ก่อนที่หยวนชิงหลิงจะออกไปด้านนอกก็ได้พูดกับหลู่เฟย
“ตอนนี้เท่าที่เห็นอาการป่วยของท่านอ๋องนั้นดีขึ้นเกือบหมดแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องระมัดระวังเรื่องอาหารของเขาเป็นอย่างมาก อย่าให้ผู้ใดเข้าไปทำการผิดแปลกเด็ดขาดเจ้าค่ะ”
“เจ้ายังรู้สึกว่าจะมีคนเข้ามาลงมือทำร้ายเขาอีกงั้นหรือ?” หลู่เฟยถาม
หยวนชิงหลิงไตร่ตรองอยู่ครู่หนึ่ง: “ก็ยากที่จะกล่าว แต่ระวังเอาไว้ดีที่สุดเจ้าค่ะ”
วันนี้ที่นางได้ยินหลู่เฟยบอกว่าเมื่อวานนี้พระชายาจี้ล้มป่วย อยู่ๆ ก็เกิดความไม่วางใจเกิดขึ้นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
อ๋องจี้สองสามีภรรยาเป็นคนจำพวกใจคิดร้ายแม้จะไม่มีปารป่าวประกาศ แต่ผู้คนต่างรู้เห็น
ในเวลานี้หยู่เหวินเห้าได้ขึ้นครองตำแหน่งเจ้ากรมการพระนคร มีหรือที่พวกเขาสองสามีภรรยาจะยืนดูนางรักษาอ๋องหวยจนหายดีอีก?
ดังนั้นพวกเขาจะต้องคิดหาวิธีการที่จะมาจัดการอ๋องหวยเป็นแน่ ซึ่งวิธีการที่ดีที่สุดคืออ๋องหวยสิ้นพระชนม์ด้วยยาพิษ แล้วค่อยให้การใส่ร้ายว่ายาของนางมียาพิษ เช่นนั้นหมอผู้ให้การรักษาอย่างนางก็ไร้ซึ่งหนทางปฏิเสธแล้ว
ตอนนี้หลู่เฟยนับว่าเชื่อมั่นในตัวของหยวนชิงหลิงเป็นอย่างมาก เมื่อได้ยินนาพูดเช่นนี้จึงเร่งสั่งการให้คนตรวจตราสอดส่องดูแลขั้นตอนการปรุงอาหารของอ๋องหวยอย่างเข้มงวด
ทว่าในช่วงบ่ายของวันอ๋องหวยกลับมีอาการปวดท้องอย่างหนัก อาเจียน และเวียนศีรษะ ซึ่งมีผลมาจากอาหารเป็นพิษ
ถึงอย่างนั้นยังนับว่าโชคดีที่กล่องยาให้การช่วยเหลือ ทำให้มีน้ำเกลือสำหรับล้างกระเพาะ หลังจากที่ทำการล้างพิษในกระเพาะเรียบร้อย ตอนนี้อาการของอ๋องหวยนับว่าไม่มีปัญหาที่น่าเป็นห่วงแล้ว แต่เหตุการณ์ครั้งนี้อ๋องหวยราวกับเกือบจะกระโดดเข้าสู่ความตายเสียอย่างนั้น
หลู่เฟยโมโหเป็นอย่างมาก จึงรีบสั่งการให้คนไปตรวจสอบทันที
แต่เรื่องอาหารล้วนเป็นคนสนิทของหลู่เฟยที่เป็นผู้จัดการดูแล จึงทำให้หลู่เฟยเชื่อใจพวกนางเป็นอย่างมาก ท้ายที่สุดขุนนางในจวนจึงได้กล่าวขึ้น
: “บางทีครั้งนี้อาจเป็นการวางยาในส่วนผสมของอาหารพ่ะย่ะค่ะ ส่วนประกอบอาหารทั้งหมดถูกซื้อเข้ามาจากภายนอกทุกวัน ถ้าหากเป็นผู้ที่จงใจสังเกตอย่างดี มีความเป็นไปได้ที่จะลงมือในตอนนั้น”
หลู่เฟยจึงรีบสั่งให้คนไปตรวจสอบส่วนประกอบอาหารที่นำเข้ามาวันนี้ ส่วนผสมอื่นๆ ไม่มีปัญหาใดๆ แต่ว่ากลับมีเนื้อชิ้นหนึ่งที่มีกลิ่นของมันเปลี่ยนไป
ซึ่งวันนี้อากาศจะว่าหนาวก็ไม่ใช่ จะร้อนก็ไม่ใช่ หากกล่าวตามจริงไม่มีทางที่เนื้อจะส่งกลิ่นเร็วขนาดนี้ได้
และแน่นอนว่าจะต้องมีใครบางคนเข้ามาทำการบางอย่างเป็นแน่
แต่ถึงอย่างนั้นขุนนางในจวนก็ยังคัดค้าน: “ถึงต่อให้เนื้อเปลี่ยนกลิ่นแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถเห็นได้ว่ามันมีพิษอย่างแน่นอนไม่ใช่หรือพ่ะย่ะค่ะ?”
หยวนชิงหลิงกล่าวขึ้น: “ท่านอ๋องมีอาการอาหารเป็นพิษ เนื้อที่มีกลิ่นฉุนแล้วก็นับว่าเป็นพิษได้ หากเป็นผู้อื่นทานอาจไม่เป็นอะไร หรืออาจจะมีอาการปวดท้องหนักเท่านั้น แต่ทว่าท่านอ๋องนั้นมีร่างกายที่อ่อนแอ เขาทานเข้าไปอาจจะถึงแก่ชีวิตได้”
ทั้งที่จริงแล้วหยวนชิงหลิงไม่ได้คิดว่าจะเรื่องราวจะมีเพียงเท่านี้ แต่ในเมื่อไม่สามารถตรวจสอบสิ่งใดออกมาได้ เพื่อที่จะเลี่ยงให้หลู่เฟยจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ เพราะถ้าหากสุดท้ายไม่สามารถตรวจสอบหาข้อเท็จจริงได้ อาจจะมีคนที่จะต้องถวายหัวไม่น้อย
ดังนั้นนางจึงกล่าวเตือนแทน: “คราวหลังให้ระมัดระวังมากกว่าเดิมก็เพียงพอแล้ว”
หลังจากผ่านเหตุการณ์นี้ทำให้หลู่เฟยเกิดอาการหวาดระแวงเป็นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นผู้ใดนางก็จะมองด้วยสายตาที่ไม่ไว้ใจตลอดเวลา
ในช่วงใกล้พลบค่ำอ๋องซุนก็เดินทางมาที่นี่ เขาที่เคยบอกว่าจะเลี้ยงหยวนชิงหลิงทานอาหารชุดใหญ่ ก็ไม่ได้ผิดสัญญา เพราะว่าเขาได้นำปิ่นโตอาหารมาด้วย
ปิ่นโตอาหารของเขามีทั้งหมดสี่ชั้น พร้อมอาหารสี่อย่างด้วยกัน ซึ่งในชั้นสุดท้ายนั้นก็คือขาหมูพะโล้ อ๋องซุนหยิบอาหารออกมาพลางน้ำลายไหลไปด้วย
เจ้าหญิงโล่ผิงและเจ้าหญิงเหวินจิ้งก็เดินเข้ามาดูด้วยพลางพากันหัวเราะเยาะกับท่าทีขี้งกของอ๋องซุนที่เอาแต่แอบกิน
อ๋องซุนจึงพูดออกไปตามตรง: “นี่คือสิ่งที่ข้าตั้งใจนำมาให้นางทาน ตอบแทนที่นางรักษาน้องหกจนหายดี”
“เช่นนั้นก็ให้น้องสะใภ้ห้าทานก็พอแล้ว เหตุใดเจ้าถึงทานกับนางด้วยเล่า?” เจ้าหญิงเหวินจิ้งกล่าวเยาะเย้ย
“มีที่ไหนกันที่เลี้ยงแขกแล้วไม่ทานอาหารพร้อมกับแขกเล่า?” อ๋องซุนอย่างคงความซื่อตรง
องค์หญิงทั้งสองรู้ว่าเขาไม่อาจห้ามความอยากของตัวเองได้ จึงหยุดหัวเราะเยาะเขา
ตอนนี้ด้านในได้มีการจัดเตรียมอาหารเรียบร้อยแล้ว ทุกคนจึงพากันเข้าไปทานอาหาร เหลือเพียงหยวนชิงหลิงและอ๋องซุนที่ทานอาหารอยู่ด้านนอก เพื่อหลีกเลี่ยงการถูกสงสัย แม่นมสี่จึงอยู่ข้างกายหยวนชิงหลิงตรงนั้น
หยวนชิงหลิงยังคงครุ่นคิดเรื่องการวางพิษที่เกิดขึ้นวันนี้ ซึ่งสำหรับนางแล้วผู้ที่น่าสงสัยที่สุดก็ยังคงหนีไม่พ้นคนจากจวนอ๋องจี้
มีความเป็นได้ทีพระชายาจี้ไม่ได้ล้มป่วย และนางจะออกมาในตอนที่เกิดเรื่องกับอ๋องหวยแล้วพูดถึงเรื่องที่ตัวหยวนชิงหลิงกล่าวใส่ร้ายนาง ทำให้นางเกิดความเครียดจนล้มป่วย ซึ่งนี่ความเป็นไปได้นี้ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เลย
“ครุ่นคิดอะไรอยู่กัน?” อ๋องซุนชี้ไปที่อาหาร “ทานเสียสิ ถ้าเย็นขึ้นมาจะไม่น่าทานแล้ว”
หยวนชิงหลิงจึงขยับตะเกียบไป: “เจ้าค่ะ พี่สองเองก็ทานเถอะ”
อ๋องซุนทานอย่างผ่อนคลาย เป็นคนที่ทานไม่น้อยจริงๆ กลืนเนื้อเข้าไปเลยทีละคำ ราวกับว่าไม่จำเป็นต้องเคี้ยวเลย กินเยอะยิ่งกว่าตอเป่าเสียอีก
“ได้ข่าวว่าวันนี้น้องหกถูกลอบวางยาพิษ” อ๋องซุนกล่าวถามในขณะที่น้ำมันค่อยๆ เยิ้มออกมาจากปาก
“ท่านพี่รองก็ทราบแล้วงั้นหรือ?”
“ใช่ ในตอนที่มาถึง อะหลิงก็ได้แจ้งกับข้าแล้ว” อ๋องซุนครวญเสียงออกมาจากจมูกหนึ่งทีอย่างไม่พอใจ “คนพวกนั้น ยิ่งนานยิ่งไม่ให้ความสำคัญต่อเสด็จพ่อ”
“ท่านพี่รองทราบว่าเป็นผู้ใดเช่นนั้นหรือ?” หยวนชิงหลิงกล่าวถาม
“แน่นอนอยู่แล้ว เรื่องเช่นนี้จะไม่ทราบได้อย่างไร?เพียงแต่ไม่มีหลักฐานเพียงเท่านั้น”
จริงด้วย เพียงแค่ไม่มีหลักฐานยืนยันเท่านั้น
ทั้งที่ความจริงแล้วความต้องการของอ๋องจี้ ฝ่าบาทคงน่าจะมองออกอย่างชัดเจน เหตุใดพระองค์ถึงไม่คิดที่จะห้ามปรามกัน?
ถ้าหากฝ่าบาทเข้าไปก้าวก่าย เขาคงไม่กล้าที่จะทำตัวยโสโอหังถึงเพียงนี้
หรือว่าฝ่าบาทจะชอบใจในตัวเขาแล้วจริงๆ?
หากเป็นเช่นนี้ องค์ชายท่านอื่นๆ จะอยู่รอดได้อย่างไร?
หยวนชิงหลิงอดกังวลไม่ได้จริงๆ
ช่างยากเกินที่จะคาดเดาได้
หยวนชิงหลิงถาม: “ท่านพี่รอง ที่จริงเสด็จพ่อน่าจะทราบเป็นอย่างดีใช่หรือไม่?”
บางครั้งอ๋องซุนก็มีข้อมูลที่เชิงลึกที่ผู้อื่นต่างก็คาดไม่ถึง ฉะนั้นการรับฟังเขาก็ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร
อ๋องซุนส่ายหน้า “ข้าก็ไม่ทราบ ความคิดของเสด็จพ่อผู้ใดจะคาดเดาได้กันเล่า?ถึงอย่างไรสำหรับข้าแล้วการที่ไม่ถูกเสด็จพ่อตำหนิต่อว่าก็ต้องขอบคุณฟ้าดินแล้ว”
นั่นก็จริง ในฐานะผู้มีความสามารถด้านการกินและอ้วนทวนในราชวงศ์ อ๋องซุนนับว่าเป็นคนที่ไม่ได้มีบทบาทสำคัญเลย
อ๋องซุนจ้องมองไปยังขาหมูพะโล้ชิ้นสุดท้าย หยวนชิงหลิงเพิ่งทานไปเพียงชิ้นเดียว นอกนั้นก็เป็นเขาที่เขมือบไปจนหมด
“ทานเถอะ ข้าไม่ทานแล้ว” หยวนชิงหลิงรู้ว่าเขาอยากจะกินจึงกล่าวออกมา
อ๋องซุนมองไปด้วยสายตาที่แข็งกระด้าง ก่อนจะค่อยๆ วางตะเกียบลง “ข้าไม่ทานแล้ว ลดน้ำหนัก”
“ไม่ทานแล้วจริงหรือ?” หยวนชิงหลิงถามด้วยรอยยิ้ม
อ๋องซุนมองไปยังมันอีกรอบก่อนจะส่ายหน้าอย่างซื่อบื้อ “ไม่ทานแล้ว ข้าจะต้องมีความแน่วแน่”
เขาสั่งให้คนเข้ามานำอาหารออกไป เพื่อที่จะเลี่ยงไม่ให้เห็นอีกเพราะอาจจะทำให้อดใจไม่ได้
เขาจะต้องควบคุมความอยากอาหารของตัวเอง ถ้าหากสามารถที่จะควบคุมความอยากของตัวเองได้ ก็จะสามารถควบคุมได้ทุกอย่าง
หลังจากทานอาหารเสร็จ หยวนชิงหลิงก็เดินเล่นอยู่ในลานสักพัก แต่ก็ยังไม่เห็นหยู่เหวินเห้ามารับสักที
กู้ซือก็ยังไม่มา ถึงอย่างนั้นวันนี้กู้ซือก็คงจะไม่มาแล้ว เพราะในตอนเช้าได้แจ้งเอาไว้แล้ว
นางรอจนถึงยามห้าย สวีอีก็ปรากฏตัวขึ้น พอเขาได้เห็นหยวนชิงหลิงก็แทบจะรอไม่ได้ที่จะเข้าไปคุกเข่าคำนับหยวนชิงหลิง เพื่อเป็นการขอบคุณที่หยวนชิงหลิงเข้าไปร้องขอกับท่านอ๋อง เขาถึงได้กลับมาอยู่ข้างกายท่านอ๋องอีกครั้ง (ยามห้าย ช่วงเวลา 21:00 -23:00)
แต่หยวนชิงหลิงกลับขัดคำเขาเสียก่อน “แล้วท่านอ๋องเล่า?”
“ท่านอ๋องยังไม่สามารถรีบกลับจวนได้ จึงให้หม่อมฉันมารับพระชายาไปส่งที่จวนก่อนพ่ะย่ะค่ะ” สวีอีแจง
“เขายุ่งขนาดนี้เชียวรึ” หยวนชิงหลิงจึงอดที่จะเป็นห่วงไม่ได้ “แล้วเขาทานอาหารหรือยัง?”
“ทานอาหาร?จะเอาตอนไหนไปทานอาหารพ่ะย่ะค่ะ?วันนี้อาหารกลางวันยังไม่ได้ทานเลยพ่ะย่ะค่ะ วันนี้ที่กรมพระยามีคดีใหญ่ที่เป็นคดีฆาตกรรมยกครัวอีกแล้ว” สวีอีพูดอย่างไม่สบายใจ
หยวนชิงหลิงขมวดคิ้ว ก่อนจะถอนหายใจออกมาให้แก่ผู้เสียชีวิต และเจ็บปวดใจเพราะหยู่เหวินเห้ายังไม่ได้ทานอาหาร
“ก็ยังคงเป็นเช่นเดิม ที่เหลือเพียงเด็กน้อยคนเดียวพ่ะย่ะค่ะ” สวีอีกล่าวต่อ
หยวนชิงหลิงหวังเป็นอย่างมากให้ฆาตกรรีบถูกประหารชีวิตโดยเร็ว แต่ว่าเรื่องนี้นางไม่สามารถช่วยเหลือสิ่งใดได้เลย: “พวกเรากลับกันเถอะ”
สวีอีตอบรับ: “พ่ะย่ะค่ะ รถม้าจอดรออยู่ด้านนอกแล้วพ่ะย่ะค่ะ”
อ๋องซุนที่ได้ยินดังนั้น “รบกวนไปส่งข้าด้วยสิ”
“ท่านอ๋องไม่ได้ขี่ม้ามาหรือ?” สวีอีกล่าวถาม
อ๋องซุนส่ายหน้า “ช่วงนี้ข้ากำลังลดน้ำหนัก ฉะนั้นเวลาออกจากจวนจึงเดินแทนน่ะ”
ซึ่งนี่เป็นกฎบังคับของพระชายาซุน
สวีอีจึงยิ้มออกมา: “เช่นนั้นเชิญพ่ะย่ะค่ะ”
เพราะว่าวันนี้อ๋องซุนจะนั่งรถม้ากลับไปด้วยกัน ดังนั้นคืนนี้จึงไม่ให้แม่นมสี่อยู่ที่จวนอ๋องหวย และพานางนั่งรถม้ากลับไปพร้อมกัน
หยวนชิงหลิงที่ไม่ได้ชำนาญเกี่ยวกับเรื่องขนบธรรมเนียม ซึ่งอ๋องซุนเองก็ไม่ต่างกัน การที่มีแม่นมสี่อยู่ด้วย ก็นับว่าสามารถหลีกเลี่ยงข้อสงสัยได้แล้ว
ซึ่งในตอนก่อนที่จะเดินทางกลับ หยวนชิงหลิงยังคงกล่าวกำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้หลู่เฟยระมัดระวังเรื่องอาหารการกินของอ๋องหวยอย่างเข้มงวด
เมื่อผ่านเหตุการณ์ในช่วงเที่ยง มีหรือที่หลู่เฟยจะกล้าปล่อยปละละเลยอีก? แน่นอนว่าจะต้องสั่งการคุมเข้ม ตรวจสอบทุกระเบียบนิ้ว ถึงขนาดที่ว่าต้องมั่นใจว่าน้ำที่อ๋องหวยดื่มเข้าไปต้องมีความสะอาดจริงๆ
จากนั้นรถม้าจึงค่อยๆ เคลื่อนออกจากจวนอ๋องหวยไป
ระยะห่างระหว่างจวนอ๋องซุนและจวนอ๋องฉู่นั้นอยู่ไม่ห่างกันมาก อยู่ห่างกันเพียงสามตรอกถนน ซึ่งล้วนมุ่งตรงไปยังทิศทางเดียวกัน
หลังจากเข้าสู่ยามห้าย บนท้องถนนก็ไร้ซึ่งผู้คนสัญจร ร้านค้าต่างๆ ล้วนปิดทำการ และในยุคโบราณเช่นนี้ล้วนไม่มีไฟตามข้างทาง มีเพียงข้ารับใช้ของอ๋องซุนและสวีอีที่นั่งอยู่หน้ารถม้าและถือโคมไฟไว้คอยส่องทางเท่านั้น