บทที่ 219 เกลี้ยกล่อมให้หย่าอย่างจริงจัง

สำรับมนตราของชายาอ๋อง

บทที่ 219 เกลี้ยกล่อมให้หย่าอย่างจริงจัง

“เจ้าคิดอย่างไรกับข้า ตอนนี้เจ้ามีลูกกับโม่หรู่แล้ว เจ้าช่วยเขียนจดหมายหย่ากับเขาอีกครั้ง และมาเป็นฮูหยินของอ๋องจั่วเสียนได้หรือไม่?”

หมี่เฉินอี้พูดคำเหล่านี้อย่างใจเย็นและสงบนิ่ง จนฉินปู้เข่อคิดว่าตนเองกำลังหลับฝันอยู่

แต่ ‘การสนทนาในฝัน’ นี้ทำให้นางตัวสั่นจนเกือบจะลุกขึ้นนั่ง

เหตุผลที่ต้องบอกว่าเกือบก็เพราะว่าในขณะที่นางกำลังจะลุกขึ้น แขนข้างหนึ่งของหมี่เฉินอี้ทับและตรึงนางไว้กับเตียง

หรือว่า… จะแกล้งหลับตอนนี้?

ฉินปู้เข่อรีบหลับตาลง ร่างกายของนางตึงเครียดอย่างสมบูรณ์

ให้ตายเถอะ! เหตุใดข้าถึงไม่รู้ว่าหมี่เฉินอี้มีความคิดเช่นนี้อยู่?!

ชายผู้นี้ซ่อนความรู้สึกในใจได้แนบเนียนมาก เขารอพูดเช่นนี้กับนางหลังคลอดด้วยน้ำเสียงที่คุ้นเคย

“หืม!?” เขาถาม

ฉินปู้เข่อจิกผ้าห่มไว้แน่นและท่องอยู่ในใจว่า ข้าผล็อยหลับไปจึงไม่ได้ยิน ข้าผล็อยหลับไปจึงไม่ได้ยิน…

ในความมืดมิด หมี่เฉินอี้มองไปยังสตรีที่หลับตาอยู่ข้างเขา ขนตาของนางยังคงสั่น และร่างกายของนางใต้แขนของเขาก็แข็งทื่ออย่างไม่น่าเชื่อ และเขาก็อดไม่ได้ที่จะพลิกตัวขึ้นคร่อมร่างของฉินปู้เข่อ

หลังจากได้ยินว่านางตั้งครรภ์ เขาก็ตัดสินใจกลับไปที่ชายแดนเพื่อทำเป็นไปตรวจการณ์ ซึ่งไม่ใช่เพื่ออย่างอื่นแต่จงใจหลบหน้านาง เพื่อดูว่านางจะพะวงหรือไม่หากเขาไปอยู่ห่างไกล

นางแต่งงานแล้วและยังเป็นหลานสะใภ้ของเขาด้วย เป็นความจริงที่เขาสัญญากับอาเหิงในตอนนั้นว่าจะดูแลโม่หรู่ แต่เขาไม่ต้องการดูแลภรรยาของหลานชายบนเตียงตามลำพัง!

หมี่เฉินอี้เชื่อว่าตัวเองไม่ใช่สุภาพบุรุษแสนดี แต่เขาก็ไม่สามารถก้าวข้ามอุปสรรคของตัวตนได้ แม้ว่าเขาจะแก่กว่าโม่หรู่ เพียงเจ็ดหรือแปดปี แม้ว่าเขาจะคิดว่าตัวเองยังเด็กมาก แม้ว่า…

ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เขาได้ให้เหตุผลมากมายแก่ตัวเองเพื่อโน้มน้าวตัวเองว่าเขาสามารถต่อสู้เพื่อสิ่งนี้ได้ แต่ในขณะเดียวกันก็มีเหตุผลมากมายที่บอกตัวเองว่าอย่าล้ำเส้น

แต่คืนนี้ทันทีที่เขาสัมผัสนางและกอดนางไว้ในอ้อมแขน เหตุผลทั้งหมดก็พังทลายลง

ลมหายใจอันหนักหน่วงของชายหนุ่มอยู่ใกล้แค่เอื้อม ในที่สุดฉินปู้เข่อก็อดไม่ได้ที่จะขยับมือ

นางเอื้อมมือไปปิดปากของชายหนุ่มที่กำลังจะเข้ามาใกล้นาง ด้วยความเสียใจ ผิดหวังและหมดหนทาง “หมี่เฉินอี้ ข้าผิดหวังในตัวท่านยิ่งนัก!”

หมี่เฉินอี้ไม่กล้าเคลื่อนไหวอีกต่อไป และชะงักนิ่งปล่อยให้นางปิดปากของเขา มือเล็ก ๆ ของนางนุ่มและอ่อนโยนมาก จนเขาแทบจะอดใจเลียมันไม่ได้

ไม่น่าแปลกใจที่โม่หรู่จะหาเหตุผลขับไล่สตรีอื่นออกจากตำหนัก ไม่น่าแปลกใจที่โม่หรู่ต้องการให้นางอยู่เคียงข้างเขาเพียงคนเดียว ไม่มีใครสามารถต้านทานสาวน้อยที่น่ารักและน่าดึงดูดใจเช่นนี้ได้!

ฉินปู้เข่อไม่รู้ว่าชายตรงหน้านางกำลังคิดอะไรอยู่ นางจึงพูดว่า “หมี่เฉินอี้ ท่านรู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าถึงเรียกท่านว่า ‘เสด็จอา’ เหมือนกับโม่หรู่ ก็เพราะข้าปฏิบัติต่อท่านเหมือนท่านเป็นอาของข้า เหมือนญาติผู้อาวุโสของข้า แต่ท่านกลับอยากนอนกับข้าอย่างนั้นหรือ? ลองถามตัวเองดูสิว่ามันโสมมหรือไม่? เรื่องนี้มันกำลังจะถลำลึก ท่านรู้หรือไม่ว่าโทษของคนที่ ‘ร่วมประเวณีระหว่างเครือญาติ’ ในสมัยโบราณคือการถูกจับยัดในกรงหมู”

“เอ๊ะ ท่านก็เป็นคนในยุคโบราณอยู่แล้ว ดังนั้นท่านจะต้องถูกจับยัดในกรงหมู และคืนนี้ท่านหื่นกระหายเพราะราคะในใจของท่าน หรือเป็นแผนการชั่วร้ายที่วางแผนไว้นานแล้วกันแน่?! เอ๊ะ มันยากที่จะกันขโมยทั้งกลางวันและกลางคืน ข้าทำอะไรลงไปนะ จู่ ๆ ท่านถึงมาบอกว่าอยากจะแต่งงานกับข้า ชอบอะไรในตัวข้าหรือ ข้าจะได้เปลี่ยนทันที!”

หมี่เฉินอี้ “…”

‘เฮ้อ’ เขาลุกขึ้นนั่งจับแก้มและขมวดคิ้วด้วยความสำนึกผิด พลางทบทวนตนเอง “เจ้าพูดถูก ข้าคิดว่าข้าถูกผีเข้า!”

ฟึ่บ!

เมื่อพูดเช่นนั้นแล้ว หมี่เฉินอี้ก็ยกมือขึ้นปิดปากและพูดอย่างหงุดหงิด “เหตุใดข้าถึงไม่อาจอดกลั้นและพูดสิ่งที่อยู่ในใจออกมา”

ฉินปู้เข่อก็ลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วแล้ววางผ้าห่มลงบนพื้น และจ้องหมี่เฉินอี้ด้วยความโกรธจัด “หมี่เฉินอี้ ท่านแค่เสียใจกับสิ่งที่ท่านพูดออกมาหรือ ไม่มีอะไรอย่างอื่นอีกแล้วหรือ?!”

ชายบนเตียงก้มศีรษะและถอนหายใจ “ข้าไม่ควรคิดเกินเลยกับหลานสะใภ้ของข้า ซึ่งทำให้ข้าสูญเสียมาตรฐานของผู้อาวุโสไป”

“ถูกต้อง” ฉินปู้เข่อปรบมือ “หากท่านรู้ตัวว่าผิดก็จงแก้ไขให้ถูกต้อง มีสุภาษิตโบราณกล่าวไว้ว่า ‘รู้ผิดแล้วแก้ไขนับว่าเยี่ยมนัก’ หม่อมฉันคิดว่าเสด็จอาไม่ได้แตะต้องสตรีมาเป็นเวลานานจึงมีความกระหาย ไม่ต้องกังวลนะ เมื่อหม่อมฉันพบลูกและออกไปได้แล้ว หม่อมฉันจะพาท่านไปร่ำสุราที่หอคณิกาที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหลวง แล้วเรียกดาวเด่นของที่นั่นมาปรนนิบัติท่าน!”

เมื่อฉินปู้เข่อรู้สึกว่าการสอนที่จริงจังของนางได้ผล ผู้ชายที่อยู่บนเตียงก็พูดอีกครั้งว่า “ข้าไม่ต้องการนอนกับใคร นอนได้แล้ว”

“ท่านยังคิดจะนอนข้างหม่อมฉันอยู่อีกหรือ? จะให้นอนได้อย่างไร?” ฉินปู้เข่อพ่นลมหายใจอย่างเย็นชา

“ข้าไม่เก่งจนถึงขั้นปล่อยวางได้” หมี่เฉินอี้แตะปลายจมูกของตนและพูดด้วยความรู้สึกผิดว่า “สุดท้ายข้าก็เห็นว่าโม่หรู่โตขึ้น นั่น เอ่อ นั่น… เอ๊ะ… สมองข้าจะแตก!”

“ฮึ่ม” ฉินปู้เข่อนอนบนผ้าห่มแล้วหันข้าง และไม่คิดจะจัดการกับ ‘คนถูกผีเข้า’ คนนี้อีก

บรรยากาศเงียบลงไปครู่หนึ่ง

หมี่เฉินอี้พูดอีกครั้ง “เสี่ยวเข่อ…”

“หากความหื่นกามของท่านยังไม่หายไปก็จะนอนไม่ได้หรือ?! ถ้ายังไม่นอนก็ไปหาที่ระบายเองไป!” ฉินปู้เข่อลุกขึ้นนั่งจ้องหมี่เฉินอี้และคำราม “ข้าพูดในสิ่งที่ควรพูดไปหมดแล้ว หากท่านกล้าเกลี้ยกล่อมให้ข้าเขียนหนังสือหย่าอีก ท่านจะไม่สามารถคิดอะไรได้อีกตลอดชีวิต!”

หมี่เฉินอี้พูดเสียงแผ่ว “หลานสะใภ้ อาแค่คิดว่าเจ้ายังอยู่ในช่วงพักฟื้นอยู่ การนอนบนพื้นจึงไม่ดีต่อสุขภาพของเจ้า ดังนั้นข้าจึงต้องการแลกที่กับเจ้า ข้าไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นแล้ว และสภาพจิตใจปัจจุบันของข้าก็ถูกต้องแล้ว!”

“จริงหรือ?”

“มันไม่จริงไปกว่านี้แล้ว” หมี่เฉินอี้ชูสามนิ้วสาบาน “หลังจากคิดดูแล้ว ข้าคิดว่าศักดิ์ศรีความเป็นอาของข้าสำคัญกว่า เมื่อข้าแย่งภรรยาของหลานชายตัวเอง ข้าคงไม่กล้ามองหน้าหลานชายและหลานสาวอีกหลายคนได้อย่างแน่นอน”

ฉินปู้เข่อเห็นสีหน้าจริงจังของเขาแล้วก็อดหัวเราะไม่ได้ “เช่นนั้นก็ลงมาพักผ่อนเถอะเพคะ”

“อืม” หมี่เฉินอี้ลุกขึ้นกระโดดลงไป

ฉินปู้เข่อนอนเงี่ยหูฟังอยู่บนเตียงครู่หนึ่ง เมื่อรู้ว่าคนที่อยู่บนพื้นผล็อยหลับไปอย่างรวดเร็ว นางก็หลับตาลงทันทีและผล็อยหลับไปอย่างสบายใจ

ไม่ว่าเจตนาของหมี่เฉินอี้จะเป็นจริงหรือไม่ก็ตาม และความตั้งใจของหมี่เฉินอี้จะแข็งแกร่งเพียงใด ท้ายที่สุดแล้วหากเขาสามารถเก็บความตั้งใจและซ่อนไว้ในใจได้ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่

นางยังคงหวังว่าจะได้อยู่กับโม่หรู่ไปจนแก่เฒ่า

วันรุ่งขึ้นฉินปู้เข่อนอนเหยียดตัวอยู่บนเตียง ขณะที่ชายชุดดำที่อยู่บนพื้นกำลังหลับอยู่ในห่อผ้านวม

จากนั้นแสงยามเช้าก็ส่องมาจากนอกหน้าต่าง ฉินปู้เข่อรู้สึกว่าดูเหมือนหมี่เฉินอี้จะน้ำหนักลดลงไปมาก และรอยคล้ำใต้ตาของเขาก็เห็นได้ชัด เมื่อมองแวบแรกก็รู้ว่าเขาไม่ได้พักผ่อนมาเป็นเวลาหลายวัน แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาจะหลับสบาย

“สาวน้อย เจ้ากำลังคิดว่าอาก็หล่อเหมือนกันอยู่หรือ!” หมี่เฉินอี้หลับตาพลางพูดเบา ๆ

ฉินปู้เข่อลุกขึ้นนั่งและยกเท้าขึ้นเตะเขา “ออกไปเลย!”

ชายผู้นี้ทำตัวดี ๆ ไม่ค่อยได้เลย โดยเฉพาะช่วงเวลาคับขันเช่นนี้ หากนางเปิดช่องให้หน่อยก็จะยั่วโมโหตลอด!

หมี่เฉินอี้ลืมตาและลูบหน้าแล้วจัดผ้าปูที่นอนอย่างรวดเร็ว ก่อนจะอธิบายว่า “วันนี้เมื่อเจ้ากลับมา ให้บอกคนให้ไปหยิบหมึกและพู่กันมาเพื่อวาดเส้นทางที่เจ้าใช้ในระหว่างวัน เมื่อคืนข้าเดินมาครึ่งคืนแล้วแต่ก็ออกไปไม่ได้ แผนผังของตำหนักแห่งนี้ค่อนข้างถอดรหัสได้ยากนัก”

ฉินปู้เข่อจัดเสื้อผ้าของตนและพูดอย่างเคร่งขรึม “คืนนี้หม่อมฉันคาดว่าจะหาที่อยู่อื่น ท่านก็ดำเนินการตามวิธีของท่านในตอนกลางวัน และเราจะหารือเกี่ยวกับมาตรการรับมือในตอนเย็น”

ก๊อก ก๊อก อีฮ่วยมาเคาะประตูตรงเวลา “ฮูหยินตื่นหรือยังเพคะ”

ฉินปู้เข่อรีบเปิดหน้าต่างออก หมี่เฉินอี้อยู่ในห้องทั้งคืน ห้องจึงมีกลิ่นของผู้ชาย

“ตื่นแล้ว ตื่นแล้ว รอสักครู่ ข้ากำลังแต่งตัว”

โชคดีที่ตั้งแต่นางได้พบกับอีฮ่วย ฉินปู้เข่อก็ไม่ยอมให้นางช่วยทำธุระส่วนตัว เช่นการแต่งตัวและการซักเสื้อผ้า ดังนั้นนางจึงสามารถโกหกได้อย่างแนบเนียน

หลังจากที่หมี่เฉินอี้ซ่อนตัวอยู่บนขื่อแล้ว ฉินปู้เข่อก็เดินออกจากฉากกั้นห้องและเปิดประตู

“พวกเราจะไปเข้าเฝ้าเพื่อทักทายกันเมื่อไร?” ฉินปู้เข่อชิงพูดก่อน “ยังเช้าอยู่ หากเราไปที่นั่นเลยก็อาจจะไปรับประทานอาหารเช้าได้ หรือเราควรไปตอนนี้?”

“เอ๊ะ? ตอนนี้หรือเพคะ?” เห็นได้ชัดว่าอีฮ่วยไม่ได้ตอบสนอง นางจะไปเข้าเฝ้าเช้าถึงเพียงนี้ได้อย่างไร

ฉินปู้เข่อพยักหน้า “พ่อสามีของข้าไม่น่าจะต้องไปราชสำนักหรืออะไรทั้งนั้น ประเด็นนี้ควรยกขึ้นมาพูดด้วย ไปกันเถอะ”

ฉินปู้เข่อผลักนางกลับไปแล้วเดินไปข้างหน้า โดยไม่รอให้อีฮ่วยพูดอีก “พี่หญิงฮ่วยรีบนำทางไปสิ ข้าหิวแล้ว หากไปแต่เช้าเราก็จะได้รับประทานอาหารเร็ว ๆ”

ด้วยวิธีนี้ อีฮ่วยจึงต้องเดินไปข้างหน้าเพื่อพาฉินปู้เข่อไปหาหมี่อี้เหิง

ด้วยการเตือนความจำของหมี่เฉินอี้ ฉินปู้เข่อจึงจดจำจำนวนก้าวและทิศทางตั้งแต่ก้าวแรก

ภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งก้านธูป ตำหนักอันวิจิตรงดงามก็ปรากฏขึ้นตรงหน้าพวกนางทั้งสอง

อีฮ่วยกล่าวว่า “ฮูหยินกรุณารอสักครู่ ข้าน้อยจะรีบไปแจ้งก่อน”

“อืม” ฉินปู้เข่อมองไปรอบ ๆ ลานตำหนักอันเงียบสงัดและน่ากลัว ไม่มีแม้แต่คนใช้พื้นฐาน รวมทั้งตำหนักเล็ก ๆ ข้างหน้านางก็ไม่มีองครักษ์ที่หน้าประตูและไม่มีนางกำนัล ดูเหมือนว่าปกติแล้วจะไม่มีใครมาหาหมี่อี้เหิง

แต่นางจำได้ราง ๆ ว่าหมี่เฉินอี้กล่าวว่านี่คือตำหนักขององค์ชายสองหมี่เหิงไม่ใช่หรือ?!

ก่อนที่นางจะคิดเรื่องนี้ต่อ อีฮ่วยก็เดินออกมาและโค้งคำนับ “ฮูหยินโปรดตามข้าน้อยมาเลยเพคะ”

บอกว่าเป็นตำหนักหลังเล็กก็ช่างเล็กเสียจริง มีเพียงสามห้องอยู่ติดกัน ห้องในสุดคือห้องนอนของหมี่อี้เหิง ห้องอ่านหนังสืออยู่ตรงกลาง และห้องที่อยู่ใกล้ประตูตำหนักมากที่สุดคือห้องอาหาร

เมื่อฉินปู้เข่อเข้าไป หมี่อี้เหิงก็เพิ่งนั่งล้างมืออยู่บนเก้าอี้

นางเดินไปหาหมี่อี้เหิงด้วยรอยยิ้มจาง และยกมือทักทายความเคยชิน ทันทีที่นางยกมือขึ้น นางก็เห็นสายตาที่ประหลาดใจของอีฮ่วยจึงรีบหดมือของนางเก็บไว้ที่เอวแล้วคำนับ และกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ขอโทษนะเพคะ ลืมตัวไปหน่อย ลูกสะใภ้ขอถวายบังคมท่านพ่อสามี อรุณสวัสดิ์ท่านพ่อสามีเพคะ”

“นั่งลง” สีหน้าของหมี่อี้เหิงสงบนิ่ง แต่จริง ๆ แล้วเขาตกใจกับคำเรียกที่ไม่คุ้นเคยของนาง

พ่อสามี อะแฮ่ม ใช่หรือเปล่านะ เขาเป็นปู่แล้ว

ฉินปู้เข่อไม่ฟังเขาแล้วหยิบชามเปล่าตรงหน้ามาเติมโจ๊ก ก่อนจะยื่นให้หมี่อี้เหิงด้วยความเคารพ “เชิญรับประทานเลยเพคะท่านพ่อสามี”

“อืม นั่งลงเถอะ”

ฉินปู้เข่อเติมโจ๊กให้ตัวเองอย่างมีสติและนั่งข้างหมี่อี้เหิง จากนั้นนางก็หยิบชามโจ๊กขึ้นมาซด

อีฮ่วยที่อยู่ข้าง ๆ ตกตะลึงและมองฉินปู้เข่อที่เงยหน้าขึ้นซดโจ๊ก แล้วเตือนเสียงดังว่า “ฮูหยิน…”

………………………………………………………………………….