกงหลีก้มตัวลง จากนั้นก็มุดร่างกายท่อนบนเข้าไปในเรือนเพาะชำ

เรือนเพาะชำไม่นับว่าสูงนัก คนตัวโตอย่างพวกเขาต้องย่อตัวเข้าไป เมื่อเข้าไปได้แล้วก็ต้องก้มอยู่ทั้งอย่างนั้น

แต่ส่วนสูงของเสี่ยวเป่าเข้าไปได้อย่างพอดิบพอดี

ด้านนอกทำจากผ้าน้ำมันให้แสงส่องผ่านได้ พวกเขาเองก็ยังไม่แน่ใจเท่าใดนักตอนที่เสี่ยวเป่าบอกว่าจะปลูกผักนอกฤดู

ทว่าตอนนี้เสี่ยวเป่าสามารถทำได้จริง ๆ แม้จะรู้สึกอัศจรรย์ใจ แต่พวกเขาก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไร

พืชผักที่สามารถเจริญเติบโตได้ในฤดูหนาวนั้นมีไม่มากนัก ยิ่งกับพวกชาวบ้านแล้วแทบไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะได้กินผักผลไม้ที่สดใหม่

เสด็จพี่ของเขามีบ่อน้ำพุร้อนสองแห่ง ส่วนตัวเขาก็มีบ่อน้ำพุร้อนในนามของตน ทุกปีเมื่อย่างเข้าฤดูหนาว พวกเขาก็จะปลูกผักจำนวนหนึ่งที่บ่อน้ำพุร้อน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่เคยขาดแคลนพืชผักไว้บริโภค

การปลูกเฉ่าเหมยก็ไม่ได้ง่ายไปกว่ากัน แม้จะเป็นฤดูหนาวแต่เฉ่าเหมยก็เป็นผลไม้ที่ต้องอยู่ในอุณหภูมิที่พอเหมาะถึงจะเติบโตขึ้นได้ ที่บ่อน้ำพุร้อนของเขาก็ปลูกไว้ด้วยเหมือนกัน

เฉ่าเหมยที่พูนจนล้นตะกร้าใบน้อยถูกกินจนหมดเกลี้ยง เสี่ยวเป่ากอดตะกร้าเอาไว้พร้อมทำแก้มป่อง

“ไม่ได้ ห้ามกินแล้ว ต้องเหลือไว้ให้ท่านพ่อด้วย”

แย่แล้วสิ เสี่ยวเป่ากับพวกท่านอาเผลอกินส่วนของพวกพี่ ๆ ไปเสียแล้ว

แต่ว่าไม่เป็นไร ข้างในเรือนเพาะชำยังมีอีกเยอะ ฮิฮิ

หนานกงหลีเขี่ยจมูกน้อย ๆ ของนาง “คิดถึงแต่ท่านพ่อหรืออย่างไร”

เสี่ยวเป่าแลบลิ้นพลางทำหน้าล้อเลียนทว่าดูน่ารักน่าชัง

“ก็ท่านพ่อของเสี่ยวเป่านี่นา”

ไม่ให้นางคิดถึงท่านพ่อ แล้วจะให้คิดถึงใคร

“ท่านอาสี่ปล่อยเสี่ยวเป่าก่อนได้หรือไม่ เสี่ยวเป่าจะไปเก็บมาเพิ่มให้ท่านพ่อ”

หนานกงจ้านติดใจการกอดหลานสาวตัวน้อยนุ่มนิ่มคนนี้ยิ่งนัก ตั้งแต่ที่แย่งมาจากน้องเจ็ด เขาก็ไม่ยอมปล่อยเสี่ยวเป่าอีกเลย

บัดนี้เจ้าตัวน้อยเอ่ยปากขอ เขาจึงได้แต่จำใจวางนางลง

เสี่ยวเป่ามุดกลับเข้าไปเก็บเฉ่าเหมยในเรือนเพาะชำจนพูนตะกร้าอย่างมีความสุข จากนั้นก็ถูกท่านอาสี่ที่ดักอยู่หน้าทางเข้าเรือนเพาะชำอุ้มจนตัวลอยทันทีที่นางออกมา

เสี่ยวเป่า: …เอาเถอะ ท่านอาสี่แรงเยอะ จะอุ้มก็อุ้ม

เท้าของเสี่ยวเป่าไม่ได้แตะพื้นตลอดทางที่ไปตำหนักฉินเจิ้ง

“ท่านพ่อ เสี่ยวเป่ากับท่านอามาหาเพคะ~”

เสียงอ่อนหวานท่าทางดีอกดีใจดังก้องไปทั่วทั้งตำหนักฉินเจิ้ง

หนานกงสือเยวียนวางพู่กันในมือพลางบีบสันจมูกเบา ๆ ฝูไห่นำน้ำชามาให้เขาโดยไม่รอช้า

“ฝ่าบาททรงจิบน้ำชาก่อน สำราญพระราชอิริยาบถเสียหน่อยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

เมื่อมีราชทูตจากอาณาจักรต่าง ๆ เดินทางมา ไม่เพียงแต่เหล่าขุนนางที่ทำงานมือเป็นระวิง

ในฐานะฮ่องเต้ หนานกงสือเยวียนก็มีราชกิจนับไม่ถ้วนให้ต้องสะสางยิ่งกว่า

เขาอยู่ทำงานจนดึกดื่นและตื่นแต่เช้าตรู่ติดต่อกันเป็นเวลาหลายวันแล้ว

แน่นอนว่าต้องขอบคุณที่ปีนี้ได้เสี่ยวเป่ามาอยู่ข้างกาย เขาจึงนอนหลับได้อย่างเต็มอิ่ม หากว่ายังนอนหลับไม่สนิทดังเช่นเมื่อก่อน อีกทั้งต้องจัดการหลายสิ่งหลายอย่าง ไม่รู้ว่าตอนนี้พระราชวังและราชวงศ์จะมีสภาพเป็นเช่นไร เกรงว่าเมฆดำทะมึนคงจะแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งเมืองกระมัง

ขณะที่หนานกงสือเยวียนยกจอกน้ำชาขึ้นจิบ ทั้งสามคนก็เข้ามาพอดี

เสี่ยวเป่าอยู่ในอ้อมแขนของท่านอาสี่ ยกตัวเองขึ้นพร้อมกับกอดตะกร้าใส่เฉ่าเหมยเอาไว้ ดวงตาสดใสทอประกายโค้งงามเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว ริมฝีปากชมพูบางราวกับกลีบบุปผา เผยให้เห็นรอยยิ้มนุ่มนวลอ่อนหวาน

เมื่อได้เห็นใบหน้าเปื้อนยิ้มของนาง หนานกงสือเยวียนก็สัมผัสได้ว่าความเหนื่อยล้าบนกายได้ถูกกำจัดออกไปจนสิ้น

“มานี่”

เสี่ยวเป่าลงจากอ้อมแขนท่านอาสี่ ขาสั้น ๆ กระโดดดึ๋งเข้าไปหาเขา จากนั้นท่านพ่อก็อุ้มนางขึ้นนั่งบนตัก

“ท่านพ่อรีบกินเฉ่าเหมยสิเพคะ เสี่ยวเป่าเพิ่งเก็บมาสด ๆ ร้อน ๆ เลย”

เสี่ยวเป่าป้อนเฉ่าเหมยลูกที่ใหญ่ที่สุดให้ท่านพ่อ และมองเขาด้วยสายตาคาดหวัง

เมื่อได้รับรางวัลเป็นการลูบหัว เจ้าก้อนแป้งก็ดีใจสุดขีด

แต่พอได้เห็นใบหน้าหล่อเหลาของท่านพ่อดูเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้า เสี่ยวเป่าพลันรู้สึกปวดใจยิ่ง

“ท่านพ่องานยุ่งหรือ นอนก็ดึก ตื่นก็เช้า”

ตอนกลางคืนเสี่ยวเป่านอนกอดหมอนรอให้ท่านพ่อมาเข้านอน จนกระทั่งเผลอหลับไป และเมื่อลืมตาตื่นขึ้นในตอนเช้าก็พบว่าท่านพ่อออกไปตั้งแต่เช้าตรู่แล้ว

“ไม่เป็นไร ผ่านพ้นช่วงนี้ไปก็ไม่ยุ่งแล้ว”

“เสี่ยวเป่านวดให้”

พูดไปพลางใช้มือน้อย ๆ นวดขมับให้ท่านพ่อ จากนั้นพลังวิญญาณที่มองไม่เห็นได้ด้วยตาเปล่าก็ไหลเวียนผ่านนิ้วมือของนางเข้าไปในร่างกายของท่านพ่อ

เพียงแค่รู้สึกถึงน้ำหนักมือและความอบอุ่นของบุตรสาวที่ไหลเวียนอยู่ในร่างของตน ความรู้สึกเหนื่อยล้าที่สะสมมาตลอดหลายวันของหนานกงสือเยวียนก็พลันมลายหายไป

นี่ไม่ใช่ครั้งแรก แต่เขาไม่เคยเอ่ยถาม

“พอแล้ว”

หนานกงสือเยวียนบีบมือน้อย ๆ ที่ใหญ่ไม่ถึงครึ่งของมือเขา ประกายอบอุ่นปรากฏขึ้นในดวงตาสีดำเข้มเย็นเยียบอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

“เจ้าไปเล่นกับพวกเสด็จอาเถอะ”

เสี่ยวเป่าปีนลงจากตักของท่านพ่อ นางยืนกอดอกพลางทำหน้ามุ่ย “ไม่ไป เสี่ยวเป่าจะอ่านหนังสือเป็นเพื่อนท่านพ่อที่นี่”

พูดจบก็สั่งให้คนนำโต๊ะและเก้าอี้ตัวเล็กของตนมาตั้งไว้ข้างหนานกงสือเยวียน จากนั้นก็หยิบหนังสือที่อาจารย์สั่งให้ท่องจากบนชั้นหนังสือ

นางเอาแต่ห่วงเล่นจนไม่ได้อ่านมาสองวันแล้ว หากอาจารย์รู้เข้าต้องสั่งงดของว่างอีกแน่ ๆ

ตอนนี้เสี่ยวเป่าจึงตั้งใจว่าจะอ่านหนังสือ เพื่อจะได้ใช้เวลาอยู่กับท่านพ่อให้นานขึ้นอีกหน่อย

“ท่านอาสี่ ท่านอาเจ็ดมาอ่านหนังสือด้วยกันสิ”

หนานกงหลี “มีบทละครพื้นเมืองหรือไม่”

หนานกงสือเยวียนปรายตามองด้วยสายตาเย็นชา “ไม่มีบทละคร มีแต่รายงานคณะทูตจากเมืองต่าง ๆ แล้วก็ฐานะและความสัมพันธ์ของพวกเขา อ่านเสีย พรุ่งนี้เจ้าต้องเริ่มงานแล้ว”

หนานกงหลี: ฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ*[1].jpg

“ข้าไม่…”

“เจ้าว่าอย่างไรนะ”

หนานกงหลีตัวแข็งทื่อราวกับมะเขือม่วงถูกแช่แข็ง

จากนั้นเขาก็เห็นฝูไห่หยิบม้วนเอกสารกองโตออกมา

“ท่านอ๋อง พวกนี้เป็นข้อมูลฐานะของคณะทูตที่ฝ่าบาทสั่งให้คนไปรวบรวมมา ส่วนด้านนี้เป็นสาส์นที่ราชทูตจากเมืองต่าง ๆ ถวายขึ้นกราบทูลพ่ะย่ะค่ะ”

ฝูไห่เผยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ ดีที่ฝ่าบาททรงแบ่งเบาภาระงานพวกนี้ จะได้ไม่รู้สึกรัดตัวจนเกินไปนัก

ชัดเจนแล้วว่าหนานกงสือเยวียนเองก็คิดเช่นนี้ไม่ต่างกัน

[1] ฟ้าผ่ากลางวันแสก ๆ (晴天霹雳) หมายถึง มีเรื่องไม่คาดฝันหรือภัยพิบัติเกิดขึ้นโดยไม่ได้ตั้งตัว