บทที่ 181 ตัดเย็บเสื้อผ้าสำเร็จแล้ว

พิชิตใจหม่ามี๊ตัวแสบ

วารุณีวาดออกแบบได้อย่างรวดเร็ว เพียงแค่7-8นาที ภาพร่างคร่าวๆของตัวชุดก็ปรากฏขึ้นมาบนกระดาษ มันเป็นชุดราตรียาวลากพื้น ตรงบริเวณคอถูกออกแบบให้เป็นรูปคอวีคว้านลึกลงไป บวกกับแขนเสื้อฟูฟ่องสีใส และปลายแขนเสื้อก็เป็นทรงพองๆบานๆ

ด้านล่างเป็นกระโปรงฟูฟ่องขนาดใหญ่ แต่ถึงมันจะใหญ่ มันก็ไม่หนักเลยแม้แต่นิดเดียว กลับกันกลับให้ความรู้สึกบางเบาและสง่างามมาก อีกทั้งตั้งแต่เอวลงไปก็มีดอกไม้และใบไม้ขนาดเล็กใหญ่ปักอยู่ ถ้าเป็นเสื้อผ้าชุดอื่นที่ถูกประดับตกแต่งด้วยดอกไม้เยอะๆ มันจะดูพยายามมากเกินไปอย่างเห็นได้ชัด

แต่พอวารุณีวาดชุดราตรีชุดนี้ออกมา มันไม่เพียงแต่ไม่ดูพยายาม แต่มันกลับให้ความรู้สึกเหมือนเป็นเทพธิดานางฟ้าลงมาจุติแทน

พอมารุตเห็นก็ตาค้างไปเลย เมื่อวารุณีลงสี เขาก็อ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ“ท่านประธาน ผมนับถือคุณวารุณีจริงๆ ชุดราตรีชุดนี้ของเธอสามารถคว้าแชมป์ได้เลยนะเนี่ย ดูแล้วเธอถือเป็นแสงสว่างอันเจิดจรัสในวงการเสื้อผ้าเลยก็ว่าได้”

“นายพูดถูก แต่ว่านี่เป็นแค่ความคิดของพวกเรา ในสายตาของพวกเราชุดราตรีชุดนี้อาจถือเป็นผลงานที่อยู่ในจุดสูงสุดของดีไซเนอร์คนอื่นๆ และอาจถูกยกเป็นชุดที่สุดยอดมากเลยขนาดที่สามารถคว้าแชมป์ได้ แต่สำหรับเธอแล้วชุดราตรีชุดนี้อาจเป็นแค่ชุดธรรมดาๆที่วาดออกมาเมื่อไหร่ก็ได้”นัทธีมองวารุณีที่กำลังจริงจังด้วยสายตาร้อนฉ่า นัยน์ตาเต็มไปด้วยความภาคภูมิใจในตัวเธอ

พอมารุตได้ยินคำนี้ก็ทำเสียงจิ๊ปากออกมาเป็นชิงชมเชย“ถ้างั้นพรสวรรค์ของคุณวารุณีก็น่ากลัวเกินไปแล้ว”

นัทธีเชิดหน้าขึ้นเพื่อเป็นการแสดงว่าเห็นด้วยกับเรื่องนี้

เมื่อวารุณีลงสีเสร็จ เธอก็เอาไปสแกนเข้าเครื่องคอมพิวเตอร์ก่อน จากนั้นก็ลุกขึ้นไปเอาหุ่นมาวางบนโต๊ะ คลี่ผ้าออกมาสองสามชิ้นแล้วหยิบกรรไกรขึ้นมาตัด

สมาคมให้เวลาเธอออกแบบเสื้อผ้าเป็นเวลาห้าชั่วโมง สำหรับดีไซเนอร์ที่เชี่ยวชาญในการวาดรูป แต่ไม่เชี่ยวชาญทางด้านการตัดเย็บเสื้อผ้ามันอาจจะเป็นเรื่องที่ต้องเร่งมือซักหน่อย

แต่สำหรับวารุณีแล้ว เวลาแค่นี้มันเหลือเฟือ ซึ่งทั้งหมดนี้ก็ต้องขอบคุณอาจารย์เมอร์เซเดอ

ก่อนที่เมอร์เซเดอจะสอนเธอออกแบบ ในตอนแรกเขาได้สอนให้เธอรู้จักแยกเนื้อผ้า ย้อมสีผ้า จากนั้นก็ตัดเย็บ ขึ้นรูป สุดท้ายก็ทำออกมาเป็นชุด หลังจากที่เธอเข้าใจและได้ฝึกอย่างชำนาญ เขาถึงได้เริ่มสอนเธอออกแบบ

ถึงแม้ต่อมาเธอจะฝึกทำแบบนี้น้อยลงแล้วแต่เธอก็ไม่เคยปล่อยปะละเลย ดังนั้นความเร็วในการออกแบบกับตอนตัดเย็บเสื้อผ้าจึงทำได้เร็วพอๆกัน เธอใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ตัดเย็บผ้าออกมาเป็นชุดที่ต้องการได้แล้ว แถมยังใส่ไว้บนตัวหุ่นแล้วด้วย

พอผู้ชมที่ดูผ่านรายการถ่ายทอดสดเห็นถึงตรงนี้ก็เอาวารุณีไปเปรียบเทียบกับดีไซเนอร์คนอื่นทันทีว่าใครจะแพ้ใครจะชนะ ทว่าพวกเขามีคำตอบในใจอยู่แล้ว

“วารุณีเจ๋งที่สุด!”ปาจรีย์ที่พึ่งมาถึงโรงพยาบาลเข้ามาดูถ่ายทอดสดพร้อมกับพงศกร พอเห็นว่าวารุณีนำโด่งจากดีไซเนอร์คนอื่นๆ หล่อนก็ตบมือรัวด้วยความดีใจ

พงศกรที่ไม่เคยจะทำหน้าดีๆกับเขาก็ยังพยักหน้าเห็นด้วย“ใช่ วารุณีเก่งมาตลอดอยู่แล้ว”

นี่เป็นผู้หญิงที่เขารัก พอเธอจริงจังขึ้นมามันก็มีออร่าฟุ้งกระจายอยู่เต็มตัวเธอ และคนที่แอบอยู่ในมุมมืดอย่างเขานี่แหละที่อยากจะกอดเธอมากที่สุด

เขาจะต้องได้เธอมาครอบครองให้ได้!

พงศกรจ้องหน้าจอคอมเขม็ง ขนาดหน้าจอที่หนาเตอะก็ไม่อาจปิดกั้นสายตาอันร้อนแรงของเขาไว้ได้ ถ้ามีใครเห็นสายตาของเขาตอนนี้คงต้องตกใจมากแน่ๆ

วารุณีไม่รู้ว่าตัวเองได้กลายเป็นที่รักของพงศกรไปแล้ว และเขาก็เป็นคนที่โหยหาเธอมากที่สุดด้วย เธอกำลังนั่งอยู่หน้าเครื่องจักรเย็บผ้าพร้อมกับเริ่มปักดอกไม้และใบไม้สีเขียวลงบนกระโปรง

การปักดอกไม้ค่อนข้างซับซ้อนและต้องปักเป็นจำนวนมาก มันเป็นส่วนที่เสียเวลาที่สุด ในห้าชั่วโมงนี้ต้องเสียไปแล้วสองชั่วโมงเพื่อปักดอกไม้

พอปักดอกไม้เสร็จ เวลายังคงเหลืออยู่ วารุณีจึงเริ่มต่อเข้ากับกระโปรง

ในที่สุดก็เวลาผ่านไปห้าชั่วโมง ชุดราตรีของเธอเสร็จแล้ว

“เห้อ……”วารุณีถอนหายใจยาวพลางเช็ดเหงื่อที่หน้าผากออก จากนั้นก็หยิบชาขึ้นมาดื่มแป๊บหนึ่งแล้วเรียกนางแบบเข้ามา

เมื่อนางแบบผิวสีเห็นชุดราตรีก็ตะลึงตาค้างไปเลย ซักพักหล่อนก็ยกมือขึ้นมาปิดปากไว้เพื่อระงับความรู้สึกที่อยากจะกรีดร้องออกมา จากนั้นก็เข้าไปกอดวารุณี

ฉากนี้ทำให้นัทธีหน้าบูดทันที ปากกาในมือแทบจะหักคามือเลย

โดยเฉพาะตอนที่ได้ยินนางแบบผิวสีเรียกเต็มปากเต็มคำว่าที่รัก ฉันรักคุณ สีหน้าของเขาก็ยิ่งแย่ลงไปอีก ตอนนี้ทั่วทั้งร่างของเขาได้แผ่กระจายความเยือกเย็นออกมาราวกับว่าอยากจะพุ่งออกไปข้างนอกโดยไม่หาเงินแล้ว

มารุตที่อยู่ด้านหลังเห็นแล้วก็ดันแว่นขึ้น เขาแอบหัวเราะออกมาอย่างอดไม่ได้

ไม่น่าเชื่อเลยว่าท่านประธานจะหึงผู้หญิง!

ดูเหมือนว่าจะรู้สึกได้ว่ามารุตกำลังแอบหัวเราะ นัทธีจึงหรี่ตาลพลางลุกขึ้นปิดรายการถ่ายทอดสด

มารุตตกใจ รีบหุบยิ้มแล้วถามขึ้น“ท่านประธาน ไม่ดูแล้วหรอครับ?”

“ไม่ดูแล้ว นี่ไม่ใช่รอบตัดสิน และเธอก็ไม่ได้ที่หนึ่งหรอก มันก็แค่เข้ารอบสิบแปดคนเท่านั้นเอง ดูต่อไปก็ไม่มีประโยชน์หรอก ไปเถอะ ประชุม!”นัทธีหยิบเอกสารบนโต๊ะขึ้นมาแล้วเดินจ้ำอ้าวออกจากห้องไป

“รับทราบ!”มารุตรีบเดินตามออกไป

ณ สนามแข่ง เลขาฯ ภูมิประกาศว่าเวลาหมดลงแล้ว ดังนั้นดีไซเนอร์จึงต้องเตรียมเปลี่ยนชุดให้นางแบบ

ทางด้านวารุณีนั้น นางแบบผิวสีไม่ได้รอให้เธอช่วย ตัวนางแบบหยิบชุดเข้าไปเปลี่ยนในห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างอดใจรอไม่ไหวเอง

พอวารุณีเห็นก็รู้สึกทำตัวไม่ถูก หลังจากที่ส่ายหัวไปมาอยู่พักหนึ่ง เธอก็เข้าไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าเพื่อช่วยนางแบบจัดการกับกระโปรง เพราะถ้ามีตรงไหนไม่เหมาะสม เธอจะได้แก้บนตัวนางแบบได้ทันที

ไม่นานเวทีแคทวอล์คก็เริ่มขึ้น สถานที่จัดงานยังคงอยู่ในห้องประชุมเหมือนเดิม โชคดีที่ห้องประชุมมีขนาดยาวพอ เมื่อย้ายโต๊ะกับเก้าอี้ออกแล้วปูพรมแดง มันจึงดูคล้ายกับแคทวอล์ครูปตัวที

การเดินโชว์ก็ถือเป็นตัวกำหนดผลแพ้ชนะในการแข่งขันและเป็นช่วงที่ผู้ชมถ่ายทอดสดคาดหวังมากที่สุด

หมายเลขเข้าร่วมการแข่งขันของวารุณีคือเลข15 ดังนั้นนางแบบจึงต้องออกมาเดินในรอบสอง รอบแรกเป็นของพิชญา

เมื่อพวกนางแบบแต่งตัวเสร็จก็มายืนรอเข้าแถวอยู่ด้านหลังเวทีเพื่อรอเดินออกมาตามลำดับ ซึ่งพวกดีไซเนอร์จะถูกห้ามไม่ให้เข้าไปแต่ว่ายืนดูที่ข้างเวทีแคทวอล์คได้ ที่ทำแบบนี้ก็เพื่อกันไม่ให้ดีไซเนอร์ที่อิจฉาผลงานของคนอื่นเข้าไปทำร้ายผลงานของดีไซเนอร์คนอื่น

“กลัวไหม?”พิชญาเข็นรถเข็นมาที่ข้างๆวารุณี แล้วจู่ๆก็พูดขึ้น

วารุณีก้มหน้าลงแล้วเหลือบมองหล่อนอย่างเย็นชา“ทำไมฉันต้องกลัวด้วย?”

“เพราะว่าเธอจะแพ้ไง”พิชญาเชิดหน้าขึ้นด้วยความมั่นใจ

วารุณีหรี่ตาลง“ตอนนี้นางแบบยังไม่ออกมาเลย เธอแน่ใจได้ยังไงว่าฉันจะแพ้?”

“หึ มันก็เห็นๆกันอยู่!”พิชญาแสยะยิ้มออกมา

ครั้งนี้งานออกแบบที่เธอใช้เป็นผลงานชิ้นแรกของDaphneเลยนะ ซึ่งมีน้อยคนมากที่จะเคยเห็น หล่อนใช้เวลาไปมากกว่าจะตามหามันจนเจอ ต้องรู้ว่าDaphneเป็นหนึ่งในนักออกแบบเสื้อผ้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งศตวรรษ แล้ววารุณีจะมาเทียบกับคนรุ่นก่อนหน้านี้ได้ยังไง!

ยิ่งไปกว่านั้นหล่อนก็ยังเลือกนางแบบที่คล้ายกับคนที่Daphneเคยเลือกใช้ด้วย พอได้เอาทั้งสองมารวมกัน หล่อนจึงรู้สึกว่าวารุณีเอาชนะหล่อนไม่ได้แน่นอน

“จริงหรอ แต่ฉันไม่คิดว่าฉันจะแพ้นะ”วารุณีเอามือสางผมไปมา จากนั้นก็ส่งยิ้มอย่างไม่เป็นมิตรให้พิชญา

“เธอยังไม่ลืมใช่ไหมว่านี่ไม่ใช่รอบตัดสิน มันเป็นแค่รอบคัดเลือกผู้เข้ารอบแปดคนเท่านั้น ดังนั้นฉันไม่จำเป็นต้องชนะหรือแพ้เธอหรอก ฉันแค่ต้องเข้ารอบก็พอ!”

เมื่อได้ยินคำนี้พิชญาก็ตะลึงไปเลย

เพราะหล่อนลืมไปจริงๆ แล้วคิดว่านี้เป็นรอบตัดสิน

หล่อนคิดแค่ว่าอย่างแข่งกับวารุณีซักรอบ อยากจะดวลกับวารุณีว่าใครจะแพ้ใครจะกันชนะซักตั้ง ดังนั้นก็เลยลืมไปว่านี่เป็นเพียงแค่รอบคัดเลือกผู้เข้ารอบแปดคนไม่ใช่รอบรองชนะเลิศเลยด้วยซ้ำ

เมื่อเห็นพิชญาใบหน้าซีดเผือด วารุณีก็รู้ทันทีว่าตัวเองพูดถูกจุด เธอยิ้มขึ้น“เห็นทีความคิดที่อยากจะเอาชนะของเธอ ตอนนี้คงจะไม่สำเร็จแล้ว”

“แล้วยังไงล่ะ!”พิชญากำหมัดแน่นด้วยความไม่พอใจ“ถึงแม้ตอนนี้จะไม่ใช่รอบตัดสิน และไม่มีทางรู้ผลว่าใครจะชนะได้ แต่มันก็ยังมีคะแนนสะสมอยู่ แค่ต้องทำคะแนนให้เยอะกว่าเธอฉันก็จะชนะเธอเหมือนเดิม”

“งั้นหรอ งั้นก็เอาตามที่เธอสบายใจ”วารุณียักไหล่และไม่พูดอะไรอีก

พิชญากัดฟันกรอด ตัวเองมายั่วโมโหแท้ๆ วารุณีกลับไม่โมโหซะงั้น แต่ตัวเธอเองกลับโกรธจนควันออกหูแทน

พิชญาไม่ได้ยุ่งกับวารุณีอีกเพราะนางแบบของวารุณีออกมาแล้ว