ตอนที่ 311 สอนเด็กอย่างไรให้เสียคน

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 311 สอนเด็กอย่างไรให้เสียคน

ฉินหลิวซีปล่อยผีสาวแซ่เหลียงตนนี้ไป ทำให้นางประหลาดใจเล็กน้อย

“ท่าน ท่านปล่อยข้าไปหรือ” เหลียงซื่อเบิกตาโต

ฉินหลิวซีถามกลับว่า “ทำไมหรือ ไม่ปล่อยเจ้าไป หรือจะให้ข้ารั้งเจ้าไว้กินมื้อเย็นด้วยกัน”

“ไม่ใช่ ท่านรู้ว่าข้าจะไปทำสิ่งใด แต่ก็ปล่อยข้าไปหรือ” เหลียงซื่อเม้มริมฝีปากแล้วเอ่ย “นักพรตเฉิงหยางผู้นั้นบอกว่า ‘ปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋า’ ท่านไม่ใช่นักพรตเต๋าหรือ”

“เจ้าเห็นว่าข้าเป็นคนดีที่ยินดีทำงานโดยไม่รับเงินหรือ ไม่มีผลประโยชน์ แล้วข้าจะเอาเวลาว่างไปทำงานนี้ทำไมหากไม่ได้รังเกียจว่าเตียงไม่นุ่มพอหรืออาหารไม่อร่อย” ฉินหลิวซีแสยะยิ้ม “ในเมื่อไม่มีใครเสนอเงินให้ข้าลงมือ ข้าอยู่ว่างๆ หาอะไรอย่างอื่นทำไม่ดีกว่าหรือ”

เหลียงซื่อรู้ถึงความหมายที่ซ่อนอยู่ในคำพูดของนาง จึงคุกเข่าลงกับพื้นกราบคำนับนาง

“ข้าขอบคุณท่านอาจารย์ที่มีความเมตตา”

“ข้าไม่ได้มีความเมตตา ข้าเพียงเห็นแก่ผลประโยชน์และคิดตามหลักความเป็นจริง ดังนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องยกย่องข้า ข้าจะไม่ถือสาเรื่องที่เจ้าบุกเข้ามาในลานนี้ ไปจากที่นี่เถิด” ฉินหลิวซีเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “การฆ่าคนในคืนเดือนดับมีลมแรง เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมเสียจริง ไม่รู้ว่าเมื่อใดปรมาจารย์เฉิงหยางผู้นี้จะสามารถพิสูจน์ตัวเองได้ว่าเขาไม่ใช่ขโมย”

ดวงตาเหลียงซื่อเป็นประกาย

คำพูดของฉินหลิวซีไม่มีอะไรมากไปกว่าการเตือนนางว่าเมื่อปรมาจารย์เฉิงหยางพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้แล้ว เขาจะต้องกลับไปหาสุนัขเลวจย่าเพื่อจัดการกับนางอย่างแน่นอน

นางมีเวลาไม่มากแล้ว

เหลียงซื่อกราบคำนับฉินหลิวซีอีกครั้ง “ความเมตตากรุณาของท่านอาจารย์มิอาจตอบแทนได้ ชาติหน้าขอเป็นวัวเป็นม้ารับใช้ตอบแทนท่านอาจารย์”

แวบ

เหลียงซื่อหายไปแล้ว

ทันทีที่นางจากไป เถิงเทียนฮั่นก็รู้สึกถึงความแตกต่างของบรรยากาศทันที ไม่ได้รู้สึกหนาวเช่นนั้นแล้ว เมื่อนึกถึงคำพูดของฉินหลิวซีอีกครั้ง เขาก็มีแววตาเฉียบคม

“วิญญาณสตรีที่ตายอย่างไม่ยุติธรรมผู้นั้นไปแล้วหรือ ไปแก้แค้นคุณชายตระกูลจย่าผู้นั้น”

ฉินหลิวซียิ้มมุมปาก “หากใต้เท้าห่วงใยราษฎร ก็ควรเคลื่อนไหวให้รวดเร็วหน่อย หรือปล่อยปรมาจารย์เฉิงหยางผู้นั้นให้เขาไปช่วยราษฎร มิเช่นนั้นในวันรุ่งขึ้น เกรงว่าผู้คนในเมืองจะมีเรื่องให้พูดคุยกันเพิ่มขึ้นมาอีก บุตรชายคนเดียวของตระกูลจย่าเสียชีวิตอย่างอนาถ ทวงคืนความยุติธรรมแก่วิญาณที่ถูกทำร้าย”

เถิงเทียนฮั่นสีหน้าเปลี่ยนไป “ท่านไม่ห้ามนาง!”

“ทำไมข้าต้องห้าม” ฉินหลิวซีสีหน้าเย็นชา

เถิงเทียนฮั่นถูกถามกลับก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร

“มีประโยคหนึ่งที่นางพูดถูก ‘สวรรค์ไม่ยุติธรรมกับข้า ในโลกมนุษย์ก็ไม่มีใครเรียกร้องความเป็นธรรมให้ข้า เช่นนั้นก็ต้องลงมือด้วยตัวเอง’ ” ฉินหลิวซีมองไปที่เขา กล่าวว่า “ใต้เท้า เจ้าหน้าที่ปกป้องนางไม่ได้ ช่วยเหลือนางไม่ได้ เช่นนั้นนางก็ทำได้เพียงช่วยเหลือตัวเอง”

เถิงเทียนฮั่นสั่นสะท้านไปทั้งตัว

“แล้วไหนจะคนแซ่จย่าผู้นั้นอีก ใต้เท้าคิดว่าโทษของเขาไม่ควรถึงตายหรือ หากไม่ใช่ เช่นนั้นในเมื่ออย่างไรก็ต้องตาย จะตายด้วยน้ำมือใคร แล้วมันต่างกันตรงไหน” ฉินหลิวซีเอ่ยเสียงเรียบ “หรือใต้เท้าคิดว่าข้ามาจากลัทธิเต๋า และเป็นดั่งที่ปรมาจารย์เฉิงหยางผู้นั้นกล่าวไว้ว่าต้องปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋า ขับไล่ปีศาจวิญญาณชั่วร้ายทั้งหมดอย่างนั้นหรือ หากคิดเช่นนี้ ใต้เท้าก็คิดผิดแล้ว คนอย่างข้าไม่ได้สูงส่งเพียงนั้น”

เถิงเทียนฮั่นเม้มริมฝีปาก ไม่รู้จะกล่าวอะไร

“ใต้เท้าอาจบอกว่านี่เป็นคดีที่ไม่เป็นธรรม ควรอิงตามกฎหมายต้าเฟิงมาตัดสินโทษของสุนัขเลวจย่า แต่บางครั้งผู้ที่ตกเป็นเหยื่อก็ต้องการยุติความแค้น มิเช่นนั้นหากความแค้นของพวกเขาไม่ยุติลง ตายไปก็ไม่มีทางไปเกิดได้ ใต้เท้า เป็นมนุษย์นั้นยาก แต่เป็นผีที่มีความขุ่นเคืองก็ไม่ง่ายเช่นกัน ในสายตาของใต้เท้าความยุติธรรมและความถูกต้องถูกกำหนดโดยกฎของต้าเฟิง แต่ในสายตาของข้า ความยุติธรรมและความถูกต้องคือการทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” ฉินหลิวซีเงยหน้ามองเขา “ใต้เท้ากับข้าอาจมีความคิดแตกต่างกัน แต่ข้ามีสิ่งหนึ่งต้องเอ่ย ไม่ว่าความคิดของเราจะแตกต่างกันเพียงใด แต่เจาเจาก็ยังคงต้องเข้าร่วมสำนักของข้า”

เถิงเทียนฮั่น “!”

ไยคนผู้นี้จึงได้เป็นเช่นนี้เล่า

ฉินหลิวซีก้มมองเถิงเจา ลูบศีรษะของเขา “วางใจเถิด บิดาของเจ้าคือบิดาของเจ้า เจ้าคือเจ้า ต่อให้พวกเราไม่ลงรอยกัน แต่เจ้าก็ไม่อาจหลบหนีการเป็นศิษย์ของข้าได้”

เถิงเจาหันกลับเข้าไปในห้อง

ฉินหลิวซียิ้ม โบกมือให้เถิงเทียนฮั่นแล้วเดินตามเข้าไป นางต้องไปล้างสมองศิษย์ตัวน้อย ไม่ใช่สิ เรียกว่าปลูกฝังแนวคิดอันถูกต้องต่างหาก

ทันทีที่เข้ามา ฉินหลิวซีก็สะบัดรองเท้าออก นั่งขัดสมาธิบนเตียงหลัวฮั่น ถามว่า “เจ้าเข้าใจสิ่งที่ข้ากับบิดาเจ้าพึ่งคุยกันหรือไม่”

เถิงเจาไม่เอ่ยอะไร เอาแต่จ้องมองรองเท้าที่นางสะบัดทิ้งไปคนละทิศคนละทาง ซ้ำยังกลับด้าน

เขาอึดอัดเป็นอย่างมาก รู้สึกไม่สบายใจ

บังคับให้ตัวเองละสายตาไปทางอื่น อีกสักพักก็หันกลับมามองอีกครั้ง สุดท้ายก็ลงจากเตียง หยิบรองเท้ากลับมาวางอย่างเรียบร้อยตรงหน้าเตียงหลัวฮั่น ในตำแหน่งที่เมื่อลงจากเตียงก็สามารถสวมได้ทันที เป็นระเบียบเรียบร้อย

ฉินหลิวซีเห็นดังนั้นก็กลอกตา เคาะโต๊ะอีกครั้ง “ฟังเข้าใจหรือไม่”

เถิงเจามองไปที่นาง ผ่านไปนานกว่าจะพยักหน้าอย่างช้าๆ จากนั้นก็วางตัวหมากรุก 艾琳小說

“เจ้าคิดว่าอย่างไร” ฉินหลิวซีอยากรู้ หยิบหมากสีดำขึ้นมาแล้วเริ่มเล่นหมากรุกกับเขา

ทันทีที่นางหยิบหมากสีดำ เถิงเจาก็นั่งตัวตรง หยิบหมากสีขาวขึ้นมา เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชาราวกับสายน้ำ “แก้แค้น”

ฉินหลิวซีกล่าวว่า “คนเสวียนเหมินยึดถือการปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋าเป็นหน้าที่ของตัวเอง ตามคำพูดของปรมาจารย์เฉิงหยาง เหลียงซื่อเป็นคนที่ตายไปแล้ว กลายเป็นผี ตอนนี้นางต้องการสร้างความวุ่นวายทำร้ายผู้คน ในฐานะนักพรตผู้บำเพ็ญเพียรของเสวียนเหมิน ควรยุติความวุ่นวาย ปราบสิ่งชั่วร้ายกำจัดปีศาจ จึงจะเป็นวิธีที่ถูกต้อง”

เถิงเจาเงยหน้าขึ้นมอง “ท่านไม่ใช่ ท่านไม่ได้ทำ” ซ้ำนางยังปล่อยผีตนนั้นไป

ฉินหลิวซียิ้มเล็กน้อย “เพราะว่าในสายตาข้า คนเป็นกับคนตายไม่มีความแตกต่างกัน ใครว่าคนเป็นต้องสำคัญที่สุดกันล่ะ คนทำชั่วย่อมถูกคนชั่วเอาคืน คนชั่วบางคนการกระทำไม่ต่างจากผีร้าย คนเช่นนี้ไม่ควรช่วย เพราะว่าการที่ช่วยเขาหนึ่งคน จะทำให้มีคนน่าเวทนาอย่างเหลียงซื่อและบุตรของนางที่ต้องตายอีกมากมาย ดังนั้นไม่ว่าเหลียงซื่อจะเป็นผีหรือคน ในสายตาของข้านางเป็นเพียงคนที่น่าเวทนา มีความโกรธแค้นขุ่นเคืองก็เอาคืน ยุติธรรมจะตายไป ในเมื่อยุติธรรมข้าก็จะไม่เข้าไปยุ่ง ปล่อยเขาไปตามเวรกรรม”

เถิงเจา “…”

สักพักเขาก็ถามขึ้นมาว่า “ดังนั้นเต๋าคือสิ่งใด”

ฉินหลิวซีวางหมากรุกสีดำอย่างรวดเร็ว กล่าวว่า “ในคัมภีร์ลัทธิเต้าเต๋อจิง กล่าวไว้ว่า ‘มีบางสิ่งปะปนกันซึ่งมีอยู่ก่อนที่ฟ้าดินจะก่อตัวขึ้น ไม่ได้ยินเสียง มองไม่เห็นรูปร่าง เงียบสงบ ว่างเปล่า ไม่อาศัยพลังภายนอกใดๆ ดำรงอยู่อย่างอิสระหมุนเวียนไป ไม่มีวันสูญสิ้น เรียกได้ว่าเป็นรากฐานของสรรพสิ่ง ข้าไม่รู้จักชื่อของมัน ดังนั้นจึงจำใจเรียกมันว่า ‘เต๋า’ ”

“ท่านคิดอย่างไร” เห็นได้ชัดว่าเถิงเจาไม่พอใจกับคำตอบนี้ เอาแต่จ้องมองนาง เขารอดูความคิดของนางเท่านั้น

ฉินหลิวซียกมือทั้งสองข้างขึ้นมาเท้าคาง เอ่ย “ความคิดของข้าน่ะหรือ เต๋าก็คือเต๋าในความคิดของข้า”

“ของท่าน?”

ฉิวหลิวซีพยักหน้า “เต๋าของข้าก็คือ หากอดทนได้ก็อดทน หากทนไม่ได้ก็ลุย! หากละเลยได้ก็ละเลย หากละเลยไม่ได้ก็ลุย! ดีมาก็ดีกลับ หากผู้คนบีบบังคับให้ข้าต้องร้าย เช่นนั้นข้าก็จะร้าย!”

ครืน ครืน

ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าร้องสองครั้ง

หากเอ่ยถึงเรื่องการสั่งสอนเด็กให้เสียคน เจ้าศิษย์ทรยศผู้นี้ชำนาญด้านนี้เป็นอย่างดี

เถิงเจากำลังตะลึงงันก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงฟ้าร้อง มองออกไปนอกหน้าต่าง ฝนจะตกหรือ

ฉินหลิวซีสีหน้าลำบากใจ เคาะโต๊ะแล้วจึงเอ่ย “นี่คือเต๋าของข้า ส่วนเต๋าของเจ้าคืออะไร หลังจากที่เจ้าฝึกบำเพ็ญเต๋าแล้ว ก็ถามใจของเจ้าดู”

เถิงเจาเม้มริมฝีปาก “เต๋าต้องฝึกฝนอย่างไร”

“เลือกสิ่งที่ดีแล้วปฏิบัติตาม ความรู้อยู่ในตำรา ใช้มันไปในทางที่ถูก สิ่งนี้คือการฝึกบำเพ็ญ” ฉินหลิวซีมองไปที่เขา เอ่ย “และการทำความดีสะสมบุญก็คือการบำเพ็ญเต๋า ความดีที่เจ้าทำจะกลายเป็นบุญตอบแทนแก่เจ้า ดั่งที่ข้าเอ่ยกับบิดาของเจ้าไว้ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เจ้าจงจำไว้”

เถิงเจาเอียงศีรษะพลางครุ่นคิด

ฉินหลิวซีเอ่ยต่ออีกว่า “สิ่งที่ข้าเอ่ยในคืนนี้ล้วนเป็นคำสอนเต๋าเชิงทฤษฎี ส่วนความเป็นจริงในทางปฏิบัตินั้น หลังจากที่ติดตามอาจารย์เป็นเวลานานเจ้าจะรู้เอง”

ต่อมาเถิงเจาก็ได้เข้าใจแล้วว่าเต๋าในความเป็นจริงของนางนั้นคือสองมาตรฐาน