บทที่ 164 ปัญญาอ่อนเกินไป ข้าทนดูต่อไม่ไหวแล้ว

ข้าก็แค่กลั่นลมปราณ 3,000 ปี

บทที่ 164 ปัญญาอ่อนเกินไป ข้าทนดูต่อไม่ไหวแล้ว

แน่นอนว่าครั้งนี้เจียงหลานเพิกเฉยต่อการกระทำไม่สุภาพที่อยู่เบื้องหลังตน… นางไม่ได้ถูกนักเวทขับไล่ แต่เดินไปหาผู้ป่วยสองสามคน ก่อนที่จะจับมือพวกเขาไว้

แมลงพิษลักษณะคล้ายตะขาบหลายตัวเลื้อยโผล่ออกมาจากแขนเสื้อ ก่อนจะฝังคมเขี้ยวลงที่แขนของผู้ป่วย และเริ่มดูดเลือด

“พวกเขาล้มป่วยด้วยกาฬโรค”

ลี่โน้มกายไปกระซิบ

“เทพโรคระบาดกำลังจะพาผู้ที่อยู่ในอุปการะของนางไป”

แมลงพิษหลายตัวรุมดูดเลือดผู้ป่วยเหล่านั้นด้วยสภาพที่ดูน่าขยาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง ทว่าในทางกลับกัน เมื่อแมลงพิษดูดเลือดพวกเขาเข้าไป สีหน้าและอาการของผู้ป่วยเหล่านั้นกลับดูสดใสขึ้นกว่าเดิมมาก

“นี่ จื้อเซียน”

ไป๋ชิวหรานลอบก้มลงมองโดยอาศัยที่ลี่ไม่ทันสังเกต

“หากข้าคาดเดาไม่ผิด…”

“ถูกแล้ว เกรงว่านั้นคือต้นแบบแห่งการกู่พิษ*[1]”

จื้อเซียนเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงแผ่วต่ำ

“แม่นางผู้นั้นกำลังใช้แมลงพิษเพื่อรักษาเยียวยาอาการของผู้อื่น”

“ทว่าพวกเขากลับหลงเชื่องมงายว่านางฆ่าคน”

ไป๋ชิวหรานกล่าวออกเพราะเริ่มเข้าใจสถานการณ์

หลังจากแมลงเหล่านั้นดูดเลือดต่อไปอีกครู่หนึ่ง เจียงหลานก็ดึงแมลงพิษออกมาจากแขนของพวกเขา ผิวกายของผู้ป่วยหลายคนเริ่มมีเลือดฝาด ฝูงชนเผ่ามนุษย์ต่างแสดงความปีติยินดี ทว่าไม่มีผู้ใดเลยที่ขอบคุณเจียงหลาน…

นางไม่เอื้อนเอ่ยสิ่งใดแม้แต่คำเดียว ก่อนจะหันหลังกลับไปยังทิศทางที่จากมา นักเวทที่มีท่าทางคล้ายคนเสียสติยังคงเดินตามหลังต่อไป ยังไม่วายร่ายคาถาพร้อมโบกไม้เท้ากระดูกสัตว์ไปมา

“ช่างปัญญาอ่อนเสียจริง”

เมื่อเห็นการกระทำของนักเวทผู้นั้น อารมณ์ของไป๋ชิวหรานพลันหดหู่ลงกว่าเดิม

ข้าทนดูต่อไปไม่ไหวแล้ว

คาดเดาได้ไม่ยากว่าเจียงหลานเองก็รู้สึกว่านักเวทผู้นี้ปัญญาอ่อนไม่แพ้เขา ดังนั้นขณะที่นางเดินกลับ จึงได้แต่เร่งฝีเท้าอย่างรวดเร็ว ก่อนจะอันตรธานหายตัวไปท่ามกลางเมฆหมอกพิษ

“เสร็จสิ้นแล้ว”

ลี่โพล่งขึ้นบ้าง

“เทพโรคระบาดถูกขับไล่ออกไป อาการเจ็บป่วยของผู้คนจึงหายขาดเป็นปลิดทิ้ง”

ชายหนุ่มครุ่นคิดตามอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจบอกลี่ให้ทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์นั้น

“ลี่ ขอข้าถามบางอย่างหน่อย เจ้าคิดว่าแท้จริงแล้วอาการป่วยของพวกเขาเหล่านั้น มีส่วนเกี่ยวข้องใดโดยตรงกับเทพโรคระบาดหรือไม่?”

“ข้าไม่ทราบขอรับ”

ลี่เอ่ยตอบอย่างตรงไปตรงมา

“เทพเจ้าต่างมีภาระหน้าที่ของตนที่ต้องจัดการ อาจมีเหตุผลอยู่บ้างว่าเทพโรคระบาดนั้นเป็นเทพเจ้าผู้ชั่วร้าย คอยดูแลโรคระบาดและทำให้คนล้มป่วยในเวลาเดียวกัน แต่ข้ากลับคิดว่าหากเทพโรคระบาดเป็นเทพเจ้าผู้ชั่วร้ายจริงดังคำร่ำลือ ย่อมไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลยที่นักเวทของพวกเจ้ายังดำรงชีวิตอยู่โดยมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง… จากที่เห็นเขาเป็นผู้นำในพิธีกรรม ข้านึกอยากตีให้หยุดการกระทำนั้นด้วยซ้ำ”

“ท่านช่างเปี่ยมไปด้วยสติปัญญาเสียจริง”

ขณะที่ไป๋ชิวหรานตั้งท่าจะเผยอริมฝีปาก เขากลับรู้สึกถึงแรงกดดันจากวิถีสวรรค์อีกครั้ง ดังนั้นจึงตัดบทเพียงว่า

“คราวหน้าหากมีโอกาสจะชี้แนะให้ทราบเกี่ยวกับโอสถและเคล็ดวิชาการทำกู่พิษ ข้าจะมาที่นี่อีกภายหลัง เจ้ารีบกลับบ้านเร็วเถิด ข้าเองก็จะกลับไปพักผ่อนเช่นกัน”

“อ๊ะ? เดี๋ยวก่อนสิท่านอาจารย์…”

ยังไม่ทันที่เด็กหนุ่มจะกล่าวจนจบประโยค จู่ ๆ กระแสลมพลันพัดกระโชกผ่านพื้นดินราบเรียบ ทำให้ไม่สามารถลืมตาขึ้นได้ เมื่อลมกระโชกแรงหยุดลงและเขาได้ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ทว่าไป๋ชิวหรานกลับหายตัวไปเสียแล้ว คงเหลืออยู่เพียงรอยรองเท้าฟางที่จมลึกลงไปในพื้นดินเท่านั้น

“เจ้าเดินเตร่ไปที่ใดมาบ้าง?”

ทันทีที่กลับไปถึงกระท่อม ไป๋ชิวหรานได้ยินเจียงหลานเอ่ยถามขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ออกไปเดินเล่นแถวนี้นิดหน่อย”

ชายหนุ่มตอบกลับ

“ข้าก็ผูกเหยื่อไว้ที่กระท่อมก่อนแล้วไม่ถูกหรือ?”

“อย่าคิดว่าเจ้าเป็นเทพเจ้าแล้วจะใช้ชีวิตดังปกติสามัญได้ ถึงอย่างไรโลกภายนอกก็ไม่ปลอดภัย ต่อให้เป็นเทพเจ้าแต่ก็ไม่ใช่องค์จักรพรรดิไท่อี ในโลกนี้ยังมีผู้ที่อยู่เหนือกว่าเสมอ”

เจียงหลานกล่าว

“มาเถอะ ช่วยข้าจัดการกับสัตว์มีเขาเหล่านี้”

“ได้”

ไป๋ชิวหรานตอบรับ ก่อนจะเดินตามหลังเจียงหลานไป

สตรีร่างเล็กนำเหยื่อเหล่านี้ที่เรียกได้ว่าเป็น ‘สัตว์จำพวกแกะ’ ไปยังริมฝั่งแม่น้ำ แล้วใช้พลังศักดิ์สิทธิ์ช้อนเอาน้ำบางส่วนในแม่น้ำขึ้นมาชะล้างทำความสะอาด จากนั้นจึงหยิบมีดยาวข้างกายขึ้นมา ออกแรงฟันฉับอย่างว่องไว เหยื่อดิ้นทุรนทุรายลงกับพื้น เลือดสด ๆ ไหลทะลักออกมาจากลำคอตามรอยมีด

เลือดไหลทะลักออกมาไม่หยุด แขนขาของสัตว์มีเขาที่กำลังกระเสือกกระสนดิ้นไปมาบนพื้น ทว่าเพียงไม่นานก็หมดแรง ก่อนที่เจียงหลานจะหยิบมีดขึ้นมาอีกครั้ง เริ่มลอกหนังออกและหั่นแล่เนื้อ

มือและเท้าของนางรวดเร็วไม่น้อย ทว่ามีดในมือกลับทื่อกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้การเคลื่อนไหวดูลำบากไปเล็กน้อย ไป๋ชิวหรานเฝ้าดูอยู่ครู่หนึ่งจึงขันอาสา

“ให้ข้าจัดการเอง”

เขาขอให้เจียงหลานกระเถิบออกไปเล็กน้อย แต่แทนที่จะใช้มีดกลับเรียกใช้ปราณกระบี่ให้หลั่งไหลไปยังฝ่ามือ แล้วตัดแบ่งเนื้อสัตว์มีเขาจำพวกแกะตลอดทั้งตัว ผิวหนัง เนื้อ หรือกระดูกถูกหั่นแล่ออกเป็นส่วน ๆ อย่างง่ายดาย

“อะไรกัน?”

เมื่อเห็นปราณกระบี่ที่ชายหนุ่มเรียกใช้ เจียงหลานจึงเอ่ยถามเพราะเกิดความสนใจ

“นี่คือพลังศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าหรอกหรือ?”

“เปล่า มันเรียกว่าปราณกระบี่”

ไป๋ชิวหรานรีบคว้าเอาสัตว์มีเขาตัวที่สองมาหั่นแล่ต่อไป พร้อมอธิบาย

“พลังนี้เกิดขึ้นเพราะการฝึกฝนเพียงเล็กน้อย ไม่ว่าผู้ใดก็ทำได้… ตัวนี้ก็เชือดใช่หรือไม่?”

“เชือดพวกมันให้หมด แม้กินไม่หมดในคราวเดียว แต่ข้าสามารถทำเนื้อตากแห้งเก็บไว้ได้”

เจียงหลานเอ่ยตอบ และยังตั้งคำถามต่อไป

“พลังที่เจ้ากล่าวมา เป็นสิ่งที่ใครก็สามารถฝึกฝนได้อย่างนั้นหรือ?”

“ใช่ หากสนใจ ข้าสอนให้เจ้าได้เช่นเดียวกัน”

ไป๋ชิวหรานตอบกลับ

“นอกจากนี้ ข้ายังศึกษาวิชาพิษบางอย่างที่เป็นหน้าที่ในส่วนของเจ้าอีกด้วย เราสามารถสื่อสารแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน เพื่อก้าวหน้าไปพร้อมกัน”

ไป๋ชิวหรานจัดการกับซากสัตว์ตรงหน้าอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็โยนชิ้นส่วนที่ไม่มีประโยชน์ทิ้งเข้าไปในป่าภายใต้การแนะนำของเจียงหลาน ก่อนย้อนกลับไปที่กระท่อมพร้อมเนื้อสัตว์และโครงกระดูกที่พอจะใช้ประโยชน์ได้

ผู้คนในยุคสมัยนี้กินอาหารเพียงวันละสองมื้อเท่านั้น หลังจากรับประทานอาหารมื้อเย็นที่เทียบเท่ากับอาหารในช่วงหัวค่ำ ชายหนุ่มก็ช่วยเจียงหลานจัดการกับเนื้อและกระดูกที่เหลืออยู่ ก่อนที่เจียงหลานจะเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงลังเล

“ก่อนหน้านี้เจ้าเคยกล่าวว่าจะสอนเคล็ดลับนั้นให้กับข้า…”

ดูเหมือนว่านางมีความใฝ่เรียนรู้ ทว่าลักษณะการพูดมีความละอายใจเล็กน้อย

ไป๋ชิวหรานอดเผยรอยยิ้มไม่ได้

“หากเจ้าต้องการเรียนรู้ ข้าสอนให้ก็ย่อมได้”

เขาไม่กลัวแม้แต่นิดว่าเจียงหลานจะเรียนรู้เคล็ดลับนี้และใช้กระทำความชั่ว ประการแรก เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ที่เพิ่งสังเกตเห็นในหมู่บ้านของเผ่ามนุษย์ เจียงหลานดูไม่ใช่เทพเจ้าผู้ชั่วร้าย ประการที่สอง เป็นเพราะเขาต้องการให้ปราณกระบี่ของตนอยู่ยงคงกระพันต่อไปในโลกใบนี้

การเรียนรู้วิชาปราณกระบี่ สามารถเพิ่มการในการโจมตีของเผ่ามนุษย์ที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ แต่ใช่ว่าเผ่าพันธุ์มนุษย์ในทุกยุคสมัยจะคล้ายคลึงกับมนุษย์ในยุคสมัยของไป๋ชิวหราน

ที่จริงแล้ว ปราณกระบี่เป็นการเรียกใช้กำลังภายในเป็นหลัก ตามทฤษฎีแล้ว ไม่ว่าสิ่งมีชีวิตประเภทใดก็สามารถเรียนรู้ได้ ในฐานะที่เจียงหลานเป็นเทพเจ้า นางจึงมีความรู้ความเข้าใจที่แข็งแกร่งยิ่ง อีกทั้งความที่ถือกำเนิดขึ้นพร้อมกับพลังศักดิ์สิทธิ์อันทรงพลังในร่างกาย การฝึกฝนจึงไม่ใช่เรื่องยากดังที่คาดไว้ ท้องฟ้ายังไม่ทันมืดสนิทดี ภายใต้การชี้แนะของไป๋ชิวหราน นางก็ประสบความสำเร็จในการฝึกฝนปราณกระบี่เป็นครั้งแรก

เมื่อพินิจดูกระบี่เรืองแสงที่ปรากฏขึ้นบนปลายนิ้วของนาง ใบหน้าของสตรีร่างเล็กนั้นเปี่ยมไปด้วยความปีติยินดี ทว่าความสุขกลับจางหายไปอย่างรวดเร็ว แปรเปลี่ยนกลับมาเป็นรูปลักษณ์เย็นยะเยือกเช่นทุกครั้ง

“ขอบคุณเจ้าที่สอนเคล็ดลับนี้ให้แก่ข้า”

เจียงหลานกล่าว

“เพื่อเป็นสิ่งตอบแทน ข้าจะมอบสิ่งนี้ให้กับเจ้า”

นางเดินกลับเข้าไปในกระท่อม ควานหาบางสิ่งอยู่นาน ก่อนจะกลับออกมาพร้อมกับแส้ป่านสีดำ แล้วยัดลงในมือของไป๋ชิวหราน

“นี่เป็นของที่ระลึกที่ท่านปู่ทิ้งไว้ให้ดูต่างหน้า ท่านก็เป็นเทพเจ้าเช่นเดียวกัน”

เจียงหลานอธิบาย

“ตราบใดที่พกพาไว้ติดตัว เจ้าจะมีภูมิคุ้มกันต่อพิษส่วนใหญ่ในโลกนี้ ท่านปู่เคยมีสิ่งนี้ไว้ในครอบครองก่อนที่เขาจะได้รับตำแหน่งปุโรหิตที่เกี่ยวข้องกับโอสถรักษา”

“ที่แท้ก็เป็นของเทพแห่งการรักษา… ขอบคุณมาก”

ไป๋ชิวหรานอยากบอกกล่าวไปตามตรงว่าแท้จริงแล้ว พิษใดในโลกก็ไม่อาจสร้างความเสียหายใด ๆ ให้กับร่างกายของเขา แต่ถึงอย่างไรนี่ก็ถือเป็นสินน้ำใจของอีกฝ่าย

ขณะที่ยื่นมือออกไปรับแส้ เขาได้เอ่ยถามขึ้นว่า

“ในเมื่อในโลกนี้มีการคิดค้นโอสถรักษาโรคขึ้น แล้วเหตุใดเผ่ามนุษย์ในหมู่บ้านแห่งนั้นยังใช้วิธีการร่ายรำเพื่อขับไล่เทพเจ้าในการรักษาโรคอีกเล่า?”

เจียงหลานชะงักนิ่งไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของเขา ก่อนจะถามกลับ

“เจ้าเห็นด้วยหรือ?”

แม้ว่าน้ำเสียงนั้นจะไม่แปรเปลี่ยน แต่ไป๋ชิวหรานพอรับรู้ว่านางรู้สึกเขินอายเล็กน้อย ในทางกลับกันหากผู้ที่อยู่ตรงนั้นไม่ใช่นางแต่เป็นเขา การมีนักเวทคอยสวดร่ายคาถาและกระโดดโลดเต้นด้วยท่าทีปัญญาอ่อนอยู่ข้างหลัง คงน่าอับอายไม่แพ้กันหากจะกล่าวถึง

ชายหนุ่มพยักหน้ารับ เจียงหลานครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวตอบ

“เหตุที่ไม่มีโอสถรักษา แน่นอนว่าเป็นเพราะฐานะปุโรหิตแห่งการรักษาถูกจักรพรรดิสวรรค์กำจัดทิ้งไปแล้ว…เช่นนั้นอย่ากล่าวถึงอีกเลย”

[1] เป็นพิษที่ได้มาจากสัตว์พิษตามความเชื่อทางภาคใต้ของประเทศจีนโดยเฉพาะแถบหนานเยฺว่ ทำขึ้นโดยนำสัตว์พิษชนิดต่าง ๆ (เช่น ตะขาบ งู แมลงป่อง) ใส่ลงในภาชนะ แล้วปิดผนึก ปล่อยให้สัตว์เหล่านั้นบริโภคกันเอง ตัวสุดท้ายที่รอดมาเพียงหนึ่งเดียวเชื่อว่า มีพิษร้ายแรงที่สุด