บทที่ 226 ใครใส่ร้ายเก่งกว่ากัน

ฮ่องเต้เซี่ยเจินทำท่าจะก้าวไปข้างหน้า ราวกับว่าจะเข้าไปชิงตัวไท่ซ่างหวงกลับมาจากมือของกบฏเผยยวนอย่างไรอย่างนั้น

จางตงไหลฟังคำพูดที่ดูเป็นห่วงเป็นใยจากปากของฮ่องเต้เซี่ยเจินยิ้ม ๆ “ฝ่าบาททรงตรัสอะไรเช่นนั้นเล่าพ่ะย่ะค่ะ ไท่ซ่างหวงทรงอยู่ที่นี่สุขสบายดี บรรทมหลับสนิทดี พระวรกายก็แข็งแรงขึ้น ส่วนฝ่าบาท พระองค์ไม่ได้มาช้าไปแค่วันสองวันมิใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ ช้าอีกสักหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอกพ่ะย่ะค่ะ”

รอยยิ้มของจางตงไหลเจิดจ้าเป็นอย่างมาก แต่คำพูดนี้ฟังแล้วกลับเป็นการดูหมิ่นอย่างรุนแรง!

นี่ไม่เท่ากับกำลังบอกว่าฮ่องเต้องค์ปัจจุบันไม่เห็นความสำคัญของพ่อแม่หรอกหรือ? คำว่ากตัญญูโยนทิ้งไปแล้วหรืออย่างไร? เพียงแค่ประโยคนี้ก็ทำให้การที่ฮ่องเต้เซี่ยเจินเดินสามก้าวคารวะหนึ่งครั้งมาอย่างยากลำบากนั้น ล้วนไร้ค่าไปทั้งหมดแล้ว

รอยยิ้มของฮ่องเต้เซี่ยเจินพลันแข็งค้างไปทันที หากเป็นเพียงแค่คนส่งสารทั่วไป ฮ่องเต้เซี่ยเจินคงสามารถเอาชีวิตของเขาได้ทันที แต่จางตงไหลไม่เหมือนกัน ต่อให้เขาจะมีอำนาจสูงที่สุดในแผ่นดิน ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าจางตงไหล เขาก็ไม่สามารถถลึงตาหรือทำหนวดกระดิกได้ และยังคงต้องให้เกียรติจางตงไหลอยู่

ตอนนั้นเองจู่ ๆ จางตงไหลก็ตบปากตัวเอง “ดูปากของกระหม่อมสิพ่ะย่ะค่ะ ฝ่าบาททรงมีพระราชกรณียกิจมากมาย ไท่ซ่างหวงเองก็ชอบความเงียบสงบ จึงไม่อยากรบกวนฝ่าบาท เลยให้คนคุ้มกันมาส่งที่นี่อย่างเงียบ ๆ เพื่อจะได้พักผ่อนได้อย่างสำราญพระทัย ไม่ทราบว่าฝ่าบาทยกกองเกียรติยศมาใหญ่โตเพียงนี้…ด้วยเหตุอันใดหรือพ่ะย่ะค่ะ?”

“…”

ขุนนางทั้งบุ๋นและบู๊ต่างก้มหน้าลงด้วยความละอายแก่ใจ

สิ่งที่ไท่ซ่างหวงต้องการมิใช่ว่าตรงกันข้ามกับสิ่งที่ฝ่าบาทตรัสออกมาหรอกหรือ? ทั้ง ๆ ที่กบฏเผยยวนลักพาตัวมา เหตุใดถึงกลายเป็นคนคุ้มกันไปได้เล่า?

จางตงไหลไม่ให้โอกาสพวกเขาได้พูดอะไร ก็เดินไปตรงหน้าของฮ่องเต้เซี่ยเจินทันที ก่อนจะถอนหายใจออกมาอย่างแผ่วเบาแล้วเอ่ยขึ้น “ฝ่าบาทคงจะยังไม่ทรงทราบ เดิมไท่ซ่างหวงคิดจะกลับเมืองหลวงแล้ว และไม่ต้องการจะรบกวนฝ่าบาท แต่ใครจะคิดว่าระหว่างทางจะเกิดอาการกำเริบขึ้นมา หากไม่ใช่เพราะหย่งกวานโหวเผยยวนก็คงจะเกิดเรื่องใหญ่ไปแล้วพ่ะย่ะค่ะ

โชคดีที่ไท่ซ่างหวงได้มีการเตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้า ก่อนหน้านี้ฝ่าบาททรงกังวลที่ท่านโหวเผยยวนล้มป่วย เลยแบ่งกองทัพทหารเกราะเหล็กออกไปใช่หรือไม่พ่ะย่ะค่ะ ทว่าบัดนี้ท่านโหวกลับมาแล้ว ไท่ซ่างหวงเกรงว่าคนนอกจะกล่าวหาว่าราชวงศ์เลือดเย็น จึงได้เรียกคนกลับมาหมดแล้ว ฝ่าบาทดูสิพ่ะย่ะค่ะ ชายชาตรีมากมายเฝ้าอารักขาไท่ซ่างหวงอยู่ที่นี่ทุกวัน หากราษฎรรู้เข้า ใครบ้างจะไม่บอกว่าฝ่าบาททรงกตัญญูจนสะเทือนสวรรค์ อีกทั้งหย่งกวานโหวก็มีความซื่อสัตย์และกล้าหาญ”

ฮ่องเต้เซี่ยเจินไม่มีจังหวะให้พูดแทรกได้เลย จนกระทั่งจางตงไหลหยุดพูด พลางมองหน้าเขาแล้วเอ่ยอย่างเป็นมิตร “ฝ่าบาทว่าจริงหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ และกระหม่อมเห็นว่าการที่ท่านโหวมาได้ถูกเวลาพอดิบพอดีเช่นนี้ เมื่อครุ่นคิดดูแล้วก็คิดว่าจะต้องเป็นพระราชประสงค์ของฝ่าบาทเป็นแน่ หากไม่ใช่เพราะฝ่าบาททรงเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า กระหม่อมก็คงไม่รู้ว่าจะต้องทำเช่นไรจริง ๆ พ่ะย่ะค่ะ”

เอ่ยจบจางตงไหลก็ล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมา และกำลังจะหลั่งน้ำตาแห่งความขมขื่น เพื่อแสดงให้เห็นว่า คนแก่เพียงสองคนนี้เดินทางกลับเมืองหลวงด้วยความยากลำบากเพียงใด อีกทั้งยังเกือบไม่มีชีวิตรอดกลับไป เพราะระหว่างทางไม่มีใครรู้ฐานะของพวกเขา ลูกชายแท้ ๆ ก็ทำเพียงนั่งอยู่ในราชสำนักไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร

ตอนนี้มีสองทางเลือกสำหรับฮ่องเต้เซี่ยเจิน ทางแรกยอมรับความผิดฐานอกตัญญูและเสร็จศึกก็ฆ่าขุนพลทิ้งเสีย ส่วนอีกทางคือรับสมอ้างอย่างหน้าด้าน ๆ ว่าเขาเป็นคนเตรียมการเอาไว้ล่วงหน้า และเป็นเขาที่ให้เผยยวนมาคอยคุ้มกันไท่ซ่างหวง ขณะเดียวกันยังสามารถสยบข่าวลือที่บอกว่า ฝ่าบาทคิดจะกำจัดเผยยวนได้อีกด้วย

ควรเลือกเช่นไรนั้น ทั้งหมดล้วนขึ้นอยู่กับคำตอบของฮ่องเต้เซี่ยเจินแล้ว

แต่ฮ่องเต้เซี่ยเจินไหนเลยจะยอมถูกคนจูงจมูก? จางตงไหลจะลำเอียงเกินไปแล้ว

ความลำบากที่ประสบมาตลอดทาง หากเป็นเพราะไท่ซ่างหวงสั่งสอนเขาเพื่อเผยยวนจริง ๆ เช่นนั้นเขาก็ต้องกำจัดเผยยวนให้จงได้!

จางตงไหลเองก็ไม่รีบร้อน มองดูฮ่องเต้เซี่ยเจินอยู่เช่นนั้น

เนิ่นนานกว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินจะเอ่ยขึ้นมา “เรื่องนี้รอข้าพบเสด็จพ่อแล้วค่อยว่ากันเถอะ ครั้งนี้ข้ายังพาหัวหน้าสำนักหมอหลวงมาด้วย ในนั้นมีคนเก่าคนแก่ที่เคยรักษาให้เสด็จพ่อมาก่อน เสด็จพ่อออกจากเมืองหลวงมานานเช่นนี้ ข้าเป็นห่วงพระวรกายของเสด็จพ่อจริง ๆ”

รอยยิ้มของจางตงไหลหุบลงทันที ก่อนจะยืดตัวตรงขึ้นมา การกระทำเช่นนี้ของฮ่องเต้เซี่ยเจินก็เป็นสิ่งที่จางตงไหลคาดการณ์เอาไว้แล้ว ในเมื่อฮ่องเต้เซี่ยเจินดึงดันจะเลือกทางนี้ให้ได้ เช่นนั้นเขาก็จะไม่ไว้พระพักตร์ของพระองค์อีก

จางตงไหลทำเสียงจิ๊ปากออกมา ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงลำบากใจ “ฝ่าบาทเสด็จมาที่นี่อย่างยากลำบาก จิตใจที่ทรงอยากจะพบไท่ซ่างหวงนั้นกระหม่อมทราบดี แต่เมื่อเช้านี้ไท่ซ่างหวงทรงดูปฏิทินและบอกว่า วันนี้ไม่ค่อยดีนัก ไม่อยากให้มีความขุ่นมัวเข้ามารบกวนการพักผ่อนของพระองค์ หรือไม่ฝ่าบาททรงพักผ่อนอยู่ใกล้ ๆ แถวนี้ก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาคารวะเถอะพ่ะย่ะค่ะ”

ใกล้ ๆ? ใกล้ ๆ แถวนี้มีที่พักที่ใดกัน นอกจากทุ่งนาก็เป็นป่า หรือไม่ก็ริมแม่น้ำ

เมื่อที่แห่งนี้เงียบสงบลง นอกจากเสียงนกร้องก็มีแต่เสียงหมาเห่า ห่างไกลจนแม้แต่ถนนหลวงก็ยังมาไม่ถึง

จางตงไหลคิดว่าตนเองพูดไปจนหมดแล้ว ฮ่องเต้เซี่ยเจินก็ควรจะรู้พระองค์เองบ้างและรีบไสพระเกศาไปซะ แต่ใครจะคิดว่าสุนัขเมื่อได้เป็นฮ่องเต้นาน ๆ แล้ว กลับคิดว่าคนทั้งใต้หล้าจะต้องทำตามความคิดของเขา

“ในเมื่อเสด็จพ่ออยู่ที่นี่ หากข้าไม่ได้พบเสด็จพ่อเพื่อคารวะพระองค์ ในใจย่อมยากจะสงบลงได้ เพียงแต่อัครมหาเสนาบดีหานที่อยู่ข้างกายข้า…และยังมีแม่ผู้ให้กำเนิดของหย่งกวานโหว เหตุใดจึงคุกเข่าอยู่ที่นี่ด้วยเล่า?”

กำลังรออยู่พอดี? คิดจะใช้เรื่องแค่นี้โยนความผิดให้เผยยวนอย่างนั้นหรือ?

จางตงไหลจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ฝ่าบาท เดิมเรื่องนี้กระหม่อมก็ไม่อยากจะพูด แต่ในเมื่อพระองค์ทรงตรัสถาม เช่นนั้นกระหม่อมก็จะไม่เกรงพระทัยอีก อัครมหาเสนาบดีหานถึงกับส่งคนมาลอบปลงพระชนม์ไท่ซ่างหวง ส่วนท่านหญิงซ่างหยางก็ดูถูกเหยียดหยามไท่ซ่างหวง หากไม่ใช่เพราะไท่ซ่างหวงของเรามีเมตตา เกรงว่าคงต้องตายเพราะโมโหสองคนนี้ไปนานแล้ว”

ราวกับกลัวว่าฮ่องเต้เซี่ยเจินจะไม่เชื่อ จางตงไหลจึงดีดนิ้วขึ้น พลพรรคตัวเลขต่างก็รีบวิ่งเข้ามาโดยพร้อมเพรียง “ฝ่าบาท อัครมหาเสนาบดีหานให้พวกเรามาลอบปลงพระชนม์ไท่ซ่างหวง แต่พวกเรารู้ว่าทำผิดไปแล้ว ขอฝ่าบาทไว้ชีวิตพวกเราด้วยเถิดพ่ะย่ะค่ะ”

หานเหล่ยแม้จะถูกมัดเอาไว้และพูดไม่ได้ แต่เมื่อเห็นจางตงไหลกลับดำเป็นขาวเช่นนี้ ก็โมโหจนแทบจะกระอักเลือดออกมา

จวนจี้กั๋วกงไร้ความรู้สึกมานานแล้ว จึงไม่มีปฏิกิริยาอะไรมากนัก กลับเป็นท่านหญิงซ่างหยางที่กินพิษโลหิตเข้าไป ท่าทางจึงผิดไปจากคนปกติ ปากก็พึมพำคำว่าเผยเกอไม่หยุด

หานเหล่ยโกรธจนใบหน้าแดงก่ำ เขาอยากจะดิ้นให้หลุดจากเชือกป่านนี้แล้วลุกขึ้นมาโต้เถียงกับพวกเขาจริง ๆ

พลพรรคตัวเลขต่างมองหน้ากัน การแสดงของเจ้าเมื่อครู่เกินจริงไปเยอะเลย!

เจ้าดีกว่าข้าสักเท่าใดกัน?

ต่างก็ไม่มีใครยอมใคร แต่มีอย่างหนึ่งที่พวกเขาคิดเหมือนกันนั่นก็คือ ไม่ได้มีแต่พวกเจ้าที่โยนความผิดให้ผู้อื่นเป็น!

พวกเราโยนให้แล้ว เจ้าก็อย่าคิดว่าจะปัดออกได้ง่าย ๆ!

จางตงไหลเอ่ยด้วยความเคียดแค้นชิงชัง “เฮ้อ ตอนแรกไท่ซ่างหวงได้ยินว่าอัครมหาเสนาบดีหานมาด้วยตนเอง จึงได้ยอมให้เขาเข้าพบ แต่ใครจะคิดว่าอัครมหาเสนาบดีหานกลับมีนิสัยโฉดชั่วราวกับหมาป่าเช่นนี้ คิดจะสังหารไท่ซ่างหวงให้ตาย ไม่รู้ว่าไท่ซ่างหวงทรงไปขวางหูขวางตาใครเข้า ลำบากอย่างไรก็จะลอบสังหารพระองค์ให้ได้เช่นนี้?”

สายตาของจางตงไหลชำเลืองไปทางฮ่องเต้เซี่ยเจิน

ในใจของฮ่องเต้เซี่ยเจินราวกับมีคลื่นลูกใหญ่ หานเหล่ยผู้นี้เสียสติไปแล้วหรือ? เขายังคิดว่าหานเหล่ยถูกเผยยวนจับตัวไปเสียอีก ตอนนี้กลับบอกว่าหานเหล่ยจะมาลอบสังหารไท่ซ่างหวงจึงถูกจับไว้ที่นี่อย่างนั้นหรือ?

หากว่าข่าวนี้แพร่ออกไป คนภายนอกจะคิดเช่นไร!?

หากตอนนี้ฮ่องเต้เซี่ยเจินมีดาบอยู่ในมือ จะต้องฟันหานเหล่ยเป็นคนแรกอย่างแน่นอน

“เอ่อ…เอ่อมีเรื่องอะไรเข้าใจผิดกันหรือไม่ขอรับ?” เจียงเต๋อเอ่ยแทรกขึ้นมาด้วยความหวั่นเกรง

ทว่าตอนที่จางตงไหลอยู่ในราชสำนัก เจียงเต๋อยังเป็นแค่ขันทีตัวเล็ก ๆ ที่คอยปรนนิบัติฮ่องเต้เซี่ยเจินเท่านั้น แค่จะสบตากับจางตงไหลก็อกสั่นขวัญแขวนแล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการเอ่ยถามใด ๆ

“เข้าใจผิดอย่างนั้นหรือ? ลอบสังหารไท่ซ่างหวงเป็นแค่เรื่องเข้าใจผิดได้อย่างนั้นหรือ!? เอาล่ะ ท่าทีของฝ่าบาท กระหม่อมรับทราบแล้ว กระหม่อมจะทูลไท่ซ่างหวงตามความจริง ฝ่าบาทเชิญตามสบายเถิดพ่ะย่ะค่ะ!” ในเมื่อเอ่ยจบแล้ว จางตงไหลก็อยากจะกลับไปกินมื้อเช้าเสียที ส่วนพวกฮ่องเต้เซี่ยเจินก็เชิญคิดให้หัวแตกไปเถอะ ว่าความจริงแล้วเกิดปัญหาอะไรขึ้นกันแน่

.

.

.