ตอนที่ 309 ที่นี่มีโจรย่องเบา

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 309 ที่นี่มีโจรย่องเบา

ฉินหลิวซีอยากได้เถิงเจามาเป็นลูกศิษย์ แต่ก็ใช่ว่าเมื่อนางบอกว่าต้องการก็สามารถพาคนไปได้ทันที ต้องได้รับการยินยอมจากเถิงเทียนฮั่นก่อน และที่สำคัญกว่านั้นคือความเต็มใจของตัวเถิงเจาเอง

เถิงเทียนฮั่นถูกเกลี้ยกล่อมจนยินยอมแล้ว ในใจของเขาได้นำความหวังเล็กๆ น้อยๆ ที่เหลืออยู่มอบให้บุตรชายเป็นคนตัดสินใจ บางทีเขาอาจจะไม่เต็มใจ อย่างไรเสียแม้แต่เมืองหลวงเขาก็ไม่เต็มใจที่จะไป

แต่เมื่อกลับไปห้องของบุตรชายอีกครั้ง เขาก็พบว่าสายตาของเถิงเจาจับจ้องไปที่ฉินหลิวซี แต่กลับเมินเขาไปโดยสิ้นเชิง

อาจารย์ฉีลุกออกจากที่นั่งอีกครั้ง ฉินหลิวซีเข้าไปนั่ง จากนั้นเถิงเจาก็ยื่นนกกระเรียนกระดาษให้

“คาถา”

ฉินหลิวซียิ้มพลางกล่าวว่า “ข้าจะสอนเจ้า”

หัวใจของเถิงเทียนฮั่นรู้สึกเจ็บปวด ถูกอาจารย์ฉีดึงออกไป

“นายท่าน นี่เป็นครั้งแรกที่คุณชายมีความสนใจต่อคนแปลกหน้าและมีอารมณ์อื่นๆ นอกจากความนิ่งเฉยเช่นนี้” อาจารย์ฉียืนอยู่ที่ลาน มองไปยังเด็กสองคนที่หน้าต่างทางทิศใต้

ฉินหลิวซีอายุไม่มาก ในสายตาของเขาเรียกได้ว่าเพียงเป็นเด็กคนหนึ่งเท่านั้น ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเถิงเจา

ตอนนี้ทั้งสองคนนั่งห่างกันโดยมีกระดานหมากรุกกั้นอยู่ คนหนึ่งกำลังพูด อีกคนหนึ่งกำลังฟัง

ภาพนี้ดูธรรมดาทั่วไป แต่ทุกคนต่างก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะนี้เป็นครั้งแรกที่ทั้งสองคนพบกัน แต่เถิงเจากลับไม่ได้แสดงอาการต่อต้านนางเลย

เถิงเทียนฮั่นยืนเอามือไขว้หลัง กล่าวว่า “อาจารย์ก็คิดว่าควรปล่อยให้เจาเอ๋อร์เข้าสู่ลัทธิเต๋าเป็นศิษย์ของเขาด้วยหรือ”

อาจารย์ฉีเอ่ยเสียงเรียบว่า “ข้าคิดว่าหากคุณชายเต็มใจก็ไม่มีอะไรที่ทำไม่ได้ หากติดตามอาจารย์น้อยท่านนี้ เขาก็จะได้ออกไปข้างนอกอยู่เสมอแทนที่จะขดตัวอยู่ในมุมหนึ่งของใต้หล้า”

เถิงเทียนฮั่นถอนหายใจ “เจ้าเชื่อเขา”

“ข้าเชื่อนายท่านต่างหาก” อาจารย์ฉียิ้มเล็กน้อย “หากไม่มีความสามารถจริงๆ นายท่านจะพาเขามาที่นี่หรือ ความจริงแล้วแม้ว่าเขาจะไม่มีความสามารถ แต่การที่เขาทำให้คุณชายเชื่อใจได้ก็นับว่าเป็นความสามารถแล้ว”

เถิงเทียนฮั่นรู้สึกลำบากใจ อยากจะบอกว่าเป็นเพราะเขาเชื่ออาจารย์สืออวิ๋นจึงได้มีวันนี้ แต่กลับไม่สามารถพูดออกมาได้

“นายท่าน แม้ว่าจะเป็นศิษย์ของเขาแล้ว แต่คุณชายก็ยังเป็นบุตรชายของท่าน อย่างไรเสียก็จะได้พบกันอีก หากคุณชายมีนิสัยเช่นนี้ต่อไป ท่านเก็บเอาไว้ข้างกายแล้วจะสามารถทำอะไรได้ ดั่งคำกล่าวที่ว่า ‘หากไม่ทำลายก็ไม่มีการสร้าง’”

เถิงเทียนฮั่นใจสั่น มองไปยังทั้งสองคนที่หน้าต่างทางทิศใต้ เถิงเจากำลังตั้งใจใช้มือร่ายเวทย์มนต์ อดไม่ได้ที่จะละสายตาจากพวกเขา

เพื่อเถิงเจาแล้ว ฉินหลิวซีได้เลื่อนเวลากลับเมืองหลี และพักอยู่ที่จวนเถิงเป็นการชั่วคราว จึงถือโอกาสทำการฝังเข็มเพื่อควบคุมหยินและหยางของอวัยวะภายในทั้งห้าของเขาและเสริมสร้างรากฐาน อย่างไรเสียก็เป็นลูกศิษย์ของนาง จะปล่อยให้เหมือนแมวป่วยไม่ได้

อีกอย่างการไล่วิญญาณชั่วร้าย จับผี ใช้วิชาแพทย์รักษาคนก็ต้องใช้พละกำลัง

นอกจากนี้ฉินหลิวซียังสอนให้เขาฝึกพลังชี่ซึ่งเป็นทักษะพื้นฐานในการฝึกจิตวิญญาณ ฝึกฝนร่างกายก็ต้องฝึกฝนจิตใจ และฝึกฝนเต๋า

นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างจากสี่หนังสือห้าคัมภีร์ เถิงเจารู้สึกว่าความรู้เหล่านี้ใหม่มาก รวมถึงการนั่งขัดสมาธิเคลื่อนย้ายพลังชี่ไปรวมที่จุดตันเถียน[1]

เขายังไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นฉินหลิวซีนั่งอยู่ภายใต้แสงแดดยามเช้า ราวกับร่างกายมีสีสันล้อมรอบอยู่หนึ่งชั้นก็อดรู้สึกตกตะลึงไม่ได้

นอกจากการสอนทักษะพื้นฐานของเต๋าให้เถิงเจาแล้ว ฉินหลิวซียังกล่าวถึงคำสอนของเต๋าโดยเล่าเรื่องจากพระคัมภีร์ ทำให้เถิงเจาได้ฟังก็รู้สึกคล้อยตาม

เพียงแค่สองวัน ทั้งสองก็เข้ากันได้อย่างเป็นธรรมชาติ

เถิงเทียนฮั่นกลุ้มใจ แม้ว่าบุตรชายจะไม่ได้เอ่ยอะไร แต่เขารู้ได้จากการแสดงออกของบุตรชายว่ามีความเป็นไปได้ที่จะไปกับอีกฝ่ายมากถึงเก้าในสิบส่วน ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่น เถิงเจาสามารถทนที่ฉินหลิวซีทำให้สิ่งของที่เขาจัดไว้ยุ่งเหยิงได้โดยไม่แสดงอาการโมโห

ตัวเองที่เป็นพ่อก็ยังไม่กล้าทำข้าวของของเขาให้ยุ่งเหยิง แต่ฉินหลิวซีกล้า ทำรกแล้วยังไม่เก็บด้วยซ้ำ ในขณะที่เถิงเจาก็เก็บทำความสะอาดโดยไม่ได้รู้สึกรำคาญหรือเบื่อหน่าย ซ้ำยังไม่โมโห

“เขาต้องรับใช้ข้าที่เป็นอาจารย์ของเขา”

คำพูดของฉินหลิวซีดังมาจากไกลๆ แต่กลับชัดเจน

นี่ยังไม่ทันได้ฝากตัวเป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ เถิงเทียนฮั่นก็ราวกับว่ามองเห็นอนาคตแล้ว บุตรชายราวกับผู้ติดตามตัวน้อยคอยตามทำความสะอาดสิ่งที่อีกฝ่ายทำรกไว้

เถิงเทียนฮั่นยังสงสัยว่าฉินหลิวซีแค่เพียงต้องการหาคนรับใช้หรือไม่

ไม่ว่าเล่าจื๊อ[2]จะคิดอย่างไร ฉินหลิวซีก็สนใจเพียงแค่การลักพาตัวลูกศิษย์ในอนาคต กล่าวว่า “พรุ่งนี้ก็กลับเมืองหลีไปกลับอาจารย์เถิด ไปคำนับเจ้าลัทธิเต๋ากับอาจารย์ของข้าเพื่อเข้าสู่สำนักอย่างเป็นทางการ”

เถิงเจาเงยหน้าขึ้น ดวงตาสดใส

“แต่ข้าจะบอกเจ้าไว้ก่อนว่า เมื่อเข้าร่วมสำนักของข้าเจ้าต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เจ้าอายุเจ็ดขวบแล้ว เป็นบุรุษ พวกเราชาวเสวียนเหมินไม่ควรขอให้ผู้อื่นช่วยเหลือทุกเรื่อง” ฉินหลิวซีมองเข้าไปในดวงตาของเขา เงียบไปครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “แต่อนุญาตให้เจ้าพาบ่าวรับใช้ไปดูแลเจ้าได้หนึ่งคนเป็นการชั่วคราว เมื่อเจ้าคุ้นชินกับสำนักแล้วก็ต้องปล่อยให้เขาจากไป เจ้าคิดว่าเช่นนี้ดีหรือไม่”

เถิงเจาไม่กล่าวอะไร

“หากเจ้าไม่กล่าวอะไรข้าจะถือว่าเจ้าตกลงแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ออกเดินทางพรุ่งนี้กันเถิด” ฉินหลิวซีเอ่ยในทันที

เถิงเจา “…”

ฉินหลิวซียิ้มพลางลูบผมอ่อนนุ่มของเขา กล่าวว่า “วางใจเถิด อาจารย์จะดีกับเจ้าอย่างแน่นอน”

เถิงเจาหลบมือของนาง นำพู่กันและหมึกที่นางทำรกไว้จัดเรียงใหม่อย่างเงียบๆ เมื่อเห็นสิ่งของถูกวางอย่างเรียบร้อยก็รู้สึกเจริญหูเจริญตา

“ชิ” ฉินหลิวซีสบถเบาๆ อยากจะทำรกอีก แต่เมื่อยื่นมือออกมา ทันใดนั้นรอยยิ้มของนางก็หายไป ลุกขึ้นยืนแล้วเดินออกไปนอกห้อง

เมื่อเถิงเจาเห็นว่านางเดินออกไปอย่างกะทันหัน คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลงจากเตียงแล้วตามออกไป

ฉินหลิวซียืนอยู่ใต้ชายคา มองดูหมอกสีดำที่ปรากฏขึ้นกลางอากาศที่ลาน ทันทีที่หมอกจางหายไปก็มีสตรีผมเพ้ายุ่งเหยิงและใบหน้าไม่ชัดเจนสะดุดล้มลงกับพื้น หมอกดำสลายไป

“เพียงแค่ผีกระจอก กล้าดีอย่างไรมาปรากฏตัวที่นี่ ยังไม่รีบออกไปอีก” ฉินหลิวซีดุ

เถิงเจาหมอบอยู่ที่บานประตูแล้วมองออกไป

ฉินหลิวซีหันกลับไป กล่าวว่า “เจาเจา เจ้ากลับเข้าไป”

นางร่ายคาถาเสกไปที่บนตัวของเถิงเจา

เดิมทีเถิงเจารู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งตัว แต่ภายในชั่วครู่ร่างกายของเขาก็เหมือนถูกห่อด้วยกระแสน้ำอุ่น เขารู้สึกอบอุ่น

เขาไม่ได้เข้าไปข้างในตามคำพูดของฉินหลิวซี แต่กลับไปยืนอยู่ข้างนาง มองดูผู้หญิงที่หมอบอยู่บนพื้น

ฉินหลิวซีตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง “เจ้ามองเห็นหรือ”

เถิงเจา “รัศมีสีดำคืออะไรหรือ”

มันดูแปลกๆ เล็กน้อย

ฉินหลิวซีคิดในใจ ‘เป็นเพราะเด็กคนนี้ดวงตกหรือว่าผีสาวตนนี้อ่อนแอเกินไป ดังนั้นเขาจึงมองเห็นได้’ ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

“เจ้าไม่กลัวหรือ” นางถาม

เถิงเจาส่ายหน้า

เมื่อผีสาวตนนี้เห็นว่าพวกเขากำลังเมินตัวเองก็รู้สึกเจ็บปวด เงยหน้าขึ้นพลางตะโกนอย่างอนาถ “ท่านอาจารย์ช่วยด้วย”

ทันทีที่สิ้นเสียงนางก็มีคนตะโกนมาจากนอกกำแพงว่า “เจ้าผีบาปจะหนีไปไหน”

มีนักพรตเต๋าไว้หนวดสวมชุดคลุมสีเหลืองกระโดดขึ้นไปบนกำแพง

ผีสาวหันกลับไปมอง ดวงตาเต็มไปด้วยความโกรธ พุ่งไปทางฉินหลิวซีโดยไม่คิด

ฉินหลิวซีมือหนึ่งดึงเถิงเจามาหลบอยู่ด้านหลังของตัวเอง อีกมือหนึ่งร่ายคาถาไปที่ผีสาว

ผีสาวกรีดร้องอย่างอนาถ กระเด็นไปข้างหลังล้มลงกับพื้นอีกครั้ง วิญญาณของนางอ่อนแอลงกว่าเดิม

“ท่านอาจารย์ ท่านไม่เต็มใจช่วยคนไม่ดีไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงช่วยพวกเขาทำร้ายข้า” ผีสาวตะโกนด้วยความโกรธแค้น

ฉินหลิวซีขมวดคิ้ว “เจ้าเป็นใคร”

ผีสาวชะงักไป จากนั้นนางก็ปัดผมเผ้าบนใบหน้าของตัวเอง เผยให้เห็นใบหน้างดงาม กล่าวว่า “ข้าเอง เมื่อสองวันก่อนได้ตามจย่าหยวนไว่ไป ท่านเคยเจอข้าแล้วไม่ใช่หรือ”

ฉินหลิวซีจำได้แล้ว “อ้อ เป็นเจ้านั่นเอง”

นักพรตเต๋าผู้นั้นกระโดดลงมา ยกมือคำนับพลางกล่าวว่า “คิดไม่ถึงว่ามีสหายนักพรตเต๋าอยู่ที่นี่ด้วย ผีบาปตนนี้ทำร้ายคน กว่าข้าจะจับนางได้ เกือบจะปล่อยให้นางหนีไปแล้ว ขอบคุณสหายที่ช่วยเหลือ ไม่ทราบว่าสหายมีนามเต๋าว่าอย่างไร อยู่อารามไหนหรือ”

“นามเต๋าของข้าคืออะไรไม่ใช่สิ่งที่เจ้าควรพิจารณา สิ่งที่เจ้าควรพิจารณาคือจุดจบของเจ้า”

ชายไว้หนวด “?”

“ใครก็ได้ช่วยด้วย มีโจรย่องเบาอยู่ที่นี่!” ฉินหลิวซีตะโกนเสียงดัง

ชายไว้หนวด “!”

[1] จุดตันเถียน คือ จุดศูนย์กลางของพลังงานภายในร่างกาย

[2] เล่าจื๊อ นักปรัชญาชาวจีนที่มีชื่อเสียงที่สุดท่านหนึ่ง