บทที่ 214 เห็นแผลเจ้าแล้วข้าปวดใจนัก
“โหลวจวินเหยา!”
ภายใต้ท้องฟ้ายามราตรียังมีน้ำเสียงไม่พอใจหนึ่งดังขึ้น ทำเอาฝูงสิ่งมีชีวิตบินได้ที่ไม่รู้สายพันธุ์พากันบินแตกฮือ
โหลวจวินเหยาไม่หยอกนางอีก เพียงหัวเราะเบา ๆ แล้วค่อย ๆ ประคองเอวบางลงมา เมื่อครู่เขายังดูไร้หนทางต้องหาที่พึ่งพิงอยู่เลยไม่ใช่หรือ จู่ ๆ กลับคล่องแคล่วว่องไวเช่นนี้ได้? มองไม่เห็นแม้ว่าบาดเจ็บที่ตรงไหน
ชิงอวี่จึงมั่นใจเป็นยิ่งนักว่าเขาเพียงทำตัวน่าสงสารเรียกความเห็นใจจากนางเพื่อกระทำเรื่องหน้าไม่อายเท่านั้น
——————————————-
ชิงเทียนหลินมีจุดประสงค์เพียงตัวชิงอวี่เท่านั้น ที่จับตัวสังหารคนมาก็เพื่อล่อให้นางออกมาหาเขา
เขาเห็นชิงอวี่ร่วงลงไปจนหมดอารมณ์สังหารคน ในใจเขาเพียงหวังว่าสวรรค์จะเมตตานาง ไม่ว่าจะพบอันตรายใดที่เบื้องล่างนั่นก็จะเปลี่ยนจากร้ายกลายเป็นดี
เขาคิดอยากครอบครองนาง แต่ไม่เคยคิดอยากทำร้ายนางสักนิด ไม่ว่านางจะจงเกลียดจงชังเขามากแค่ไหนจนถึงขั้นอยากสังหารเขาก็ตามที
ชายหนุ่มยืนอยู่ริมผา ชุดขาวทั่วร่างไม่อาจปกปิดไอความมืดชั่วร้ายที่แผ่ออกมาได้เลย
ซีจ้านเฉินยืนอยู่เบื้องหลังเขาห่างไปไม่กี่ก้าวสัมผัสได้ถึงความโกรธที่เดือดพล่านอยู่ภายในอีกฝ่ายได้ ราวกับว่ามันจะปะทุออกมาได้ทุกเมื่อ นัยน์ตาเขาเป็นประกายวาบพลันเอ่ยขึ้นว่า “ให้ข้าออกตามหาชิงอวี่เถอะขอรับ…..”
สิ้นคำซีจ้านเฉิน ความโกรธของอีกฝ่ายก็ยิ่งรุนแรง หากแต่ประโยคต่อมากลับทำให้ความโกรธนั้นเบาบางลงได้
“ถึงจะไม่รู้เหตุผล แต่ข้า….. ยังรู้สึกว่าสัมผัสกลิ่นอายนางได้อยู่บ้าง นางยังไม่ตาย ดูท่าจะยังสบายดี”
ซีจ้านเฉินพูดจบก็หยุดไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยต่อ “ส่วนชายตาสีม่วงคนนั้น จริง ๆ ทำลายวิชาเชิดหุ่นของนายท่านได้แล้ว แต่ที่มีท่าทางเช่นนั้นคงเพราะอยากให้ชิงอวี่สงสาร”
ชิงเทียนหลินหน้าคว่ำทันที ยามหันมามองซีจ้านเฉินก็ราวกับมีไฟโหมในนัยน์ตา “ทำไมเจ้าไม่บอกข้าก่อน?”
ไม่รอให้ซีจ้านเฉินตอบคำ เขาก็ว่าต่อ “เจ้านั่นมันร้ายไม่ใช่ย่อยเลยนะ? ที่ถูกจับตัวไว้เมื่อก่อนหน้านี้ก็คงเป็นอุบายของเขาเพื่อเสียดแทงใจชิงชิง เป็นคนชั่วช้าหน้าไม่อายเสียจริง”
ไม่แปลกที่ชิงชิงจะใส่ใจเขาถึงเพียงนั้น กระทั่งยอมเสี่ยงชีวิตช่วยเขา เขามีจิตใจชั่วร้ายเจ้าเล่ห์ อีกทั้งใบหน้ายังหล่อเหลาไร้ที่ติ มีหรือที่ชิงชิงจะตามเล่ห์เหลี่ยมอีกฝ่ายทัน!?
คิดได้ดังนั้นชิงเทียนหลินก็มีสีหน้าไม่น่ามอง “พาชิงชิงกลับมาหาข้า ส่วนเจ้านั่น หากเจ้าพบหน้าก็หาทางสังหารมันทิ้งเสีย!”
ซีจ้านเฉินก้มหัวรับคำ ก่อนจะหันกลับไปแล้วหายตัวไปทันที
ที่อีกฝั่ง ชิงอวี่กับโหลวจวินเหยาใช้เวลาราวครึ่งชั่วยามกว่าจะลงมาถึงก้นผาสูงชันได้
แต่ใครจะรู้ว่าด้านล่างนั้นมีเพียงผืนน้ำเย็นจัดขนาดใหญ่ ซึ่งคนทั้งสองร่วงลงไปจนผิวน้ำสะท้านขึ้นมา เปียกม่อล่อกม่อแล่กราวกับลูกสุนัขตกน้ำ
โหลวจวินเหยาชะงักไปชั่วขณะ น้ำหยดลงมาจากผมข้างขมับ ตัวเขาเป็นเจ้าครองแคว้นเหนือผู้ใดในแดนเมฆาสวรรค์ นับเป็นครั้งแรกที่ตัวเขาอยู่ในสภาพน่าอเนจอนาถเช่นนี้
ขนตาหนามีหยาดน้ำประดับ ดูขัดกับนัยน์ตางดงามกระจ่างสีม่วงนั่นนัก ทั้งยังใบหน้าหล่อเหลาราวปีศาจที่ดูอึ้งไปเช่นนั้น รวมกันแล้วเป็นภาพยั่วยวนใจนัก
ชิงอวี่มองหน้าเขาแล้วก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา “ฮ่า ๆ….. ดูท่านสิ….. ท่านนี่มัน….. ฮ่า ๆ….. ล่อลวงให้คนก่ออาชญากรรมได้เลยท่านรู้ตัวหรือไม่…..”
นางหัวเราะเยาะเย้ยเขาเห็น ๆ
โหลวจวินเหยาเลิกคิ้วแล้วดึงเด็กสาวที่ยังหัวเราะไม่หยุดเข้ามา จากนั้นก็จับมือนางมาแปะไว้ที่อกเปียกชุ่มที่โผล่ออกนอกเนื้อผ้า ด้วยเสื้อคลุมที่สวมไว้เรียบร้อยก่อนหน้าถูกน้ำพัดพาจนยุ่งเหยิง
ผิวอุ่นใต้ฝ่ามือนางเต้นตุบเป็นจังหวะ นางเผลอดึงมือกลับ แต่แม้จะยื้อเพียงไร มือใหญ่ที่กำข้อมือนางไว้กลับไม่ขยับเลย
ชิงอวี่เลิกคิ้วมองเขา “อะไรของท่าน?”
“ก็เจ้าว่าเจ้าอยากก่ออาชญากรรมไม่ใช่หรือ? ข้าก็แค่ให้ความร่วมมือกับเจ้าเท่านั้น” โหลวจวินเหยาตอบหน้านิ่ง
ชิงอวี่ “…..”
คนผู้นี้ท่าทีไม่น่าไว้ใจมากขึ้นทุกที นางล้อเขาทีไรเขาเป็นต้องหยอกนางกลับทุกครั้งด้วยหรือ?
“เอาล่ะ ๆ ตอนนี้เราไม่รู้ว่าเราร่วงลงมาที่ไหนกันแน่ ท่านเองก็ยังมีอารมณ์มาทำกะล่อนอยู่อีก” ชิงอวี่จ้องเขาสายตาจนใจ ก่อนจะบิดแขนออกมาจากกรงเล็บปีศาจนั่น
โหลวจวินเหยายิ้ม “มีเจ้าอยู่จะกลัวอะไร?”
พูดจบเขาก็ว่าต่อ “ดูนั่น เราไปขึ้นฝั่งตรงนั้นได้”
ชิงอวี่มองตามทิศที่เขาชี้ไปก็เห็นฝั่ง แต่ด้วยมันมืดมากนางจึงไม่สังเกตเห็น
เห็นดังนั้นชิงอวี่จึงเอ่ยเสียงต่ำ “รีบขึ้นจากน้ำเถอะ ไม่รู้ว่าใต้น้ำจะมีอะไรอยู่บ้าง รีบขึ้นโดยเร็วท่าจะดี”
ทั้งสองเชี่ยวชาญธาตุน้ำ ดังนั้นจึงว่ายไปถึงฝั่งอย่างรวดเร็ว
ทั้งสองยังสวมชุดสีม่วงเหมือนเมื่อตอนมาหุบเขาไร้กังวล โหลวจวินเหยาใช้พลังวิญญาณทำให้ชุดที่เปียกชุ่มแห้งสนิท ไม่นานเนื้อตัวก็สะอาดสะอ้าน จากนั้นเขาก็หันไปมองเด็กสาว พบว่านางหน้าซีดอยู่บ้าง
เขาตกใจอยู่ชั่วขณะ ก่อนจะนึกเรื่องสำคัญออกแล้วสบถเสียงเบาออกมา “บัดซบ แผลเจ้าเปิดหรือ?”
เขาลืมไปได้อย่างไรกัน?
บาดแผลบนหลังนางใหญ่เพียงนั้น นางยังไม่ควรขยับตัวด้วยซ้ำ ทว่านางย้ำแล้วย้ำอีก ให้คำมั่นว่าไม่เป็นไรจนเขาตกลงให้นางเดินทางมาในครั้งนี้ได้ ทว่าที่นางรั้งอยู่ที่ผาทั้งที่รับน้ำหนักคนทั้งคู่เมื่อก่อนหน้าคงจะทำให้แผลเปิดเป็นแน่
อีกทั้งนางตกลงน้ำเย็นเฉียบ ทั้งยังแช่อยู่นาน ไม่ติดเชื้อก็นับว่าโชคดีมากแล้ว
เขาสมควรถูกตีจริง ๆ ไม่น่าไปแกล้งนางเช่นนั้นเลย
โหลวจวินเหยาค่อย ๆ พยุงชิงอวี่ไปที่หินก้อนใหญ่ก่อนพานางนั่งลง ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นแล้วทำท่าจะดึงเสื้อนางออก ทว่าชิงอวี่จับสาบเสื้อตนไว้แน่นแล้วเบิกตากว้างร้องถามเขา “ท่านบ้าไปแล้วหรือ?”
“ข้าแค่จะดูว่าแผลเลือดออกหรือไม่แล้วช่วยใส่ยาให้เจ้า” โหลวจวินเหยาอธิบาย
“แต่ท่านจะมาดึงเสื้อข้าเช่นนี้ไม่ได้! เราอยู่ในที่สาธารณะ หากมีใครมาเห็นเข้าเล่า?” ชิงอวี่เอ่ยเสียงโกรธ
คำของนางกลับทำให้ใครบางคนยินดีเป็นยิ่งนัก สองตาเขาพลันเปลี่ยนเป็นจันทร์เสี้ยว ส่องประกายชั่วร้ายออกมา “เจ้าหมายความว่า….. หากไม่มีใครอื่น ข้าก็สามารถ…..”
“เพ้ย! สามารถบ้านท่านสิ!” ชิงอวี่โกรธจนสะบัดมือเขาทิ้งแล้วผุดลุกขึ้นยืน
คนพาล! ตอนนี้นางพูดอะไร เขาก็บิดคำนางไปเป็นตรงกันข้ามได้หมด
โหลวจวินเหยาเห็นว่านางโกรธเข้าจริง ๆ ก็คลี่ยิ้ม ก่อนจะกดไหล่เบา ๆ ให้นางนั่งลงอีกครั้งแล้วเอ่ยปลอบว่า “เอาล่ะ ข้าไม่แกล้งเจ้าแล้ว เดี๋ยวข้าวางค่ายกลไว้จะได้ไม่มีใครมาเห็นเจ้าได้ หากแผลเจ้าเปิดจริง ๆ ก็ควรทำแผลเสียใหม่ ไม่เช่นนั้นหากติดเชื้อขึ้นมาจะหายช้าได้ ข้าบอกแล้วว่าไม่ให้เจ้ามา แต่เจ้าก็ไม่ฟัง”
ชิงอวี่กัดริมฝีปากตนไม่เอ่ยคำ
โหลวจวินเหยาเอ่ยต่อ “เจ้าจะเขินอายไปไย อย่างไรข้าก็เป็นสหายของท่านแม่เจ้า นับเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ของเจ้าได้ ช่วยเจ้าดูแผลเช่นนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร เจ้าอย่าได้คิดมาก”
เขาอธิบายมาเสียดิบดีจนหากชิงอวี่ยังทำท่ากระดากอายต่อไปก็คงดูไร้เหตุผล อีกทั้งที่เขาว่ามาก็ดูมีเหตุผลอยู่จริง ที่ว่าผู้ใหญ่ดูแลผู้น้อยนั้นเป็นเรื่องปกติไม่เกี่ยงว่าเป็นเพศอะไร
อีกทั้งเขามีท่าทางเคร่งขรึมเช่นนั้นคำพูดจึงดูน่าเชื่อถือ ชิงอวี่จึงไม่คิดสงสัย
แต่นางกลับไม่ทันคิดว่าผู้ใหญ่ที่ไหนเขาจะบังคับผู้น้อยจูบกันเช่นนี้ได้?
ส่วนโหลวจวินเหยาก็ตรวจดูแผลให้นางเป็นเรื่องเป็นราวจริง ๆ เมื่อเห็นว่าแผลที่ก่อนหน้าตกสะเก็ดไปแล้ว ตอนนี้กลับมีเลือกซึมออกมาอีก ไม่รู้นางเอาหลังไปครูดอะไร ตอนไหนสะเก็ดถึงได้หลุดไปแล้ว แค่มองเห็นก็ปวดใจนัก
นางคงกัดฟันอดทนมาตลอด แผลนางอาจจะเปิดก่อนที่จะร่วงลงน้ำมาด้วยซ้ำ แต่นางกลับฝืนทนมาตั้งนาน
เห็นว่าชายหนุ่มไม่เอ่ยคำอยู่นาน นางจึงคิดว่าเป็นเพราะแผลนางเปิดจนน่ากลัวเกินมองกระมัง นางพลันกัดริมฝีปากแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าไม่เป็นไร แผลข้าหายเร็ว อีกสักวันสองวันก็หายดี”
ที่นางว่ามาก็ไม่ผิด ด้วยธาตุไฟในร่างนางมีความสามารถวิเศษนัก มอบพลังฟื้นตัวให้นางมากกว่าคนธรรมดาถึงสิบเท่า แผลเนื้อเฉือนที่ใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะหายกลับใช้เวลาเพียงสิบวันก็เริ่มฟื้นตัว
สายตาโหลวจวินเหยาทะมึนลง ไล้นิ้วไปตามสะเก็ดแผลตะปุ่มตะป่ำผมแผ่นหลังนางเบา ๆ
ชิงอวี่พลันเกร็งร่าง กำลังจะถามว่าเขาใส่ยาให้นางเรียบร้อยหรือยัง แขนคู่ยาวกลับสอดเข้ามาโอบรอบเอวนางไว้ ก่อนน้ำเสียงทุ้มที่แหบน้อย ๆ จะดังขึ้นเสียงเบา “ครั้งหน้าอย่าเอาตนเองไปเสี่ยงอีก เห็นเจ้าได้แผลมากมายเช่นนี้ข้าเจ็บปวดใจนัก”
ได้ยินแล้วชิงอวี่ก็ตัวแดงไปหมด แขนทั้งสองที่อยู่ข้างกายกำแน่นไม่รู้ตัว
นางถอดชุดออกมาเกือบครึ่ง เห็นแผ่นหลังโดยสมบูรณ์ เท่านั้นนางก็เกร็งมากพอแล้ว ตอนนี้เขายังเอนร่างเข้ามาเสียใกล้ชิด นางยิ่งรู้สึกไม่สบายตัวเข้าไปใหญ่ “ข้า….. ข้าไม่เป็นไรจริง ๆ ท่านใส่ยาเสร็จหรือยัง?”
“อืม” โหลวจวินเหยาตอบเสียงเบา จากนั้นรวบเสื้อเด็กสาวขึ้นแล้วหันหลังให้ “สวมชุดให้ดีจะได้ไม่เป็นหวัด”
ชิงอวี่ประหลาดใจอยู่บ้าง เขาไม่ได้หยอกล้อนางอีก ซึ่งก็นับว่าค่อนข้างแปลก
นางรีบสวมชุดแล้วเงยหน้าขึ้นถาม “ตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหนหรือ?”
โหลวจวินเหยามอบไปรอบ ๆ “ผู้คนชอบบอกกันว่าที่ก้นผาปราการเมฆาคล้อยนั้นเต็มไปด้วยอันตรายต่าง ๆ นานา คนที่ตกลงมาไม่อาจรอดชีวิต แต่ดูท่าเราจะมีโชคอยู่บ้าง”
ชิงอวี่เลิกคิ้ว “หรือเขาจะลือกันผิด ๆ?”
“ไม่ผิดไปหรอก ในเมื่อปราการเมฆาคล้อยมีทางเข้าสองทาง ที่ก้นผาย่อมมีประตูคนเป็นและประตูคนตายเหมือนกัน” โหลวจวินเหยาเอ่ยขึ้น “ในน้ำไร้สิ่งใดแปลกประหลาด อีกทั้งตอนเราร่วงลงมาก็ไม่พบอันตรายอะไร แสดงให้เห็นว่าเราร่วงลงมายังประตูคนเป็น”
“งั้นหรือ” ชิงอวี่พยักหน้า “เช่นนั้นจะออกไปได้อย่างไร?”
น้ำเสียงของนางแสดงความไว้เนื้อเชื่อใจและพึ่งพาบุรุษตรงหน้ายิ่ง แต่นางกลับไม่ทันรู้ตัว
โหลวจวินเหยานัยน์ตาเจือรอยยิ้มแทบมองไม่เห็น “ข้าก็ไม่มั่นใจว่าจะออกไปอย่างไรเพราะข้าไม่เคยมาที่นี่มาก่อน แต่หากเดินไปตามทางที่จิตใจบอกให้ไปก็คงไม่ผิดกระมัง”
ชิงอวี่กะพริบตาสองสามที ก่อนจะชี้นิ้วไปยังทิศทางหนึ่ง “ข้ารู้สึกว่ามันเป็นทางนั้น”
บังเอิญนักที่โหลวจวินเหยาก็ชี้ไปทางเดียวกันกับนาง “งั้นเราก็ไปทางนั้น”
เขาและนางเลือกทางเดียวกัน นับว่าใจตรงกันมาก
สองคนจ้องหน้ากันครู่หนึ่ง ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกัน