The Demon Prince goes to the Academy

ตอนที่ 18

***เปลี่ยนคำแปลจาก ‘เท็มเปิล’ ไปเป็น ‘วิหาร’***

เอเลริสผู้ซึ่งตกใจที่ฉันไม่รู้ว่าอาร์คเดมอนคืออะไรเริ่มอธิบายสั้นๆ ขณะที่ซาร์เกการ์กำลังจะเปิดปากของเขา แต่เธอบอกให้เขาเงียบไป เพราะเขาคงจะใช้คำพรรณนาที่ไร้ประโยชน์ของเขาแน่นอน

“อาร์คเดมอนเป็นสิ่งมีชีวิตที่จำเป็นในสร้างสังคมที่ประกอบไปด้วยปีศาจหลายชนเผ่า”

“สังคม?”

“ใช่”

ความสามารถพิเศษของอาร์คเดมอนที่ฉันรู้มันคือ ‘การครอบงำของปีศาจ’ ฉันจำได้ว่ามันอยู่ที่ระดับ D

“เดิมทีปีศาจไม่สามารถอยู่ในสังคมขนาดใหญ่ได้ คุณก็สังเกตุดู โลยาร์เป็นไลแคนโทรป ฉันเป็นแวมไพร์ ส่วนซาร์เกการ์เป็นเดรดฟีน”

“อืม”

“ก่อนการเกิดขึ้นของเผ่าพันธุ์อาร์คเดมอน เผ่าหลายเผ่าต่างขัดแย้งกันเองเช่นเดียวกับมนุษย์ ทางฝั่งตะวันตกของทวีปมีประเทศมนุษย์ขนาดใหญ่ แต่ทางตะวันออกของทวีปมีอาณาจักรปีศาจที่เรียกว่าแดนทมิฬ มีปีศาจหลายๆเผ่าอาศัยอยู่เป็นกลุ่มๆในที่แห่งนั้น”

ต่อให้ไม่มีมนุษย์อยู่ปีศาจก็ยังต่อสู้กันเอง

“แดนทมิฬเป็นดินแดนที่เต็มไปด้วยสงครามนิรันดร์ ดังนั้นมนุษย์จึงไม่มีเหตุผลที่จะต้องสนใจเรา”

มนุษย์เจริญรุ่งเรือง ในขณะที่ปีศาจยังคงต่อสู้และมุ่งทำลายกันเอง มีเผ่าพันธุ์มากมายอาศัยอยู่ที่นั่น แต่ด้วยการต่อสู้อย่างต่อเนื่องเหล่านี้ การบรรลุความมั่งคั่งแบบใดก็ไม่สามารถเป็นไปได้ อีกทั้งจำนวนประชากรของแต่ละเผ่าพันธุ์ก็แตกต่างกันเกินไป

“อย่างไรก็ตาม มีใครบางคนที่ปรากฏตัวขึ้นเพื่อไกล่เกลี่ยความขัดแย้งและการต่อสู้ระหว่างเผ่าและแสดงให้พวกเขาเห็นว่าจะใช้ชีวิตร่วมกันและรวมพวกเขาเข้ากับสังคมได้อย่างไร พวกเขามีพลังประหลาดที่เกี่ยวกับวิญญาณของปีศาจ”

“นั่นคือราชาปีศาจ”

“ใช่ ราชาปีศาจคนแรกเขาเป็นอาร์คเดมอน”

ไม่รู้ว่าเขาเป็นใครมาจากไหนอย่างไรก็ตาม เขาสามารถควบคุมวิญญาณของปีศาจได้ ทำให้ปีศาจอยู่ด้วยกันได้ ซึ่งก่อนหน้านั้นเป็นไปไม่ได้เลย

“ด้วยความเคารพ เหล่าปีศาจจึงเรียกเขาว่าอาร์คเดมอน และคำนี้ก็ถูกนำไปใช้เพื่ออธิบายเผ่าพันธุ์ของราชาปีศาจ”

ซาร์เกการ์ได้อธิบายเพิ่ม

“ภายใต้อิทธิพลของอาร์คเดมอน เหล่าปีศาจสามารถรวมตัวกันเป็นหนึ่งภายใต้ผู้นำคนเดียว อิทธิพลของมันยังไม่สูญสลายไป แต่ถ้าหลายชั่วอายุคนผ่านไปโดยไม่มีอาร์คเดมอน ปีศาจก็จะถูกแบ่งแยกอีกครั้งและกลับสู่ยุคแห่งสงครามนิรันดร์ กลับสู่ยุคมืด”

อาณาจักรปีศาจจะพังทลายลงอย่างสมบูรณ์ หากอาร์คเดม่อนหายไป

ตอนนี้ยังมีปีศาจเหลืออยู่จำนวนมากที่สามารถอยู่ด้วยกันได้ อย่างไรก็ตาม หากสิ่งนี้ดำเนินไปหลายชั่วอายุคน ปีศาจจะย้อนกลับไปยังตอนที่พวกเขาต่อสู้และฆ่ากันเองครั้งแล้วครั้งเล่า

ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมไม่มีใครทะเยอทะยานที่จะเป็นราชาปีศาจคนต่อไป

เว้นแต่พวกเขาจะเป็นอาร์คเดมอนไม่มีเผ่าพันธุ์ไหนที่สามารถทำหน้าที่นี้ได้ตั้งแต่แรก

ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าความภักดีของซาร์เกการ์ไม่ใช่แค่ความภักดีอีกต่อไป

ซาร์เกการ์เชื่อว่าการดำรงอยู่ของราชาปีศาจเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษารากฐานของสังคมแดนปีศาจ สิ่งนี้แตกต่างจากความภักดีต่อประเทศโดยสิ้นเชิง

ราชาปีศาจทำหน้าที่เป็นตัวผสานระหว่างน้ำกับน้ำมัน

สิ่งมีชีวิตที่ทำให้เผ่าที่ไม่สามารถอยู่ด้วยกันรวมอยู่ด้วยกัน

“…ยังมีอีกคำถามที่ฉันอยากรู้”

“ถามมาได้เลย”

“ทำไมสงครามโลกปีศาจถึงเกิดขึ้น”

ฉันแค่เขียนลงไปว่ามีสงคราม แต่ไม่ได้เขียนว่าทำไมสงครามโลกปีศาจถึงเกิดขึ้น มนุษย์พยายามเอาชนะปีศาจ นั่นคือสิ่งที่ฉันเขียน นี่จึงน่าจะเป็นการรุกรานครั้งแรกจากฝ่ายมนุษย์

เอเลริสมองเข้าไปในกองไฟและพูดว่า

“มนุษย์หวาดกลัวการรวมแดนปีศาจเข้าด้วยกันมาตลอด”

ความน่าจะเป็นของเหตุการณ์ที่ฉันตั้งค่าไว้ไม่ถูกต้องได้รับการแก้ไขแล้ว มันค่อนข้างแปลกที่พบว่าความน่าจะเป็นที่ยุ่งเหยิงของฉันได้รับการแก้ไขแบบนั้น

มนุษย์ได้บุกรุกอาณาจักรปีศาจ

เนื่องจากฉันไม่ได้ระบุเหตุผลของโลกจึงเสริมความเป็นไปได้ที่มนุษย์กลัวการรวมเป็นหนึ่งของ แดนปีศาจและการตั้งค่าของอาร์คเดม่อนฉันมีความรู้สึกผิดแปลก ๆ อยู่ในตัวฉัน เพราะรู้สึกเหมือนมีคนอื่นมาอุดช่องว่างที่ฉันสร้างไว้ในตอนที่ฉันเขียน

ปีศาจแห่งแดนทมิฬเริ่มก่อตัวเป็นสังคม แม้แต่มนุษย์ที่ต่อสู้กันเองก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตื่นตัวกับสถานการณ์นั้น

“ราชาปีศาจก่อนหน้านี้ทราบดีว่าวันหนึ่งมนุษย์จะเริ่มรุกรานอาณาจักรปีศาจ นั่นเป็นเหตุผลที่ แดนปีศาจเตรียมพร้อมสำหรับสงครามอย่างต่อเนื่อง”

ฉันพยักหน้าตามคำพูดของเอเลริสแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ตั้งใจรุกรานกัน หากพวกเขาเห็นอีกฝ่ายยกแขนขึ้น อีกฝ่ายก็จะทำเช่นเดียวกัน

‘อย่าเข้าใจเราผิด เราแค่เพิ่มกำลังทหารเพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้นจากคุณ’

แน่นอนว่าไม่มีใครเชื่อคำพูดนั้น

เป็นเรื่องปกติที่การต่อสู้จะเกิดขึ้นเพราะพวกเขากลัวซึ่งกันและกัน

ดังนั้น แม้ว่าแดนปีศาจและแดนมนุษย์จะไม่ได้มีเจตนาที่จะโจมตีกันและกัน แต่พวกเขาก็เตรียมที่จะโจมตีซึ่งกันและกัน เพียงเพราะมีอีกฝ่ายอยู่

ไม่สำคัญว่าใครเป็นคนเริ่ม สงครามจะปะทุขึ้นในที่สุดไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

อาณาจักรปีศาจมีราชาปีศาจ แต่อาณาจักรมนุษย์ก็มีกองกำลังอันยิ่งใหญ่เช่นกัน ผู้กล้า เหล่าผู้กล้าประสบความสำเร็จในการโค่นล้มราชาปีศาจพร้อมกับการตายพวกเขา

การตายของราชาปีศาจอยู่ในระดับที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับการตายของราชาที่เป็นมนุษย์ ดังนั้น ความจริงที่ว่าราชาปีศาจตายไปแล้วนั้นคงทำลายขวัญกำลังใจของทหารของพระราชาไปจนหมดสิ้น

ในความเป็นจริงแล้ว ราชาปีศาจเปรียบได้กับพระเจ้าในอาณาจักรปีศาจ

คำอธิบายนี้เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้วสำหรับฉันที่จะเข้าใจถึงความสำคัญของอาร์คเดมอน

“ใช่…. ตอนนี้ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมอาร์คเดมอนถึงสำคัญ”

ตอนนี้ฉันรู้แล้วว่าทำไมต้องเป็นฉัน

“แล้วฉันควรทำอย่างไรต่อจากนี้? คุณคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้หรือยัง”

“คุณต้องสร้างความแข็งแกร่งของคุณ นอกจากนี้ การ์เดียมยังอันตรายเกินไป เราต้องกลับไปที่ แดนปีศาจรวบรวมปีศาจที่กระจัดกระจายและสร้างอำนาจของคุณอีกครั้ง ในขณะที่คุณต้องฝึกฝนต่อไปด้วย”

แน่นอน ถ้าฉันกลับไปที่แดนปีศาจฉันจะได้รับการต้อนรับจากปีศาจที่ยังจำราชาปีศาจได้ และการรวบรวมกองกำลังก็ไม่ใช่เรื่องยาก

แดนทมิฬนั้นกว้างใหญ่ และแม้ว่าราชาปีศาจจะตายไปแล้ว มันเป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะกลืนกินทุกสิ่ง ฉันส่ายหัวกับคำพูดของซาร์เกการ์

“อันตรายเกินไป แม้มนุษย์จะไม่สามารถยึดครอง แดนทมิฬได้ทั้งหมด แต่พวกเขาจะไม่ละเลยการเฝ้าระวัง หากกองกำลังปีศาจใหม่ปรากฏขึ้น พวกมันจะเปิดการโจมตีอีกครั้งทันที”

พวกเขาจะไม่เพียงแค่นั่งอย่างสงบในขณะที่เราสร้างแดนปีศาจที่พวกเขาเพิ่งทำลายไป หากพวกเขาสังเกตเห็นสัญญาณพฤติกรรมที่น่าสงสัย พวกเขาจะฆ่าเราหมด

และเหนือสิ่งอื่นใด ฉันแค่ตามน้ำของพวกเขา เพราะฉันไม่มีเจตนาที่จะสร้างแดนปีศาจขึ้นใหม่และทำสงครามอีกครั้ง คุณรู้มั้ย มีคนบอกฉันว่าปีศาจจะแตกแยกอีกครั้งหากไม่มีฉัน แต่พูดตามตรง สิ่งนั้นจะเกิดขึ้นในอนาคตอันไกลโพ้น มันไม่เหมือนกับที่กำลังเกิดขึ้นตอนนี้

และ… มีอีกจุดที่ไม่สำคัญเท่า

“ฉันคิดว่าการกลับไปที่แดนปีศาจจะไม่ใช่ความคิดที่ดี”

ซาร์เกการ์ตาเป็นประกายเมื่อได้ยินคำพูดของฉัน ราวกับว่าเขาเพิ่งคิดได้ ส่วนฉันไม่ต้องการกลับไปที่แดนปีศาจตั้งแต่ ฉันแน่ใจว่าฉันคงไม่ชอบที่นั่น

ฉันต้องการอยู่ในการ์เดียมในตอนนี้ เมืองก็สวยดี

แถมฉันไม่อยากอยู่ในที่ที่ไม่มีรถไฟ!

“นี่คือใจกลางของดินแดนศัตรู จะเอาชนะศัตรูได้ ต้องรู้จักศัตรู เราต้องเรียนรู้วิถีของมนุษย์ที่นี่”

ไม่ใช่เรื่องยากสำหรับฉันที่จะหาเหตุผลบางอย่าง เพราะฉันเป็นเจ้าแห่งการหาข้ออ้าง

“โอ้ คุณเป็นเจ้าชายในอุดมคติอย่างแน่นอน ความกล้าหาญที่จะโจมตีใจกลางของศัตรู! คุณธรรมของพระราชาที่ควรค่าแก่การเลียนแบบ!”

ไม่ ฉันแค่อยากอยู่ใกล้สถานี คุณรู้มั้ย

ยังมีเอเลริสอยู่ด้วย ดังนั้นไม่น่าจะมีโอกาสที่จะถูกค้นพบโดยมนุษย์ในขณะที่อาศัยอยู่ที่นี่ โอกาสที่จะถูกจับจะลดลงอย่างมาก

ไม่มีเหตุผลที่ฉันจะออกจากการ์เดียมนี่เป็นเมืองที่ดีที่สุดในทวีปนี้ และฉันไม่อยากจากไปแม้ว่าฉันจะต้องตาย เว้นแต่จะมีโอกาสที่ฉันจะถูกพบว่าเป็นปีศาจ

ฉันแค่อยากจะใช้เวลาอยู่ที่นี่ไปจนถึงจุดสิ้นสุด มันไม่ดีสำหรับฉันที่จะวุ่นวายกับเนื้อเรื่องอีกต่อไป และตอนจบก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ในเวลาอีกไม่กี่ปีในขณะที่มีเอเลริสดูแล

ไม่มีเงื่อนไขใด ๆ ที่ฉันบอกว่าฉันต้องทำอะไรใช่มั้ย?

ข้ออ้งของฉันทำงานได้ดีเกินไปหรือไม่? เขาเกือบจะร้องไห้กับข้ออ้างที่มีเหตุผลของฉัน เพราะเชื่อว่าฉันจะสามารถเอาชนะศัตรูของเราได้โดยเรียนรู้วิธีการของพวกเขา

ดูเหมือนเขาจะชื่นชมความกล้าหาญของฉัน

“ฝ่าบาท ถ้านั่นคือสิ่งที่คุณคิดอยู่ ผมก็มีไอเดียที่ดียิ่งกว่านั้น”

“….ไอเดียที่ดีกว่า?”

ฉันไม่รู้ว่ามันคืออะไร แต่ฉันแน่ใจ 100% ว่ามันจะไม่ดีสำหรับฉัน

“การรู้วิถีทางของมนุษย์เท่านั้นที่จะทำให้เราปราบพวกมันลงได้! ผมชื่นชมสติปัญญาของคุณ!”

คุณจะพูดอะไร

“เมื่อเข้าสู่ ‘วิหาร’ คุณจะสามารถเรียนรู้วิถีของมนุษย์ได้อย่างละเอียดถี่ถ้วน! การเอาชนะพวกเขาด้วยอาวุธของพวกเขาเองจะเป็นการแก้แค้นอย่างแท้จริง!”

โอ้

นี่มันเรื่องไร้สาระอะไรกัน?

โลยาร์พยักหน้ารับคำพูดของซาร์เกการ์

“ฉันไม่คิดว่านั่นเป็นความคิดที่แย่ขนาดนั้น”

“หือ?”

“วิหารไม่เพียงเป็นแหล่งกำเนิดของจักรวรรดิเท่านั้น แต่ยังเป็นลูกหลานของเผ่าพันธุ์มนุษย์เกือบทั้งหมดด้วย เมื่อคุณโตขึ้น คุณจะรู้จักบุคคลที่มีตำแหน่งสำคัญในสังคมมนุษย์ทุกคน หากคุณต้องต่อสู้กับจักรวรรดิ คุณจะรู้ดีกว่าใครว่าศัตรูของคุณเป็นใครและมีวิธีคิดอย่างไร คุณจะสามารถทำลายจักรวรรดิจากภายในได้”

เดี๋ยวนะ

นี่อะไร?

ฉันไม่มีเจตนาที่จะก้าวก่ายเนื้อเรื่องหลัก อย่างไรก็ตามโลยาร์มองไปที่ซาร์เกการ์ซึ่งดูเหมือนจะเห็นด้วยกับเขาราวกับว่าสิ่งที่เขาพูดเป็นสิ่งที่ดีเยี่ยม

ซาร์เกการ์กล่าวเสริม

“นอกจากนี้วิหารยังบ่มเพาะพรสวรรค์รุ่นเยาว์ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ พวกเขามีเป้าหมายที่จะบ่มเพาะพรสวรรค์เช่นผู้กล้าอาร์โทเรียสฉันแน่ใจว่ามันจะช่วยเราได้มาก เพราะรู้ว่าพวกเขากำลังเพาะเมล็ดอะไร และเราอาจสามารถกำจัดพรสวรรค์ที่อันตรายเกินไปที่พวกมันก่อนที่มันจะเติบโต”

ใช่ วิหารยังเป็นสถาบันที่บ่มเพาะคนเก่งซึ่งจะกลายเป็นพลังที่ทรงพลังในที่สุด แม้จะอยู่ในสถานที่แบบนั้น แต่ก็ยังมีคลาสพิเศษประเภทหนึ่งที่บ่มเพาะผู้มีความสามารถที่สามารถสืบทอดตำแหน่งของผู้กล้าอาร์โทเรียสและพรรคพวกของเขาได้ และใช่ นั่นคือที่ที่ตัวละครหลักอยู่

อย่างไรก็ตาม ฉันไม่มีเหตุผลที่จะไปที่นั่น ฉันควรจะไปทำอะไรที่นั่น?

ฉันกำลังจะเป็นบ้าตาย

ฉันเริ่มถูกผลักเข้าสู่เนื้อเรื่องหลักเพียงเพราะฉันพูดไม่คิด

เอเลริส!

ช่วยฉันด้วย!

เธอไม่อยากให้ฉันกลายเป็นอาวุธสงครามใช่มั้ย!

เอเลริสเพิ่งยิ้มให้ฉันเมื่อเธอสังเกตเห็นว่าฉันมองเธอด้วยสายตาอ้อนวอน

“ฉันก็คิดว่านั่นเป็นความคิดที่ดี ฝ่าบาท”

เธอกำลังทำอะไรอยู่? ปกติเธอจะไม่เห็นด้วยไม่ใช่เหรอ? ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมเอเลริสซึ่งควรจะต่อต้านแนวคิดของซาร์เกการ์จึงเห็นด้วย

“เอาล่ะ เดี๋ยวก่อนนะ….”

ฉันพยายามอย่างมากที่จะหาข้ออ้างเพื่อหลีกเลี่ยงการพัฒนาที่แปลกประหลาดนี้ที่ทั้งสามเห็นตกลง

“ไม่ว่าเราจะสามารถซ่อนรูปลักษณ์ของเราด้วยเวทมนตร์ได้แค่ไหน อาจจะมีจอมเวทย์อยู่ที่วิหาร คุณไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น? มันคงจะอันตรายมากหากตัวตนของฉันถูกเปิดเผย”

พวกงี่เง่าพวกนี้ต้องการฆ่าฉันเหรอ?

“ไม่ต้องห่วง องค์ชาย”

ซาร์เกการ์ถอดแหวนออกจากนิ้วด้วยรอยยิ้ม

“นี่คือแหวนที่สืบทอดกันมาจากรุ่นสู่รุ่นในตระกูลของผม”

“อืม แล้วไงต่อ”

“เพียงแค่สวมแหวนนี้ คุณจะสามารถใช้พลังของเผ่าของผมได้”

อะไรนะ

ทำไมคุณถึงมีสิ่งนั้น? เหตุใดสิ่งนี้จึงปรากฏขึ้นอย่างเป็นใจในเวลาเช่นนี้ ฮะ? มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ ทำไมไอ้พวกเวรที่มีความสามารถแปลงร่างอยู่แล้วถึงส่งต่อแหวนที่สามารถให้ความสามารถในการแปลงร่างจากรุ่นสู่รุ่นอีก?

สำหรับพวกเขานั่นไม่มีประโยชน์เลยไมใช่รึไง!

นี่ไม่ใช่การตั้งค่าแบบส่งเดชสำหรับช่วงเวลานี้ใช่มั้ย!

[คุณคิดว่ามันแปลกไหมที่จู่ๆ การพัฒนาที่ไม่น่าจะเป็นไปได้เกิดขึ้นในนิยายเรื่องนี้?]

[งี่เง่า]

ฉันรู้สึกเหมือนมีบางอย่างลอยผ่านการมองเห็นของฉันชั่วครู่นึง ฉันเห็นมันไม่ถนัด

เมื่อกี้คืออะไร?

“เดี๋ยวสิ ฉันจะรับแหวนวงสำคัญที่ตกทอดมาอย่างยาวนานแบบนี้ได้ยังไง? เอ่อ มันคงมีค่ามากสำหรับคุณ เหมือนเป็นความทรงจำของพ่อแม่ ไม่ใช่เหรอ?”

ฉันเริ่มจะแถไม่ออกแล้ว

“สิ่งที่เป็นของที่ระลึกไม่อาจเทียบได้กับการเผชิญกับภารกิจอันยิ่งใหญ่ของคุณในการสร้างแดนปีศาจโปรดรับไว้เถิดฝ่าบาท!”

ซาร์เกการ์ผลักแหวนมาทางฉันพร้อมกับตะโกนออกมาอย่างมุ่งมั่น

“ประเทศที่แข็งแกร่งและเจริญรุ่งเรืองใกล้จะอยู่ในมือของเราแล้ว!”

ฉันตกเป็นเหยื่อของข้ออ้างของตัวเอง

อย่างไรก็ตามมันค่อนข้างชัดเจน

คนที่ส่งฉันมาที่นี่ดูเหมือนจะไม่ต้องการให้ฉันไปถึงจุดจบอย่างสงบสุข