ตอนที่ 199 คดีมีความคืบหน้า

แม่ปากร้ายยุค​ 80

ตอนที่ 199 คดีมีความคืบหน้า

หลินม่ายส่งยิ้มให้ ก่อนจะหยิบชุดแบบทดสอบที่เธอทำเสร็จแล้วออกมา

ฟางจั๋วหรานค่อย ๆ พลิกดูทีละหน้าอย่างละเอียด

หญิงสาวเคยบอกไว้ว่าเธอมีความสามารถในการเรียนรู้ที่ดีเยี่ยม ดูเหมือนจะเป็นจริงตามที่เธออวดอ้าง

แบบทดสอบวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีทั้งสามชุด อ่านดูคร่าว ๆ แล้วไม่มีอะไรผิดพลาดมากนัก

แต่เมื่อเขาอ่านไล่สายตาอ่านเอกสารแบบทดสอบวิชาภาษาอังกฤษอย่างรวดเร็ว เขาก็ต้องตกตะลึง

หลินม่ายสังเกตสีหน้าของฟางจั๋วหราน ก่อนจะเบนสายตามองไปที่แบบทดสอบ

บอกตามตรงว่าเธอรู้สึกกังวลเล็กน้อยเมื่อทำแบบทดสอบชุดวิชาอื่น ๆ เพราะเธอแทบลืมสูตรการคำนวณไปหมดแล้ว ดังนั้นจึงต้องอาศัยการเปิดตำราเรียนเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำ

แตกต่างจากภาษาอังกฤษ ภาษาญี่ปุ่น และภาษาเกาหลี ซึ่งเป็นภาษาต่างประเทศทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ เนื่องจากในช่วงชีวิตก่อนหน้านี้เธอต้องเจรจาเรื่องงานกับนักธุรกิจต่างชาติเป็นหลัก ดังนั้นจึงมีความชำนาญในการใช้ภาษาเป็นพิเศษ ข้อสอบวิชาภาษาอังกฤษของระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามจึงแทบไม่มีข้อไหนที่ตอบพลาด

ถ้าอย่างนั้นทำไมฟางจั๋วหรานถึงได้แสดงสีหน้าแบบนั้นกัน?

เธอแตะไหล่เขาเบา ๆ “เกิดอะไรขึ้นคะ? ฉันทำแบบทดสอบออกมาได้ไม่ดีเหรอ?”

“เปล่า” ฟางจั๋วหรานดึงสติกลับมาจดจ่ออยู่กับสถานการณ์ปัจจุบัน ก่อนจะหันมองเธอด้วยความสงสัย “คุณทำได้ดีเกินไปต่างหาก”

หลินม่ายถามกลับอย่างแปลกใจ “ถ้าอย่างนั้นคุณก็ควรดีใจสิคะ ทำไมถึงได้ทำหน้าแบบนั้นล่ะ?”

ฟางจั๋วหรานตอบอย่างตรงไปตรงมา “เพราะผมรู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ ปีที่แล้วเพิ่งมีการเรียนการสอนภาษาอังกฤษในชั้นมัธยมต้น แม้แต่นักเรียนที่เรียนชั้นมัธยมต้นในเมืองยังทำผลการเรียนได้ไม่ดีเท่าไหร่ นับประสาอะไรกับโรงเรียนในชนบท แต่ภาษาอังกฤษของคุณกลับแข็งแรงมาก!”

หลินม่ายไม่ตื่นตระหนกแต่อย่างใด “ฉันเคยบอกคุณแล้วนี่คะว่าความสามารถในการเรียนรู้ของฉันค่อนข้างดี ในเมื่อเป็นแบบนี้แล้วยังน่าแปลกตรงไหนกัน!”

ฟางจั๋วหรานเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะเล็ก ๆ ของเธอ “คุณนี่น่าทึ่งจริง ๆ เลย!”

โต้วโต้วเห็นแบบนั้น ก็เอนศีรษะน้อย ๆ ของตัวเองไปทางเขา “คุณอาศาสตราจารย์ หนูอยากให้คุณอาลูบหัวหนูบ้าง”

ฟางจั๋วหรานยิ้มกว้างพลางยื่นมือไปลูบศีรษะของเธอ จากนั้นก็รวบรวมชุดแบบทดสอบของหลินม่ายไปที่โรงเรียนมัธยมในเครือของมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้

เขาอยากให้หญิงสาวมีโอกาสได้เข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมแห่งนี้ เพื่อศึกษาต่อในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย

โรงเรียนมัธยมแห่งนี้เป็นโรงเรียนมัธยมชั้นนำ หากสามารถสอบเข้าเรียนที่นี่ได้ ก็มีโอกาสสูงที่จะได้เข้าศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัย

ฟางจั๋วหรานลองปรึกษาเรื่องนี้กับอาจารย์ใหญ่ประจำโรงเรียนมัธยมในเครือของมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้

หลังจากรับรู้ความตั้งใจของเขาแล้ว อาจารย์ใหญ่ก็เรียกคณะครูที่สอนประจำระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามให้มาทำการตรวจเอกสารแบบทดสอบของหลินม่าย

คณะครูประจำชั้นมัธยมศึกษาปีที่สามตรวจข้อสอบทั้งหมดเสร็จแล้ว ปรากฏว่าผลคะแนนหลายวิชาจากเต็มหนึ่งร้อยได้เฉลี่ยเก้าสิบคะแนน

โดยเฉพาะวิชาภาษาอังกฤษ เธอตอบคำถามแบบปรนัยพลาดแค่สองข้อ จึงได้คะแนนสูงถึงเก้าสิบแปด

คุณครูคนหนึ่งออกความเห็นว่า “ถ้าผลคะแนนของนักเรียนคนนี้เป็นความจริงละก็ หล่อนมีคุณสมบัติครบถ้วนพอที่โรงเรียนของเราจะรับเข้าศึกษาต่อเลยล่ะค่ะ”

ไม่เพียงมีคุณสมบัติครบถ้วนเท่านั้น ถ้าเธอทำผลสอบได้คะแนนดีแบบนี้ ยังสามารถสร้างชื่อเสียงให้กับทางโรงเรียนได้อีกด้วย

ฟางจั๋วหรานพูดด้วยรอยยิ้ม “แน่นอนว่าผลการสอบนี้เป็นความจริงครับ ผมสามารถเธอมาทำข้อสอบที่นี่ต่อหน้าพวกคุณได้”

ผู้อำนวยการฝ่ายการสอนพูดขึ้น “ถ้าอย่างนั้นคุณลองหาเวลาพาหล่อนมาทำข้อสอบดู ถ้าหล่อนทำคะแนนได้ดีจริง ๆ โรงเรียนของเราต้องรับหล่อนเข้าศึกษาต่อแน่”

ช่วงบ่าย เมื่อฟางจั๋วหรานแวะมากินอาหารที่ร้าน เขาก็ไม่ลืมบอกข่าวดีนี้กับหลินม่าย

หลินม่ายเงียบไปหลังจากได้ยินแบบนั้น

ฟางจั๋วหรานรีบถาม “เป็นอะไรไป? กลัวทำข้อสอบไม่ทันเหรอ? ไม่ต้องกังวลนะ ทำตัวสบาย ๆ เหมือนตอนที่คุณทำแบบทดสอบอยู่ที่บ้านนี่แหละ”

หลินม่ายส่ายหน้า “คุณแค่พาฉันไปทำข้อสอบ ไม่ได้พาฉันไปตัดคอซะหน่อย ไม่มีอะไรต้องกลัวทั้งนั้นแหละค่ะ ฉันแค่อดกังวลไม่ได้ว่าถ้าฉันกลับไปเรียนต่อ แล้วธุรกิจจะเป็นยังไงต่อไป?”

“ธุรกิจร้านอาหารของคุณเริ่มอยู่ตัวแล้วไม่ใช่หรือ คุณไม่จำเป็นต้องลงแรงทำอาหารด้วยตัวเอง แค่แบ่งเวลามาดูแลกิจการบ้างก็พอแล้ว การเรียนของคุณไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจแน่นอน”

หลินม่ายยิ้ม “เป้าหมายด้านธุรกิจของฉันไม่ใช่แค่ร้านอาหารเพียงอย่างเดียว ฉันยังตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะสร้างอาณาจักรธุรกิจอีกหลายอย่าง เพราะอย่างนี้ ฉันถึงกลับไปเรียนไม่ได้”

ฟางจั๋วหรานครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อยู่พักหนึ่ง ก่อนจะพูดว่า “ถ้าคุณไม่อยากกลับไปเรียนแล้วก็ไม่เป็นไร ผมยินดีสนับสนุนในทุกการตัดสินใจของคุณ”

หลินม่ายส่งยิ้มหวาน “ใครว่าฉันไม่อยากเรียน ฉันแค่บอกว่าฉันคงกลับไปเรียนหนังสือในห้องเรียนเหมือนเดิมไม่ได้ ฉันอยากเรียนที่บ้าน แล้วค่อยสอบเข้ามหาวิทยาลัยทีเดียว ถ้าทำได้ฉันก็จะเรียนต่อไปพร้อม ๆ กับบริหารจัดการธุรกิจของตัวเอง”

ฟางจั๋วหรานพยักหน้า “เอาล่ะ ผมจะลองปรึกษาเรื่องนี้กับอาจารย์ใหญ่อีกที เพื่อให้พวกเขาอนุมัติสถานะนักเรียนในโรงเรียนให้กับคุณ ไม่อย่างนั้นคุณคงสอบเข้ามหาวิทยาลัยไม่ได้”

ตอนเที่ยงของวันถัดไป ฟางจั๋วหรานก็นำข่าวสองข่าวมาถ่ายทอดให้กับหลินม่าย

ข่าวแรก อาจารย์ใหญ่ประจำโรงเรียนมัธยมในเครือของมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้ลงความเห็นว่า ถึงแม้เขาจะอนุมัติสถานะนักเรียนให้กับหลินม่ายได้ แต่เธอต้องทำข้อสอบให้ผ่านเกณฑ์เบื้องต้นเสียก่อน

ข่าวที่สอง ฟางเว่ยตั่งและภรรยาของเขาโทรติดต่อมาทางฟางจั๋วหรานว่าคดีความของฟางถิงมีความคืบหน้าแล้ว จึงขอให้เขาช่วยส่งต่อข่าวนี้ให้กับหลินม่าย เพื่อให้เธอรีบเดินทางไปที่กว่างโจวโดยทันที

หลินม่ายถาม “ความคืบหน้าที่ว่าคืออะไร คุณได้สอบถามพวกเขาหรือเปล่าคะ?”

ฟางจั๋วหรานตอบ “ผมจะไม่ถามได้ไงล่ะ! พวกเขาเล่าว่าอันธพาลที่ฟางถิงจ้างวานเปลี่ยนคำสารภาพกลับไปยึดตามคำสารภาพเดิม บอกว่าฟางถิงไม่ได้ตั้งใจให้เขากระทำชำเราคุณ แค่ต้องการจัดฉากใส่ร้ายให้คุณเสื่อมเสียเท่านั้น”

คดีนี้ช่างซับซ้อนซ่อนเงื่อนหลายตลบเสียจริง ชักน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ!

หลังมื้ออาหารกลางวัน หลินม่ายก็ซื้อตั๋วรถไฟเดินทางไปยังกว่างโจวโดยทันที

ก่อนรุ่งสางของวันรุ่งขึ้น เมื่อเห็นว่าเธอปรากฏตัวต่อหน้าหยางโร่วหลันและสามีด้วยสีหน้าซีดเซียวและเปื้อนเปรอะไปด้วยฝุ่นผง สองสามีภรรยาก็รู้สึกสะเทือนใจมาก

หยางโร่วหลันรีบเขื้อเชิญเธอเข้ามาในห้อง จัดการรินชาให้เธอ ส่วนฟางเว่ยตั่งรีบขับรถออกไปซื้ออาหารเช้าให้กับหลินม่ายโดยทันที

พวกเขาทักทายเธออย่างอบอุ่น “ระหว่างทางคงลำบากไม่น้อยเลยสินะ”

หลินม่ายพยักหน้า “ลำบากมากจริง ๆ ค่ะ”

ตอนอยู่บนรถไฟ เธอวิตกกังวลตลอดทั้งคืนว่าจะถูกจี้ปล้นหรือขโมยทรัพย์สินหรือไม่ จนไม่กล้าแม้แต่จะหลับตาลง

ดวงตาของหยางโร่วหลันแดงก่ำ หล่อนบีบมือหลินม่ายไว้แน่น “ผู้ชายคนนั้น ตราบใดที่เขาไม่ถูกเค้นคอ เขาคงไม่ยอมปริปากบอกว่าใครดีหรือเลว ในที่สุดเราก็รู้แล้วว่าเธอเป็นคนดี หวังหรงต่างหากที่ร้ายลึกอย่างไม่น่าเชื่อ!”

หลินม่ายขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะลองถามหยั่งเชิง “หวังหรงเข้ามาพัวพันกับเรื่องนี้ได้ยังไง หล่อนมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีความของฟางถิงหรือคะ?”

สีหน้าของหยางโร่วหลันแปรเปลี่ยนไปทันที พูดอย่างขมขื่น “พวกเราไปเยี่ยมถิงถิงมาแล้ว ถึงได้รู้ว่าการที่ถิงถิงตกอยู่ในสภาพนี้ ทั้งหมดเป็นเพราะนังจิ้งจอกหวังหรงเป็นต้นเหตุ!”

หลินม่ายประหลาดใจ “หวังหรงยุยงให้ฟางถิงวางแผนทำร้ายฉันอย่างนั้นหรือ?”

หยางโร่วหลันส่ายหน้าอย่างไม่พอใจ “ไม่ใช่อย่างนั้น…”

ก่อนที่หล่อนจะพูดต่อด้วยความโกรธเคือง “ถ้าหล่อนไม่เติมเชื้อไฟใส่ถิงถิงตั้งแต่แรก ถิงถิงคงไม่คิดทำร้ายเธออย่างแน่นอน”

หลินม่ายไม่ค่อยเชื่อถือประโยคนี้เท่าใด

ฟางถิงเป็นคนมีจิตใจคับแคบแค่ไหน เลวร้ายอย่างไร แน่นอนว่าเธอรู้ดี

เดิมทีฟางถิงอาจต้องการวางแผนกำจัดเธออยู่แล้ว แต่ยิ่งถูกหวังหรงใส่ไฟ ฟางถิงจึงทวีความโหดร้ายถึงขั้นวางแผนให้เธอถึงแก่ชีวิต

หลินม่ายพูดชัดถ้อยชัดคำ “ถึงคุณจะสงสัยว่าหวังหรงเป็นคนยุยงส่งเสริม แต่หล่อนก็ไม่มีความผิดทางกฎหมายนะคะ”

“เพราะแบบนี้ไงฉันถึงได้โกรธมาก!”

หยางโร่วหลันเล่าด้วยความคับแค้น “สาเหตุที่อันธพาลคนนั้นเปลี่ยนคำรับสารภาพ นั่นก็เป็นเพราะนังตัวดีหวังหรง แต่เรากลับหาหลักฐานมาเอาผิดหล่อนไม่ได้”

หลินม่ายถามด้วยความสงสัย “เป็นเพราะหล่อนยังไงคะ?”

“ในวันที่สองหลังจากคนร้ายถูกจับกุม เขาได้รับการอนุมัติจากแพทย์ของเรือนจำให้เข้ารับการรักษาพยาบาล เนื่องจากมีอาการไส้ติ่งอักเสบเฉียบพลัน หวังหรงรู้เรื่องนี้เข้าพอดี หล่อนจงใจขึ้นไปยังห้องที่คนร้ายพักรักษาตัวอยู่ บอกว่ากำลังตามหาใคร

อันธพาลปฏิเสธว่าคนที่หล่อนตามหาไม่ได้อยู่ในห้องนี้ แล้วขอให้หล่อนออกไปตามหาที่ห้องอื่น แต่หวังหรงยืนกรานว่าคนที่ตัวเองตามหาอยู่ในห้องนี้แน่ หล่อนไม่มีทางจำเลขห้องผิด ทั้งยังบอกด้วยว่าหล่อนมาเพื่อแจ้งข่าวให้เขารู้ว่า โทษของเขาจะได้รับการผ่อนปรนก็ต่อเมื่อยอมรับสารภาพ ยิ่งคดีมีความร้ายแรงมากเท่าไหร่ โทษก็ยิ่งลดลงไปอีกเป็นเท่าตัว หลังจากนั้นหล่อนก็แกล้งทำเป็นเดินออกไปตามหาใครสักคนตามห้องอื่น ๆ

อันธพาลคนนั้นเป็นคนโง่ เขาจึงเชื่อทุกอย่างตามที่หวังหรงพูด นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาถึงกลับคำให้การในภายหลัง ใส่ร้ายว่าฟางถิงสั่งให้เขาข่มขืนเธอ เพราะหวังว่าจะได้รับการลดโทษสักสองสามปี”

หลินม่ายยังคงไม่เข้าใจ “แล้วทำไมเขาถึงตัดสินใจเปลี่ยนคำรับสารภาพอีกครั้งล่ะคะ? แล้วคุณป้ารู้ได้อย่างไรว่าหวังหรงเคยไปโน้มน้าวผู้ชายคนนั้น?”

“ตำรวจสอบสวนเค้นความจริงจนเขาคิดได้ พวกเขาบอกว่าถ้าเขายังยืนกรานว่าจะเปลี่ยนคำรับสารภาพ นั่นหมายความว่าคดีอาชญากรรมจะยิ่งร้ายแรงขึ้น ต่อให้ยอมรับสารภาพโทษก็มีแต่จะเพิ่มขึ้นไม่ใช่ลดลง คนร้ายกลัวมากจึงยอมสารภาพความจริงทั้งหมด ว่ากันว่าเขาเปลี่ยนคำรับสารภาพเพราะถูกใครบางคนโน้มน้าว ไม่อย่างนั้นเราจะรู้ได้ยังไงว่าหวังหรงตลบหลังพวกเราแบบนี้!”

หลินม่ายแอบกลอกตา “ถ้าคุณมั่นใจว่าหวังหรงเป็นต้นเหตุของเรื่องทั้งหมด พวกคุณก็ควรไปไล่เบี้ยเอาค่าชดเชยจากหล่อน ในเมื่อกระบวนการยุติธรรมก็ไม่สามารถเอาผิดหล่อนได้ คุณต้องเรียกร้องความยุติธรรมจากหล่อนด้วยตัวเอง”

หยางโร่วหลันพยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า “ฉันกับคุณลุงฟางก็คิดไว้แบบนั้นเหมือนกัน”

ทั้งสองพูดคุยกันอยู่พักใหญ่ จนกระทั่งฟางเว่ยตั่งกลับมาพร้อมกับอาหารมากมาย

ทั้งคู่จัดแจงเตรียมอาหารเช้าเพื่อต้อนรับหลินม่าย ทว่าพวกเขากลับไม่มีความอยากอาหารแต่อย่างใด

หยางโร่วหลันเรียงซาลาเปาลูกเล็กลงในชามของหลินม่าย จากนั้นก็ถามขึ้นมาอย่างระมัดระวัง “ม่ายจื่อ ก่อนหน้านี้เธอเคยตกลงกับเราว่าจะเจรจายอมความกับถิงถิงนอกศาล ฉันว่าวิธีนี้ก็ไม่เลว”

“หืม” หลินม่ายถาม “ตำรวจอนุญาตให้มีการเจรจายอมความนอกศาลหรือคะ?”

“ใช่!” หยางโร่วหลันพยักหน้าอย่างหนักแน่น “สถานการณ์แตกต่างออกไปแล้ว ถิงถิงของฉันไม่มีความผิดฐานกระทำการอันธพาลอีกต่อไป”

………………………………………………………………………………………………………………………..

สารจากผู้แปล

แน่ล่ะ ม่ายจื่อเกิดมาแล้วรอบหนึ่งนี่นะ จะสอบได้คะแนนดีก็ไม่แปลก

ลมเปลี่ยนทิศแล้ว นังหรงหล่อนเตรียมรับแรงกระแทกไว้ให้ดี หลายคดีเลยนะ

ไหหม่า(海馬)