ตอนที่ 159

My Disciples Are All Villains

นักบุญแห่งดาบลั่วฉีซานไม่เคยถูกล้อเลียนเช่นนี้มาก่อน “ศิษย์สาวกของศาลาปีศาจลอยฟ้าไม่ทำร้ายคนที่ไม่มีทางสู้อย่างงั้นหรอ? “

ยู่ฉางตงส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับ “เจ้ากำลังเข้าใจข้าผิดไปแล้ว”

“ฮะ? “

“ในตอนนี้เจ้าน่ะไร้ทางสู้แล้ว…ช่างน่าเบื่อซะจริง ข้าจะให้เวลาเจ้าเป็นเวลา 1 เดือนด้วยกัน” ยู่ฉางตงพูดออกมา

“…” ลั่วฉีซานจ้องมองไปที่ยู่ฉางตงด้วยสายตาอันสับสน ‘เจ้านี่กำลังจะเล่นอะไรกัน? วิธีแบบนี้เป็นวิธีการที่ประหลาดสำหรับจอมวายร้ายจริงๆ ‘ หลังจากนั้นเขาก็ได้พูดต่อไป “ทุกๆ คนในโลกต่างก็รู้ดี เหล่าวายร้ายจากศาลาปีศาจลอยฟ้าสามารถสังหารคนได้อย่างเลือดเย็น…ที่เจ้าพูดมาหมายความว่าจะปล่อยให้ข้ามีชีวิตไปอีก 1 เดือนอย่างงั้นสินะ? “

ยู่ฉางตงได้พูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันอ่อนโยน “ที่บ้านเกิดของข้ามีดอกไม้ชนิดหนึ่ง มันมีชื่อว่าลาเวนเดอร์ มันเป็นดอกไม้ที่อายุสั้นมาก มันจะเบ่งบานได้ช่วงเช้าของวันก่อนที่จะเหี่ยวเฉาไปในเวลากลางคืน…เจ้าน่ะโชคดีกว่าลาเวนเดอร์พวกนั้นซะอีก”

“เจ้า…” เดิมทีลู่ฉีซานรู้สึกรำคาญเรื่องเล่าเกี่ยวกับดอกไม้ดอกนี้ แต่ถึงแบบนั้นเขากลับไม่กล้าที่จะแสดงความรู้สึกออกไป

“เชิญเถอะ” ยู่ฉางตงกวาดมือเพื่อเชื้อเชิญให้ลั่วฉีซานเดินผ่านไป

“เจ้าจะไม่โจมตีข้าจากข้างหลังแน่หรอ? ” ลั่วฉีซานเองไม่อยากจะเชื่อเรื่องนี้

ยู่ฉางตงไม่ได้พูดอะไร เขาหันไปมองลั่วฉีซานอย่างเยือกเย็นแทน

ลั่วฉีซานได้สูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ในตอนนี้เขายังไม่กล้าที่จะขยับไปไหนนั่นเอง

ยู่ฉางตงส่ายหัวก่อนที่จะพูดออกมาอีกครั้ง “อย่าได้กลัวไป”

“ข้าไม่ได้กลัวอะไร…ข้าน่ะฝึกฝนตัวเองมาโดยตลอดกว่าหลายปี ข้าน่ะไม่เคยกลัวใคร…แต่ในครั้งนี้ข้าได้ต่อสู้กับฮั๊ววู่เด๋ามาจนเหนื่อยล้าแล้ว เรื่องมันก็มีแค่นี้เท่านั้นแหละ” ลั่วฉีซานพูดขึ้น

ยู่ฉางตงยังคงเงียบ

ลั่วฉีซานหันไปมองยู่ฉางตง เมื่อเขาเห็นยู่ฉางตงยิ้มให้อย่างสุภาพ ตัวเขาก็รู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น ลั่วฉีซานรีบเลิกใช้ความคิดก่อนที่จะเดินจากไป

ยู่ฉางตงได้ย้ำเตือนขึ้นมาอีกครั้ง “ข้าหวังว่าเจ้าจะไม่ลืมข้อตกลงระหว่างเรานะ”

“ข้อตกลงอะไรกัน? “

“หนึ่งเดือนหลังจากนี้ข้าจะไปฆ่าเจ้า” ยู่ฉางตงหันไปรอบๆ ก่อนที่จะเดินจากไป

“…” ท่าทีของลั่วฉีซานเปลี่ยนไปเล็กน้อย ในขณะที่มองดาบปีศาจกำลังถอยกลับไป ในตอนนั้นเองเขาก็ได้พูดขึ้นมา “ข้าไม่เห็นด้วยกับเรื่องนั้นหรอกนะ มันจะเรียกว่าข้อตกลงได้ยังไงกัน? “

ลั่วฉีซานภูมิใจในทักษะดาบของตัวเองมาก เมื่อไม่นานมานี้เขายังได้สร้างชื่อเสียงกับตัวเองได้ด้วยซ้ำไป ในบรรดาผู้ที่ต่อสู้กับตัวเขามา ถ้าหากจะหาใครที่มีทักษะดาบที่สูสีกับเขาได้ก็คงจะเป็นพี่น้องของเขาอย่างลั่วฉางชิง ลั่วฉางชิงคนนี้ได้เคยเผชิญหน้ากับคนคนหนึ่งมา คนคนนั้นก็คือดาบปีศาจยู่ฉางตงนั่นเอง แต่ตัวเขากลับจำไม่ได้ว่าลั่วฉางชิงเอาชนะยู่ฉางตงมาได้ไหม และด้วยเหตุนี้เองตัวเขาจึงไม่อยากที่จะเผชิญหน้ากับยู่ฉางตง

“แล้วเจ้าจะทำยังไงล่ะถ้าหากข้าต้องการที่จะฆ่าเจ้า? ” หลังจากพูดจบยู่ฉางตงก็ได้หายไปในทันที เพียงพริบตาเดียวตัวเขาก็ไปไกลกว่าหลายร้อยฟุตแล้ว หลังจากอีกพริบตาหนึ่งตัวเขาก็ได้หายไปไม่เหลือร่องรอยอะไรอีก

ลู่ฉีซานได้หรี่ตาลงเพื่อที่จะจ้องมองไปยังทิศที่ยู่ฉางตงหายตัวไป ในตอนนั้นเองตัวเขารู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก

ที่พระราชวัง

ภายในพระราชวังที่แสนจะเงียบสงบ มีห้องอยู่ห้องหนึ่งที่ยุ่งเหยิงไม่เป็นระเบียบ

หลังกระจกหกเหลี่ยม มีหญิงสาวคนหนึ่งกำลังสั่นไปทั้งตัว สีหน้าของเธอในตอนนี้ดูน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก เธอกำลังยืนอยู่หน้ากระจอกทองแดง ใบหน้าของเธอที่สะท้อนผ่านกระจกช่างซีดเซียวไร้สีสัน

“อย่าได้โกรธไปท่านหญิงของข้า เจ้าชายองค์ที่สองได้ตรัสเอาไว้ว่าจะไม่สู้กับพวกศาลาปีศาจลอยฟ้าอีกต่อไป! ” ผู้ฝึกยุทธหญิงคนหนึ่งได้พูดขึ้นมาจากอีกด้านของกระจก

“องค์ชายยังตรัสอะไรมาอีกบ้าง? “

“เจ้าชายทรงตรัสเอาไว้ว่าจะไม่สืบสวนเรื่องการตายของเฉินซู่อีกต่อไป และองค์ชายยังคงหวังไว้ด้วยว่าให้ท่าน…ไตร่ตรองเรื่องนี้ใหม่”

หญิงสาวคนนั้นยังคงนิ่งเงียบ สีหน้าของเธอในตอนนี้ดูมืดมนขึ้นไปอีก เธอได้ยกกำปั้นขึ้นมาก่อนที่จะกระแทกลงไปในกระจกทองแดงที่อยู่ตรงหน้า

เพล๊ง!

แม้ว่าเธอจะเคลื่อนไหวอย่างนุ่มนวลแต่ถึงแบบนั้นกระจกทองแดงก็ได้แตกออกอย่างน่าประหลาดใจ กำปั้นของหญิงสาวคนนั้นที่ดูไร้เรี่ยวแรงได้ทรงพลังราวกับค้อนอันหนักอึ้ง

หลังจากนั้นดูเหมือนความโกรธเกรี้ยวของเธอจะลดลงจนกลับมามีสติได้อีกครั้ง “สำนักบริสุทธิ์ตอบอะไรกลับมาไหม?

“พวกเรายังไม่ทราบที่อยู่ของฝานลี่เทียน…จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีใครหาตัวเขาเจอ”

“ถ้าหากเราหาเขาไม่พบก็ต้องล่อเข้าออกมา…กระจ่ายข่าวของฝานซงออกไปซะ”

“ฝานซงถูกขับออกจากสำนักมากว่าหลายปีแล้ว ในตอนนี้เขาก็เข้าร่วมกับศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้วด้วย…ท่านคิดว่าฝานลี่เทียนยังจะตามหาเขาอีกอย่างงั้นหรอคะ? “

“แค่ทำตามที่ข้าบอกก็พอ”

ผู้ฝึกยุทธหญิงคนนั้นที่ได้ฟังคำสั่งอันเยือกเย็นมาก็ได้แต่ก้มหน้าก่อนที่จะตอบรับอย่างเร่งรีบ “ข้าเข้าใจแล้ว! “

ในขณะที่รถมาล่องเมฆาได้กลับไปที่ศาลาปีศาจลอยฟ้า

ในตอนนั้นเองลู่โจวก็ได้เหลือบมองไปที่ร่างของฝานซุยเหวิน ร่างของเขาได้ไหม้เกรียมไปทั่วร่างแล้ว “ขังเขาเอาไว้ซะ…และรักษาให้เจ้านั่นรอดด้วย”

“ศิษย์เข้าใจแล้ว” หมิงซี่หยินได้พาฝานซุยเหวินจากไป

“ผู้อาวุโสฮั๊ว เจ้าน่ะเหนื่อยมามากแล้ว…ไปพักผ่อนซะเถอะ” ลู่โจวได้พูดแนะนำขึ้น

“ขอบคุณมาก” ฮั๊ววู่เด๋าได้คารวะลู่โจวก่อนที่จะหันกลับและจากไป สำหรับฮั๊ววู่เด๋าในตอนนี้การจะยืนอยู่ต่อหน้าลู่โจวก็เป็นอะไรที่ยากเต็มกลืนแล้ว

หยวนเอ๋อรีบวิ่งตรงไปหาลู่โจวก่อนที่จะถามขี้น “ท่านอาจารย์เองก็ต้องเหนื่อยมาก ให้ศิษย์ช่วยพาท่านไปพักผ่อนไหม? “

“ไม่จำเป็นหรอก” ลู่โจวโบกมือปฏิเสธไป ตัวเขาจำสิ่งที่เร็นบู้ผิงพูดในตอนที่เผชิญหน้ากับสิบคนทรงได้อย่างชัดเจน เรื่องที่ว่าเฉิงกวางอยู่ในร่างกายของยี่เทียนซิน

นี่ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย…

วู่เฉิงถึงกับยอมอัญเชิญบรรพบุรุษสิบคนทรงมาเพื่อจับตัวยี่เทียนซิน พระราชวังได้ขุดหาของสิ่งนี้มาอย่างยาวนานกว่าหลายสิบปีแล้ว หรือว่าเฉิงกวางที่พวกนั้นกำลังตามหาจะมีอยู่จริงกัน? ของที่สามารถทำให้อายุขัยของคนยืนยาวไปได้ถึง 2,000 ปี

ลู่โจวได้พิจารณาต่อไปก่อนที่จะส่ายหัว ‘ถ้าหากเป็นความจริงจีเทียนเด๋าก็คงจะต้องเป็นคนแรกที่จะต้องมุ่งหน้าไป ถ้าหากตัดสินจากความรู้ทั้งหมดรวมไปถึงลักษณะนิสัยของตัวเขา เป็นไปไม่ได้เลยที่จีเทียนเด๋าจะปล่อยของล้ำค่าแบบนี้ไป’ หลังจากที่ได้ครุ่นคิดสักพักตัวเขาก็ได้พูดขึ้น “ข้าจะไปเยี่ยมยี่เทียนซิน”

“ค่ะ ศิษย์จะรีบไปท่านอาจารย์ไปเอง”

ทั้งสองคนได้เดินไปยังศาลาทางทิศใต้

เมื่อกลุ่มผู้ฝึกยุทธหญิงได้ยินแบบนั้นแล้ว พวกเธอทั้งหมดเองก็ตามทั้งสองคนไปด้วย

ผู้ฝึกยุทธหญิงทั้งหลายล้วนเคยรับใช้ยี่เทียนซินมา แม้ว่าวังจันทราจะไม่มีอีกต่อไปแล้วแต่ถึงแบบนั้นพวกเธอทั้งหมดก็ยังคงนับถือยี่เทียนซินอยู่ดี

ในเวลาไม่นานพวกเขาทั้งหมดก็มาถึงศาลาทางทิศใต้

ลู่โจวที่เดินทางมาถึงก็มองเห็นผู้ฝึกยุทธหญิงที่เฝ้าอยู่ที่นี่อยู่ก่อนแล้ว “วันนี้ยี่เทียนซินเป็นยังไงบ้าง? “

“ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงค่ะท่านปรมาจารย์”

“เปิดประตูซะ”

“ค่ะ”

ลู่โจวได้เข้าไปภายในห้อง

ยี่เทียนซินในตอนนี้ยังคงเป็นเช่นเดิม เธอไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเลยแม้แต่นอน ยี่เทียนซินได้แต่นอนหมดสติอยู่บนเตียง

ลู่โจวเดินไปที่ข้างๆ เตียงเพื่อที่จะเฝ้ามองยี่เทียนซิน เฉิงกวางที่ตัวเขาเคยได้ยินเป็นสัตว์ร้าย แล้วของสิ่งนั้นมันจะไปอยู่ในร่างกายของยี่เทียนซินได้ยังไงกัน?

ลู่โจวโบกมือเบาๆ

ในตอนนั้นเองผู้ฝึกยุทธหญิงก็ได้พยุงยี่เทียนซินขึ้นมา

“ฮืม? นางยังหายใจอยู่? ” ลู่โจวได้ใช้ฝ่ามือตรวจสอบลมหายใจของยี่เทียนซิน แม้ว่าเธอจะยังหายใจอยู่แต่ถึงแบบนั้นมันก็ยังอ่อนแรงมาก

เหลือเชื่อจริงๆ!

สีหน้าของลู่โจวยังคงดูไร้อารมณ์เช่นเคย ตัวเขาได้ใช้ฝ่ามือฟาดลงไปที่หลังของยี่เทียนซิน พลังลมปราณของตัวเขาได้ไหลเข้าสู่เส้นพลังลมปราณทั้งแปด หลังจากที่ตรวจสอบร่างกายลู่โจวก็ได้ส่ายหัวออกมาอย่างช้าๆ ไม่มีสัญญาณของเฉิงกวางแม้แต่น้อย ตัวเขาโบกมืออีกครั้งก่อนเพื่อที่จะให้ผู้ฝึกยุทธทั้งหลายพยุงยี่เทียนซินให้นอนลงบนเตียงเช่นเคย ลู่โจวไม่คาดคิดมาก่อนว่ายี่เทียนซินจะยังหายใจอยู่แบบนี้ได้ แต่ถึงแบบนั้นก็ยังนับว่าโชคร้ายที่เธอยังคงหมดสติอยู่ ถ้าหากยี่เทียนซินมีสติ ตัวเขาจะสามารถถามเรื่องเฉิงกวางจากยี่เทียนซินตรงๆ ได้

“ท่านอาจารย์ นางเป็นยังไงบ้าง? ” หยวนเอ๋อถามอย่างร้อนใจ

“นางยังมีชีวิตอยู่”

“นางยังมีชีวิตอยู่อย่างงั้นหรอ? ” หยวนเอ๋อเบิกตากว้าง

เมื่อได้ยินแบบนั้นผู้ฝึกยุทธหญิงจากวังจันทราที่อยู่ใกล้ๆ กับประตูก็ตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น

เมื่อลู่โจวพร้อมที่จะจากไป ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็วิ่งมาหาเขาจากทางทิศเหนือ

หมิงซี่หยินโค้งคำนับก่อนที่จะพูดขึ้นมาในทันที “ท่านอาจารย์ ข้าได้ขังฝานซุยเหวินเอาไว้แล้ว…ดูเหมือนว่าเขาจะยังไม่ตายในตอนนี้ แต่ถึงแบบนั้นศิษย์เองก็พูดได้ไม่เต็มปากว่าเขาจะตายไหม”

“ดีมาก”

“นอกจากนี้…ยังมีจดหมายอีกด้วย ศิษย์คิดว่ามีผู้คนภายนอกกำลังพยายามติดต่อกับพวกเรา ศิษย์จะไปรับมันถ้าหากได้รับคำอนุญาตจากท่านอาจารย์”

“ใครเป็นผู้ที่ส่งมากัน? “

“เหว่ยซู่หยาน”

“เอามันมาให้ข้า”