ตอนที่ 30 เป็นไปตามแผน
เมืองอิชกะนั้นหากจะเกิดการต่อสู้ขึ้นก็คงจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร
การดวลหมัดหรือดาบก็เป็นสิ่งที่นักผจญภัยนิสัยเสียต่างปรารถนากันอยู่แล้ว และเกิดขึ้นบ่อยเสียด้วย
แต่ก็ใช่ว่าใครอยากจะมีเรื่องแล้วก็มีได้เลย
สำหรับการดวลนั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการยอมรับทั้งสองฝ่ายและมีพยานให้ยืนยันผลอย่างเป็นทางการ
พวกเขาจำเป็นต้องทำการเลือกสถานที่สำหรับการดวล จัดการเตรียมการ และรับประกันผลการดวล
หากมีการดวลสิ้นสุดแล้วไม่พอใจกับผลที่ได้ก็จะเท่ากับเป็นการดูถูกพยานที่เชิญมาด้วย
โดยปกติแล้ว พยานนั้นจำเป็นจะต้องมีสถานะทางสังคมระดับหนึ่งและมีสำนึกในหน้าที่ของตนเป็นอย่างดี กลับกันหากไม่มีพยานแล้วเกิดการดวลขึ้นมาทั้งสองฝ่ายก็จะถูกตัดสินว่ากันไปตามกฎหมายของเมือง
มันก็เป็นไปตามที่ผมคิดแหละนะว่าพยานในการดวลครั้งนี้ระหว่างผมกับราสจะต้องเป็นกิลด์มาสเตอร์เอลการ์ด
พื้นที่ดวลก็คือลานฝึกของกิลล์ที่ไม่มีใครอื่น นอกจากผม ราส เอลการ์ด และสมาชิกที่เหลือของ ดาบฮายาบูสะ ชีส กับพนักงานต้อนรับผมถักเปียคนเดิมที่ชื่อว่าลิดเดล
อันที่จริงก็แอบคาดหวังไว้ว่าจะมีกลุ่มนักผจญภัยคนอื่นกับพนักงานของกิลด์มาส่งเสียเชียร์สักหน่อยนะ ผิดคาดแฮะ
เพราะว่าถ้าหากไม่มีฝูงชนเข้ามาจับตามองแล้วก็อาจจะมีความเสี่ยงที่การดวลของผมจะไม่ได้รับผลยืนยันถึงราสจะแพ้ แต่ก็คงจะไม่แปลกสำหรับกิลด์มาสเตอร์ที่เป็นคนจัดการเรื่องมิโรสลาฟในคราวก่อนหรอกมั้ง ถึงราสจะแพ้ขึ้นมาเขาก็คงจะออกหน้าให้อีก
ระหว่างที่ผมกำลังคิดแบบนั้น ประตูของห้องฝึกก็เปิดออก และชายวัยกลางคนก็พุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็ว จนเขาหายใจแทบไม่ทัน
「แฮกๆ …อิย้า..ขอโทษนะที่มาช้าไปหน่อย พอดีมีเรื่องเกิดขึ้นตอนผมกำลังจะออกมาน่ะ ก็เลยต้องใช้เวลาจัดการพอสมควรเลย」
เรือนร่างที่อวบอ้วนมาพร้อมกับผ้าไหมราคาแพงทำให้ดูออกว่าเป็นพ่อค้าระดับสูงได้ไม่ยาก
ชายที่อยู่ตรงหน้าของเขานี้ถูกส่งมาจาก『สหภาพ』 จากนั้นเขาก็ทำการตรวจสอบบริเวณโดยรอบด้วยสายตาอันเฉียบคมเพื่อยืนยันใบหน้าของคนที่มารวมตัวกัน
「ก็คิดอยู่ว่ามันแปลกๆ ที่ท่านเอลการ์ดเรียกผมมา ดูท่าว่าจะมีอะไรน่าสนใจเกิดขึ้นสินะครับ」
「รายละเอียดก็ตามที่จดหมายเราแจ้งไป เนื่องจากมีเวลาไม่มากแล้ว หากทางท่านฟีโอดอร์สะดวกเรามาเริ่มกันเลยดีไหมครับ? 」
「แหม่ ได้สิๆ ทางผมไม่มีปัญหาอยู่แล้ว วันนี้จะได้มีทาสเกิดขึ้นมาใหม่หรือทาสที่ได้รับการปลดปล่อยกันนะ แต่ไม่ว่าจะเป็นแบบไหนพ่อค้าทาสยังผมก็ยินดีจริงๆ 」
ถึงลัก
ฟีโอดอร์นั้นมีโดดเด่นของคำพูดและการกระทำที่แปลกไปบ้าง แต่ตราบใดที่ 『สหภาพ』 ส่งเขามา เขาก็ไม่น่าจะใช่คนไร้ความสามารถหรือขาดความรับผิดชอบ ทีนี้พยานก็พร้อมแล้ว
หรือถ้าผมเกิดไม่ยอมรับให้ฟีโอดอร์เป็นพยานที่นี่ ก็คงจะหมายถึงการต่อสู้กับทางสหภาพด้วย
ซึ่งนั่นก็ค่อนข้างจะรับมือยากเลยทีเดียว
แล้วก็สหภาพที่พูดถึงนั่นก็คือสหภาพพ่อค้าทาสนั่นแหละ
ก็เหมือนกับกิลด์นักผจญภัยและวิหารแห่งเทพกฎหมาย พวกเขาเป็นองค์กรขนาดใหญ่ที่ครอบคลุมไปทุกพรมแดน ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการค้าทาสจะมีสหภาพอยู่ภายในนั้นด้วย
อิทธิพลของสหภาพที่สามารถดูแลจัดการทาสได้กว่าหลายพันคนมันแพร่กระจายไปทุกหนแห่งไม่ว่าจะเป็นประเทศเล็กๆ หรือแถบชนบท หากไม่อยากจะตายแบบทรมานละก็ทางที่ดีก็ไม่ควรไปหาเรื่องพวกเขา
อีกอย่างถ้าใครอยากใช้ชีวิตปกติก็คงจะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับพวกเขามากนักหรอก…แต่ก็โชคร้ายหน่อยเนอะที่ชีลไม่ใช่หนึ่งในนั้นส่วนผมที่เดินบนเส้นทางนี้ก็คงจะพูดอะไรไม่ได้แน่นอนว่าในอนาคตผมอาจจะต้องการความช่วยเหลือจากพวกเขาด้วยก็ได้
เอาเถอะเรื่องของอนาคตก็ปล่อยมันไปก่อนละกันตอนนี้มาโฟกัสกับเรื่องตรงหน้าจะดีกว่า
อุปกรณ์ของราสนั้นมีดาบมือเดียวกับโล่แล้วก็เกราะเหล็กทั้งหมดนั่นผมว่าน่าจะเสริมพลังเวทไว้หมดแล้วด้วยนี่สิน้อพลังแห่งบริษัทการค้าแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็สามารถจัดการเรื่องพวกนี้ได้หมดแล้ว
กลับกันผมที่มีเพียงแค่ดาบสีดำเล่มเดียวกับเกราะหนังที่ผมมักใส่อยู่เสมอซึ่งมันก็ปิดได้แค่ช่วงบริเวณอกของผมถ้าให้พูดถึงพลังในการป้องกันก็คงบอกว่าน่าสิ้นหวัง
ผมเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัดเลยถ้าเทียบแค่อุปกรณ์ที่ใช้จนผมอยากหัวเราะราสที่เอาของระดับนี้มาใส่เพื่อตบเด็ก
แต่ก็แน่ละว่าคนปกติที่ไหนเขาจะมาหัวเราะออกในที่แบบนี้กันนี่มันเป็นการต่อสู้ที่อาจจะมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งตายได้เลยนะหากพวกเขาจะทุ่มสุดกำลังก็ไม่น่าแปลกหรอกเนอะราสจ้องมองมาที่ผมด้วยสายตาที่จริงจัง
「ถ้าเช่นนั้น…ทั้งสองฝ่ายเตรียมตัว!!」
เขาทำการเตรียมดาบและโล่ขึ้นมาตามเสียงประกาศของเอลการ์ดทางผมก็พร้อมแล้วเหมือนกันบอกไว้ก่อนนะว่าการดวลรอบนี้ผมจะไม่ใช้ทั้งคิหรืออาภรณ์วิญญาณ นอกจากทดสอบพลังของผมแล้วมันยังเป็นการป้องกันไม่ให้ทางกิลด์หรือสหภาพรู้พลังที่แท้จริงของผมได้ด้วยที่เหลือก็แค่ดูว่าราสจะสร้างปัญหาให้จนผมต้องใช้มันไหม–
「ฮ่าาาาา!!」
เขาพุ่งเข้ามาด้วยความรวดเร็วก่อนจะฟันเฉียงลงมาที่ไหล่ของผมหากผมยืนมองเฉยๆ บอกเลยว่าไหล่ซ้ายของผมน่าจะถูกฟันขาดไปแล้ว
ผมก็คงจะไม่ยืนโง่ให้เขาโจมตีฟรีได้หรอกเนอะผมจึงทำการกระโดดถอยหลังไปเล็กน้อยเพื่อหลบท่าฟันนั้นจากนั้นจึงทำการสวนกลับระหว่างกระบวนท่าฟันของเขาที่เสียทรงไปแต่ก็ตามคาดนักผจญภัยระดับ6คงไม่โดนของแบบนี้เล่นง่ายๆ หรอกเขายกโล่ขึ้นมาเพื่อปิดช่องว่างหลังการโจมตีของเขา
ระหว่างที่คิดว่าควรโจมตีจากจุดนี้ต่อเลยดีไหม…การโจมตีครั้งที่สองของเขาก็เข้ามาอย่างรวดเร็ว
ซึ่งมันเร็วกว่าการโจมตีแรกเสียอีก
หากคนอื่นมองก็อาจจะไม่เชื่อสายตาตัวเองว่าชุดเกราะที่หนักขนาดนั้นมันทำไมเขายังสามารถเคลื่อนไหวด้วยความเร็วระดับนี้ได้อีกนะเห็นได้ชัดเลยว่าการโจมตีครั้งแรกเป็นแค่การอุ่นเครื่องพอรู้ว่าครั้งนี้ผมไม่น่าจะหลบทันแน่ก็เลยใช้หลังดาบของผมปัดป้องการโจมตีนั้นแทนแรงสั่นสะเทือนเข้ามากระทบกับร่างของผมทันทีที่ดาบปะทะกันมันหนักเสียจนผมแทบจะยืนด้วยกำลังขาของตัวเองไม่ไหวราสในตอนนี้เป็นคนละคนกับเมื่อ5ปีก่อนของจริงเลย
「เป็นอะไรไปโซระ ถ้าเอาแต่หลบ นายชนะฉันไม่ได้หรอกนะ!」
ครั้งที่3 4 5…เขาตะโกนออกมาเหมือนต้องการเยาะเย้ยผมระหว่างที่ทำการโจมตีใส่ผมอย่างต่อเนื่องผมจึงเม้มปากตอบกลับไป
「เออขอบใจสำหรับคำแนะนำ」
พอผมพูดจบผมก็ทำการถอยไปด้านหลังเพื่อหลบแรงดันของดาบแต่เขาก็ไม่ปล่อยผมไปง่ายๆ โดยการใช้โล่เข้ามาหมายจะกระแทกผมอีกทีซึ่งผมก็ยังหลบมันได้ทันความตั้งใจของเขาอาจจะต้องการให้ผมเสียการทรงตัวแล้วล้มลงไปแต่ผมก็ยังคงหลบได้ด้วยการพุ่งถอยลอยไปมาในอากาศระหว่างที่ผมลอยอยู่ในอากาศผมก็ทำการจับตามองเขาอย่างระมัดระวัง
สี่พื้นฐานสำคัญของดาบเดียวมายาก็คือซัน (ฟาดฟัน) คิ (เสริมกำลัง) โซ (เคลื่อนไหว) คัน (มองเห็น)
โดยที่ “คัน” นั้นคือการสังเกต
ท่านนายพลของจักรวรรดิเคยกล่าวเอาไว้ว่า”เจ้าสามารถรบชนะได้ทุกสมรภูมิหากเจ้ารู้ว่าเจ้าและศัตรูของเจ้าอยู่ที่ใด”ซึ่งคำพูดดังกล่าวนั้นไม่ได้ใช้กันแค่ภายในสงคราม
เนื่องจากว่าผมไม่สามารถใช้คิและอาภรณ์วิญญาณได้ ความแข็งแกร่งของผมกับอีกฝ่ายจึงแตกต่างกันมาก ยิ่งไปกว่านั้นประสบการณ์ในฐานะนักผจญภัยของเขาก็มากกว่าผมด้วย ช่องว่างระหว่างเราจึงมากยิ่งขึ้น
ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องหาหนทางที่จะลบช่องว่างตรงนี้ออกไปได้ด้วยการสังเกต การเคลื่อนไหวของเขา
ถ้าตอนนี้ผมอยู่ในฐานะผู้ชม บางทีท่าทางของผมตอนนี้คงจะเหมือนบุคคลอันตรายที่เอาแต่จับจ้องการเคลื่อนไหวของราส ราวกับงูที่ล่าเหยื่อ
ไม่รู้ว่าเพราะผมเอาแต่จ้องเขาแบบนั้น หรือการโจมตีของเขาไม่โดนผมเลย เขาจึงรีบกระหน่ำการโจมตีให้มากยิ่งขึ้นกว่าเดิม
ก็ไม่ได้ถึงขั้นตกลงไปในจุดที่เรียกว่าประมาทได้ แต่มันก็ทำให้เห็นช่องว่างของเขามากขึ้น ความแม่นยำในการโจมตีก็ลดลงต่ำกว่าที่เคยทำ
เรายังดวลกันไม่ถึงสามสิบดาบด้วยซ้ำ นี่มันจะไม่เร็วเกินไปหน่อยหรือเปล่า ทำไมเขาถึงใจร้อนขนาดนี้กัน ไม่สิถ้าผมลองมองในมุมของเขา การที่ต้องใช้เวลาขนาดนี้กับพวกเลเวล 1 ก็คงจะสร้างความรู้สึกที่น่าหงุดหงิดอยู่ไม่น้อยเลย
ก็คงเป็นเรื่องธรรมดาเพราะเขาเป็นถึงนักผจญภัยระดับ 6 แต่กลับไม่สามารถจัดการอดีตนักผจญภัยระดับ 10 ได้โดยง่าย ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากิลด์มาสเตอร์และสหายของเขาจะมองเขาเป็นเช่นไร
นอกจากนั้น บางทีเขาน่าจะโดนมิโรสลาฟวางยาด้วยคำพูดอย่างเช่น “แสดงให้ฉันได้เห็นทีสิว่านักผจญภัยที่แท้จริงเป็นเช่นไร หรือนักรบของจริงทำอะไรได้บ้าง” ละมั้ง
หากเป็นไปตามที่ผมคิดทั้งหมด เป็นผมก็คงจะหงุดหงิดพอสมควรแหละ
ถ้าเป็นแบบนี้ผมก็พอจะรู้วิธีในการรับมือกับเขาแล้ว ยังไงราสก็ค่อนข้างอ่อนแอในเรื่องนี้มาตั้งแต่เมื่อก่อนนี่นะ จิตใจของเขานั้นอ่อนแอเป็นอย่างมากซึ่งเพราะในอดีตเขาก็เป็นเพียงแค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่งนี่เนอะ
「เป็นอะไรไปล่ะราส ถ้ามัวแต่เหวี่ยงดาบมั่วๆ ไปมาแบบนั้นเอาชนะฉันไม่ได้หรอกนะ? 」
「หยุดพูดแล้วก็เลิกหลบสักที!」
「แย่หน่อยนะ เพราะดาบของฉันมันไม่ได้สร้างไว้เพื่อปะทะกันด้วยสิ วิธีต่อสู้ของฉันก็เลยจะต่างจากนายสักหน่อย แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็น่าเศร้าเนอะเป็นนักผจญภัยระดับ 6 แท้ๆ แต่ดันไม่มีปัญญาจับฉัน」
「…ให้ตายสิ」
「การเคลื่อนไหวของนายดูเลินเล่อมากขึ้นเรื่อยๆ แล้วนะ—」
พอผมพูดจบ ผมก็เล็งไปยังบริเวณหน้าอกของเขาในขณะที่เขาเสียจังหวะลดโล่ลง
ดาบของผมทะลวงผ่านเข้าไปโจมตีร่างของเขาได้
「อึก?!」
「เห้ยๆ โล่นายตกลงไปหน่อยหรือเปล่า」
จากนั้นผมก็ทำการโจมตีซ้ำไปยังจุดที่เกราะของเขาได้รับความเสียหาย
จากนั้นเขาก็เหวี่ยงโล่ของเขาใส่ผมเพื่อให้ผมถอยห่างไปก่อนจะฟันผมกลับด้วยดาบมือเดียวของเขา สีหน้าของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความเจ็บปวด
แต่เพราะการโจมตีในครั้งนี้เป็นการโจมตีที่อาศัยแต่แรงอย่างเดียว ไม่ได้รุนแรงเหมือนตอนใช้ช่วงขาของเขาเข้ามาช่วย ดังนั้นผมก็ไม่จำเป็นต้องหลบอะไร
หลังจากที่ผมแลกดาบกับเขาสักพัก น่าจะประมาณ 50 ดาบเราทั้งสองก็เริ่มถอยออกมาจ้องหน้ากันแทน
ราสเริ่มมีลมหายใจหอบ ใบหน้าบึ้งตึง เลือดเริ่มออกมาจากรอยร้าวของชุดเกราะจนนองลงที่พื้น
…ใช่แล้ว ถึงผมจะรู้สึกแย่ที่ต้องพูดแต่หมอนี่อ่อนชะมัด
อันที่จริงอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าผมแน่ๆ หากใช้กลยุทธ์ในการปะทะกันระยะประชิด (ซึบาเสะ) เพื่อกดดันผม แต่เพราะเขาไม่มีความชำนาญในด้านนี้มาก่อนอาจจะเพราะเขาไม่เคยสู้กับมนุษย์ในสนามรบ พูดกันตามตรงอายากะกับรากุนะเมื่อ5ปีที่แล้วยังแข็งแกร่งกว่าเขามาก
เหตุผลก็คงเดาไม่ยาก สไตล์การต่อสู้ของราสนั้นมีไว้เพื่อต่อสู้กับพวกมอนสเตอร์ไม่ใช่ต่อสู้กับมนุษย์
ก็จริงอยู่ว่าอาจจะมีอย่างพวกโจร เนโครแมนเซอร์ นักบวชนอกรีต ที่เหล่านักผจญภัยต้องเข้าไปต่อสู้
แต่โดยภาพรวมแล้ว มอนสเตอร์ก็ยังมากกว่าอยู่ดีแถมเขาไม่ได้เรียนวิชาดาบมาเพื่อต่อสู้กับมนุษย์ตั้งแต่แรกด้วยสิ
ในเหตุนี้เอง แม้ว่าผมจะอ่อนแอกว่าเขา แต่ความสามารถในการต่อสู้กับมนุษย์ของผมนั้นมีมากกว่าเขาหลายเท่า เนื่องจากผมได้เรียนวิชาดาบเดียวมายามาตั้งแต่ยังเด็ก ทุกคนรอบตัวผมก็แข็งแกร่งกว่าผมทั้งหมด ประสบการณ์ในการต่อสู้กับผู้ที่แข็งแกร่งกว่าตัวเองคงไม่ต้องบอกว่ามากแค่ไหน
หลังจากที่มั่นใจแล้ว ผมก็ตัดสินใจว่าจะไม่ให้การต่อสู้มันยืดเยื้อไปกว่านี้
อันที่จริงก็มีความเป็นไปได้ว่ามันอาจจะเป็นกับดักที่เขาล่อให้ผมลดการป้องกันลง แต่เอาเถอะถ้าเป็นงั้นจริงผมจะยอมใช้คิในการรับมือกับเขาเองถือว่าเป็นค่าตอบแทนที่เขาแสดงของดีให้เห็น
ผมก้าวไปข้างหน้าด้วยความคิดเช่นนั้น
「ราส!」
อิเรียอาจจะรู้สึกถึงอะไรบางอย่างที่ไม่อาจมองข้ามได้ เธอจึงเรียกชื่อเขาออกมาโดยสัญชาตญาณ
ราสกำลังเตรียมดาบเข้าปะทะกับผมที่พุ่งตัวเข้าไปกลางอากาศ
หลังจากนั้น
*แกร๊ง!*
เสียงโลหะได้เข้ามากระทบกัน หลังจากนั้นดาบมือเดียวของราสก็ปลิวขึ้นไปในอากาศ
จากนั้นไม่นานมันก็พุ่งลงไปปักที่พื้นห่างกับผมเล็กน้อย
ภาพที่ผมเห็นตอนนี้คือราสตกใจที่ดาบของผมกำลังจ่อคอเขาอยู่ ก่อนที่กิลด์มาสเตอร์จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่สงบ
「พอแค่นั้น! ผู้ชนะโซระ!」
ใบหน้าของเขาที่ผมเห็นตอนนี้มันทำให้ผมนึกถึงเรื่องในอดีต
ใช่แล้ว มันคือใบหน้าของผมตอนที่พ่ายแพ้ให้กับนักรบเขี้ยวมังกร
◆◆◆
「ด-เดี๋ยวก่อน! ขออีกรอบหนึ่ง เรามาสู้กันอีกรอบเถอะ!」
นั่นคือสิ่งแรกที่ราสพูดกับผม
จากนั้นอิเรียก็เข้ามาใช้เวทรักษากับเขา ก่อนจะจ้องมาที่ผมด้วยดวงตาแดงก่ำ
พอผมเห็นสภาพของเขาแล้วก็ได้แค่ยักไหล่เบาๆ ให้เขา
「หมายความว่านายจะปฏิเสธผลการดวลแม้เราจะมีพยานอยู่ด้วยสินะ ทั้งที่คนที่ประกาศชัยชนะของฉันก็คือกิลด์มาสเตอร์แท้ๆ 」
「มะ-ไม่ใช่แบบนั้น! ฉันยอมรับความพ่ายแพ้ แต่ฉันแค่อยากจะสู้กับนายดูอีกที โซระ! ใช่แล้วมันไม่ควรจะเป็นการต่อสู้แบบรอบเดียวจบแต่แรกแล้ว มาสู้กันอีกทีเถอะ ครั้งนี้ฉันชนะแน่!!」
「หืมมม ไอ้เรื่องนั้นฉันก็ไม่ขัดหรอกนะ ว่าแต่รอบนี้นายจะเอาใครดีล่ะ? 」
「ว่าไงนะ? 」
「ก็ฉันชนะไปแล้วนี่นา ก็หมายความว่าลูนามาเรียเป็นของฉันแล้ว แล้วพอนายบอกว่าอยากสู้อีกก็แปลว่านายต้องไปหามาอีกคนเพื่อเป็นทาสฉันสิ บอกไว้ก่อนนะว่าฉันไม่เอายัยมิโรสลาฟ ดังนั้นก็เหลือแต่อิเรียสินะ」
พอได้ยินแบบนั้นราสก็หันหน้าไปมองอิเรีย
อิเรียที่กำลังรักษาบาดแผลให้กับเขาก็แสดงสีหน้าเคร่งเครียดออกมาเมื่อเธอสบตาเขา
「อิเรีย!」
「หยุดเถอะราส ถึงบาดแผลของนายจะปิดแล้ว แต่เลือดของนายไม่ได้ฟื้นกลับมาด้วยหรอกนะ แล้วจะไปสู้ในสภาพแบบนี้ได้ยังไงกัน」
「มะ-ไม่เป็นไรหรอก ฉันรู้วิธีเอาชนะเขาแล้ว ดังนั้นรอบนี้ฉันชนะแน่!!」
พอราสพูดออกมาแบบนี้ อิเรียก็ตบหน้าของเขาทันที
เพี้ย! เสียงกระทบของผิวที่แห้งผากดังก้องขึ้น
「พอได้แล้ว!! นี่นายจะหนีความจริงไปถึงไหนกัน นายแพ้แล้วนะ หากยอมรับในเรื่องนี้ไม่ได้ ก็ไม่ต้องคิดจะกลับไปสู้ใหม่เลย!!」
「…อิ…เรีย..」
เพราะคำดุของอิเรีย ทำให้ราสทรุดตัวลงกับพื้นและยอมรับความพ่ายแพ้จากใจจริง
ระหว่างที่มองดูพวกเขาสองคน ผมแอบหัวเราะเบาๆ กับตัวเอง
ทัศนคติของอิเรียนั้นเข้มงวดและอ่อนโยน นี่น่าจะเป็นคำตอบเดียวที่เหมาะสมที่สุดสำหรับสถานการณ์ในตอนนี้จากที่ผมเห็นการกระทำของเธอ
สภาพของคนที่พ่ายแพ้มาจนจิตใจดำดิ่ง บางครั้งการยอมรับความจริงก็เป็นสิ่งที่ไม่อาจทำความเข้าใจได้
เหมือนกับตอนนี้ไง หากราสถูกใครมาพูดด้วยคำที่แสนหวานปลอบโลมจิตใจได้ หมอนั่นก็จะต้องตกหลุมรักแน่ๆ ถึงพวกเขาจะเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันแต่ก็ใช่สถานะนี่จะให้มันคงอยู่ตลอดไปเสียหน่อยเนอะ
–ผมไม่ได้หันไปมองทางมิโรสลาฟเลยแม้แต่น้อย ไม่สิต้องบอกว่าไม่จำเป็นต้องมอง
–เพราะทุกอย่างเป็นไปตามแผน
——–
Note 1 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ สามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code