ตอนที่ 187 ด้วยจุดประสงค์ใด

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 187 ด้วยจุดประสงค์ใด
เรือนเจิ่นสยาสว่างไปด้วยโคมไฟ มีคนยืนกันเป็นกลุ่มเงามืด

ท่านลุงตระกูลจางกล่าวตำหนิอาแปดกับอาสะใภ้แปดด้วยสีหน้านิ่งเรียบประหนึ่งน้ำนิ่ง “ดึกป่านนี้ พวกเจ้าเข้ามาในเรือนของหลานสาวข้าด้วยจุดประสงค์ใด”

อาแปดกับอาสะใภ้แปดที่เป็นคนพูดเก่ง เวลานี้กลับพูดไม่ออกสักคำ ได้แต่หน้าแดงเหงื่อไหลพราก

ป้าสะใภ้ส่งเสียงฮึ่มหนึ่งที “โถ นายท่านแปด ปาไท่ไท่ ช่างทำตัวสมกับเป็นครอบครัวเดียวกันกับอินโหลวและชิงเหยาเสียเหลือเกิน แต่งตัวเช่นนี้เข้ามาที่เรือนของชิงเหยาดึกๆ ดื่นๆ ครอบครัวเช่นนี้ข้านั้นเพิ่งเคยพบเจอ”

อาสะใภ้แปดชักแม่น้ำทั้งห้าเพื่อหาข้ออ้าง “ข้า ข้าฝันร้าย ข้าฝันว่าชิงเหยาประสบปัญหาร้องไห้รุนแรง…จิ้วไท่ไท่ ท่านหารู้ไม่ ฝันนั้นช่างสมจริงเสียเหลือเกิน พอข้าตื่นขึ้นมาคิดทบทวนจนรู้สึกไม่วางใจ ข้าเลยชวนท่านพี่มาดูด้วยสักหน่อย ท่านพี่ เรื่องเป็นเช่นนี้ใช่หรือไม่”

อาแปดพยักหน้าหงึกๆ “ใช่…”

เซี่ยชิงเหยาหัวเราะแทรกขึ้นมาอย่างเย็นชา พลางหยิบหน้ากากที่ทำจากกระดาษขึ้นมาแล้วสะบัด “อาแปดกับอาสะใภ้แปดเป็นห่วงข้า อาสะใภ้แปดเลยสวมสิ่งนี่มาเยี่ยมข้าอย่างนั้นรึ นี่ท่านเห็นว่าข้าดวงแข็ง เป็นคนตกใจตายยากหรืออย่างไร”

อาแปดปิดปากเงียบสนิทและปาดน้ำเหงื่อไม่หยุด

อาสะใภ้แปดยังคงแก้ตัวสุดชีวิต “เจ้าหารู้ไม่ชิงเหยา หากมีลมพัดใส่อาสะใภ้ในตอนดึก ใบหน้าก็จะมีตุ่มขึ้นมา…”

เชี่ยชิงเหยารู้สึกโกรธจนหน้าแดงจึงได้โยนหน้ากากใส่หน้าของอาสะใภ้แปด “ข้าว่าท่านคิดจะทำให้ข้าตกใจจนเป็นอะไรไป แล้วท่านอาจะได้เข้าครอบครองสมบัติข้าอย่างผ่าเผยมากกว่ากระมัง”

อาสะใภ้แปดอ้าปากพะงาบ มองดูหน้ากากผีสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความขนลุก

นางเพิ่งพบว่าสาวน้อยที่อยู่ตรงหน้านี้ไม่ได้อ่อนแอเหมือนกับแม่ของนาง

ที่แท้นางก็เป็นคนเอาจริงเอาจังเหมือนกัน

“ชิงเหยา เจ้าฟ้าอาก่อน…”

“พอ! ได้! แล้ว!” เมื่อคำสามคำสั้นๆ โพล่งออกไป ทุกตัวอักษรเป็นเหมือนกับก้อนน้ำแข็งที่ฟาดใส่จนชาและชวนขนลุก

เซี่ยอินโหลวมองหน้าอาแปดกับอาสะใภ้แปดด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ จากนั้นริมฝีปากพลางยกขึ้น “ส่งพวกเขาออกจากจวนไป!”

บ่าวรับใช้จวนปั๋วไม่ชอบพฤติกรรมของอาแปดกับอาสะใภ้ตั้งแต่ไหนแต่ไร พอได้ยินคำสั่งของเซี่ยอินโหลวพวกเขาก็จับตัวทั้งสองคนแล้วลากออกไปทันที

อาสะใภ้แปดร้องไห้ดังลั่น “อินโหลว พวกเราเป็นอากับอาสะใภ้ของเจ้า ถึงอย่างไร พวกเราก็เป็นญาติผู้อาวุโสกว่าเจ้า เจ้าจะไล่พวกเราออกไปไม่ได้!”

เซี่ยอินโหลวไม่แม้แต่จะมองหน้าสตรีที่ร้องไห้เสียงดัง แต่หันไปเอ่ยถามกับผู้อาวุโสตระกูลที่มีสีหน้าทำอะไรไม่ถูก “ท่านอา อาสะใภ้ ท่านลุง ป้าสะใภ้ทุกท่าน สองคนนี้บุกรุกเข้ามายังที่พักของน้องสาวข้า ตั้งใจปลอมเป็นผีเพื่อทำร้ายผู้อื่น การที่ข้าเชิญพวกเขาออกจากจวนไป ไม่ถือว่าเป็นการไม่เคารพผู้อาวุโสกว่าใช่หรือไม่ขอรับ”

คนที่ถูกเอ่ยถามพากันถอนหายใจตามกัน ผู้อาวุโสที่อายุมากที่สุดหนึ่งในนั้นกระทืบเท้าและกล่าว “เรื่องนี้มัน… เจ้าแปด พวกเจ้าสองคนช่างไปกันใหญ่แล้วจริงๆ” มีคนมากมายไม่ชอบสองสามีภรรยาคู่นี้ที่ใช้ชีวิตอย่างตามใจจนเคยชินเพราะมีบิดาเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสให้พึ่งพา ยิ่งได้เห็นการกระทำของพวกเขาในตอนนี้ก็ยิ่งไม่ชอบ ส่วนบางคนที่ปกติยังพอมีความเคารพให้อยู่บ้าง พอเจอสถานการณ์เช่นนี้เข้าก็พูดไม่ออกเช่นกัน

เมื่อเห็นท่านอากับอาสะใภ้แปดที่ร้องห่มร้องไห้โวยวายถูกบ่าวรับใช้ผลักออกไปแต่ไม่ได้ผล เซี่ยอินโหลวพลันส่งเสียงดังลั่น “ช้าก่อน!”

อาแปดกับอาสะใภ้แปดรีบหันหน้ากลับมาพร้อมด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความหวัง

เซี่ยอินโหลวมองแววตาของเขาสองคนนั้นราวกับมองหมาจนตรอกที่ไร้ที่พึ่งและแฝงด้วยความดูถูกและความเกลียดชัง “เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ความสัมพันธ์ระหว่างจวนปั๋วกับพวกท่านเป็นอันว่าจบกัน จากนี้ไปขอให้ท่านสองคนอย่าได้ก้าวข้ามประตูจวนปั๋วอีก!”

อาแปดคิดไม่ถึงว่าเซี่ยอินโหลวจะเอ่ยคำพูดที่ไร้เยื่อใยขนาดนี้ออกมาได้ พลันโต้กลับไปด้วยสีหน้าดำคร่ำเครียด “อินโหลว ท่านปู่ใหญ่ของเจ้าเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสนะ!”

เซี่ยอินโหลวหัวเราะเย็นชา “ท่านอาเข้าใจผิดแล้วล่ะ ข้าไม่เคยพูดว่าจะตัดความสัมพันธ์ในตระกูลกับท่านปู่ใหญ่ สิ่งที่พวกท่านทำลงไปในวันนี้ ข้าจะบอกกับท่านปู่ใหญ่ด้วยตัวเองหลังจากที่พิธีฝังศพของท่านพ่อกับท่านแม่เสร็จแล้ว และข้าจะขอท่านปู่ใหญ่ช่วยตัดสินคืนความเป็นธรรมให้กับข้าและน้องสาวด้วย!”

“เจ้า…” อาแปดตะลึงงันในทันใด สองสามีภรรยาเดินทางมาช่วยงานศพจวนปั๋วครั้งนี้ แม้มีความโลภส่วนตัว แต่พวกเขาไม่คิดจะทำให้เรื่องไปถึงบิดาตน ส่วนบิดาที่มีฐานะเป็นหัวหน้าผู้อาวุโสของตระกูล แม้มีใจอยากปกป้อง แต่ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ก็คงทำได้ยาก อาแปดยิ่งคิดยิ่งรู้สึกหวั่นวิตก พอเหลือบมองยายแก่หน้าทองเหลืองที่เหมือนกับคนเพิ่งเสียญาติข้างๆ นี่ ก็ง้างฝ่ามือออกและตบลงไปทันที “เพราะเจ้าทั้งนั้นนังคนชั่ว พลอยทำให้ข้าติดร่างแหไปด้วย!”

นังหญิงแก่ ความสามารถที่จะทำให้งานสำเร็จนั้นไม่เคยมี แต่ความสามารถที่จะทำลายงานนั้นมีเหลือเฟือ!

อาสะใภ้แปดก็หาใช่คนยอมคน พอโดนตบก็ตบคืนทันที เวลานี้ไม่มีความจำเป็นต้องไว้หน้ากันอีกต่อไป นางทำผิดแล้วยังไม่แก้ไขและยังคงกล่าวต่อ “อะไรคือทำให้ท่านติดร่างแหไปด้วย ก็ท่านมิใช่รึที่ชี้นำข้า พอทำไม่สำเร็จท่านกลับโทษข้าคนเดียว ท่านนี่มันช่างไร้จิตสำนึกสิ้นดี…”

คนในตระกูลที่อยู่ในเหตุการณ์พากันส่ายหัวเป็นแถว ต่างรู้สึกเพียงขายหน้าอย่างที่สุด คนที่อายุมากที่สุดกล่าวขึ้นด้วยสีหน้าหน้าเขียว “ซื่อจื่อ รีบสั่งให้คนพาตัวเขาสองคนออกไปเถอะ”

อับอายขายหน้ายิ่งนัก!

“ข้าไม่ไปๆ! ทำไมต้องไล่ข้าด้วย” อาสะใภ้แปดร้องไห้ดังลั่นและหันหน้ากลับมามองอย่างไม่เต็มใจ

ตัวเรือนที่สว่างราวกับเป็นเวลากลางวัน มีสาวน้อยสวมชุดผ้าขาวยืนขึ้นเงียบๆ พร้อมกับมองมาด้วยสายตานิ่งดุจน้ำเย็นในบ่อน้ำลึก อาสะใภ้แปดถึงกับขนลุก นางชี้ไปที่เซี่ยชิงเหยาพร้อมตะโกนลั่น “นังเด็กนั่นวางแผนจัดการพวกเราตั้งแต่แรก เจ้าตั้งใจให้พวกข้าตกหลุมพราง!”

“คนนั้นเขาเป็นบ้าไปแล้วหรือเปล่า ถึงเวลานี้แล้วยังพูดไร้สาระอยู่อีก” ผู้คนที่อยู่ในเรือนส่งเสียงวิพากษ์วิจารณ์

“ข้าไม่ได้พูดไร้สาระ หากไม่ใช่เพราะพวกเจ้าวางกลอุบายเอาไว้ เหตุใดเรือนของคุณหนูถึงได้เลี้ยงปีศาจนั่นได้”

เอ้อร์หนิวที่นั่งอยู่ใต้ต้นกล้วยกำลังส่ายหางของมันไปมา

นี่พูดภาษาคนเป็นหรือไม่ มันเป็นถึงสุนัขตัวใหญ่ผู้สง่างาม จะเป็นปีศาจได้อย่างไรกัน?

พออาแปดได้ยินอาสะใภ้พูดเช่นนี้ พลันนึกบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกระทืบเท้าและกล่าว “ใช่ เรือนนี้มีปีศาจ ปีศาจตัวนั้นที่วางกลอุบายพวกข้า พวกข้าถึงได้…”

“ถึงได้ถูกเปิดเผย?” เซี่ยอินโหลวต่อประโยคให้ สายตาพลางแผ่แสงแห่งความเย็นชาออกมา “หากเป็นเช่นนั้นจริง เช่นนั้นข้าคงต้องขอบคุณ ‘ปีศาจ’ ที่พวกท่านเอ่ยถึงแล้วล่ะ”

เอ้อร์หนิววางคางลงที่อุ้งเท้าหน้าและหรี่ตาลง

อืม คนๆ นี้ยังพอมีแววตาอยู่บ้าง แต่ถ้าเทียบกับเจ้านายแล้วก็ยังเทียบไม่ติดอยู่เล็กน้อย

“เรือนเจิ่นสยามีปีศาจอยู่จริง ไม่เพียงมีหนึ่งตัว แต่มีถึงสองตัวต่างหาก!” เซี่ยชิงเหยาถุยน้ำลายพลางชี้นิ้วไปยังสองสามีภรรยาคู่นั้น “ทำเรื่องเลวทรามกับหลานสาวที่สูญเสียบิดามารดาเช่นนี้ลงได้ พวกท่านต่างหากที่เป็นปีศาจ ข้านั้นคิดไม่ออกเลยจริงๆ ว่าเหตุใดพวกท่านถึงได้ใจไม้ไส้ระกำเพียงนี้!” สาวน้อยยืนโดดเดี่ยวคนเดียว นางพูดไปน้ำตาพลางไหลไป ราวกับกลีบดอกไม้ยอดอ่อนที่โดนฝนตกลมพัดถาโถมเข้าใส่ ชวนให้คนรู้สึกเห็นใจอย่างอดไม่ได้

เซี่ยอินโหลวเดินเข้าไปโอบไหล่น้องสาวเอาไว้

“ไล่พวกเขาออกไป!” ท่านลุงตระกูลจางกล่าวตะโกน

จนกระทั่งลากออกไปแล้วแต่ก็ยังมิวายได้ยินเสียงของอาแปดที่เต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ “มีปีศาจโจมตีข้าจริงๆ พวกเจ้าไม่เห็นก้นข้าที่เลือดไหลหรืออย่างไร”

ทุกคน “…” คนบ้า ก้นของเขาไม่มีดอกไม้บานเสียหน่อย ใครจะจ้องดูก้นของเขากัน

เอ้อร์หนิวส่ายหางขนปุยของมันอย่างชอบใจ

ก็บอกแล้วสุนัขตัวใหญ่ผู้สง่างามอย่างมันจะเป็นปีศาจได้อย่างไรกัน ดูๆ แล้วพวกมนุษย์ส่วนใหญ่ก็รู้จักแยกแยะถูกผิดเป็นนี่นา

เจียงซื่อหันหน้าไป แล้วสายตาก็ตกอยู่ที่ใบของต้นกล้วยสีเขียวพร้อมกับฉีกยิ้ม

เอ้อร์หนิวเป็นสุนัขเฝ้าบ้านที่ดีเยี่ยม! เอ้อร์หนิวของนางจะเป็นปีศาจได้อย่างไร ทุกคนมักพูดพล่อยๆ อยู่เรื่อยเลย