ตอนที่ 190 ถูกลอบทำร้าย

ซื่อจิ่น หวนรักประดับใจ

ตอนที่ 190 ถูกลอบทำร้าย
พิธีแต่งตั้งอ๋องยังอยู่ระหว่างการจัดเตรียม จวนเยี่ยนอ๋องก็ยังซ่อมไม่เสร็จ สำหรับอวี้จิ่น เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องเล็กน้อยที่ไม่สมควรแก่การเอ่ยถึง เพราะมันไม่สำคัญเท่ากับการไม่ได้พบหน้าอาซื่อ

วันนั้น น้ำตาของเจียงซื่อเป็นเหมือนเหล็กหมาดเล็กๆ ที่เจาะหัวใจของเขาจนเป็นรู

เขาอยากรู้มากว่าเหตุใดนางถึงเสียใจมากถึงเพียงนั้น แต่นางกลับเข้าไปอยู่ในจวนหย่งชังปั๋วไม่ยอมไปไหน! เมื่อนึกถึงจวนหย่งชังปั๋วมีชายหนุ่มรูปงามอยู่ด้วย หัวใจดวงนี้ขององค์ชายเจ็ดพลันอยู่ไม่สุข

เขาส่งคนไปสืบมาจนรู้แจ้งว่า ซื่อจื่อแห่งหย่งชังปั๋วผู้นี้กับอาซื่อรู้จักกันตั้งแต่เด็ก มีความรู้สึกดีต่อกันตั้งแต่สมัยนั้น ตอนนี้ต่างโตขึ้นแล้วยังได้พบหน้ากันทุกวันอีก หากว่าอาซื่อหลงผิดไปเขาจะทำอย่างไร

ใช่ ในสายตาของอวี้จิ่น หากเจียงซื่อชอบชายอื่นที่ไม่ใช่เขาล้วนคือการหลงผิด!

“เจ้านาย ดื่มน้ำขอรับ” หลงต้านยื่นกาน้ำชาให้

อวี้จิ่นรับมาจิบน้ำหนึ่งอึก สีหน้าพลันนิ่ง มือที่จับกาน้ำชาไว้ ออกแรงหนักอย่างอดไม่ได้

……

ด้านนอกประตูจวนหย่งชังปั๋ว เซี่ยอินโหลวหยุดลงแล้วประสานสองมือให้กับเจียงซื่อ “น้องเจียงซื่อ หลายวันมานี้รบกวนเจ้ามากแล้ว”

ตามธรรมเนียมประเพณี คนที่อยู่ช่วงไหว้ทุกข์ห้ามเข้าบ้านผู้อื่น

เจียงซื่อย่อตัวแสดงคารวะตอบ “พี่เซี่ยมิต้องเกรงใจเช่นนี้ ข้ากับชิงเหยาเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดต่อกัน”

สีหน้านิ่งเรียบของเซี่ยอินโหลวเริ่มผ่อนคลาย “ชิงเหยามีน้องเจียงซื่อเป็นเพื่อน นับว่าเป็นความโชคดีของนาง”

เจียงซื่อรู้สึกผิดอยู่ในใจ หนังตาหย่อนลงหลบสายตาของเซี่ยอินโหลว แล้วตอบเสียงต่ำ “ไม่เลยเจ้าค่ะ พี่เซี่ย งั้นข้ากลัวจวนก่อน ไม่รบกวนพี่แล้วเจ้าค่ะ”

เซี่ยอินโหลวผอมลงมากในเวลาเพียงเจ็ดวัน ชุดไหว้ทุกข์สีขาวที่สวมอยู่บนเรือนร่างแบบหลวมๆ กลับทำให้เขาดูสง่ายิ่งกว่าเดิม

บิดามารดาเสียชีวิตพร้อมกัน สำหรับคนที่ทำได้เพียงพึ่งพาตนเอง ไม่ต้องสงสัยเลยว่ามันทุกข์ทรมานเพียงไหน ไม่ว่าจะด้านสภาพจิตใจหรือว่าด้านกำลังกาย

เซี่ยอินโหลวมองเจียงซื่อนิ่งๆ อยากยิ้มสักหน่อยแต่ไม่มีแรงและโอกาสไม่เหมาะสม จึงทำได้เพียงตอบกลับไปด้วยเสียงอ่อนโยน “น้องเจียงซื่อกลับดีๆ ล่ะ”

เจียงซื่อพยักหน้าแล้วจากไปอย่างรีบร้อน

เซี่ยอินโหลวยืนนิ่งได้ครู่หนึ่งจึงหันหลังแล้วกลับจวน

อวี้จิ่นโมโหบีบกาน้ำจนแบนพลางโยนฝาทิ้งแล้วยกขึ้นดื่มอึกๆ

หลงต้านมองดูพร้อมกับแอบส่ายหัว ดูจากสภาพนี้ของเจ้านายแล้ว นี่ไม่เหมือนกับดื่มน้ำแล้ว แต่เป็นการดื่มน้ำส้มสายชู มากกว่า

หยดน้ำไหลจากมุมปากของอวี้จิ่นลงไป ไม่ได้ไหลลงคอ พอน้ำหนึ่งกากระดกจนหมด เขาเดินไปจวนตงผิงปั๋วทันทีที่โยนกาน้ำออกไป

แล้วก็เป็นเช่นนั้น ยิ่งกลัวสิ่งใดก็ยิ่งได้พบเจอ เมื่อครู่นี้…อาซื่อเขินอายไม่กล้ามองหน้าเซี่ยอินโหลวนั่น!

“เจ้านาย…” หลงต้านวิ่งตามไป

อวี้จิ่นหยุดฝีเท้าลง จ้องหลงต้านเขม่น “ข้าถามเจ้าหน่อย สตรีคนหนึ่งเขินอายต่อหน้าบุรุษคนหนึ่ง นั่นหมายความว่าอย่างไร”

หลงต้านโพล่งออกไป “หมายความว่าหญิงผู้นั้นชอบชายผู้นั้น?”

ใบหน้าของอวี้จิ่นมืดสนิท

หลงต้านกะพริบตาปริบๆ

สงสัยจะตอบถูก!

อวี้จิ่นยกเท้าแล้วเดินไปทันที หลงต้านเอ่ยห้าม “นายขอรับ นายจะไปไหนขอรับ”

“ไปถามนางให้เข้าใจ”

หลงต้านตบหน้าผาก “นายขอรับ ที่นี่ไม่ใช่หนานเจียงนะขอรับ ตอนนี้มีคนมารอดูเรื่องคึกคักตั้งมากมาย หากนายวิ่งเข้าไปถามคำถามนี้ในจวนผู้อื่น เกรงว่าจะไม่เหมาะเท่าไหร่นะขอรับ”

อวี้จิ่นหลับตาลง ถ้าเช่นนั้นค่อยถามตอนดึกก็แล้วกัน อย่างไรเสียอาซื่อก็กลับมาแล้ว

อะไรนะ บุกเรือนสตรีกลางดึกหาใช่สิ่งที่บุรุษควรทำไม่

เหอะๆ ก็เขาเป็นผู้มักมากบ้าตัณหานี่ แต่เขาก็ทำตัวเหลวไหลกับอาซื่อเพียงคนเดียวเท่านั้น

อวี้จิ่นเป็นคนที่เมื่อมั่นใจในตัวผู้ใดจะไม่เปลี่ยนใจเด็ดขาด และเมื่อเขาตัดสินใจแล้วจึงทิ้งหลงต้านไว้แล้วเดินกลับเลย

กลับเรือนไปสะสมพลังและความเข้มแข็งเสียก่อนดีกว่า

ถนนคึกคักไปทั้งเส้นเพราะงานศพของจวนหย่งชังปั๋ว ผู้คนเดินขวักไขว่ไปมาเต็มถนน และไม่นานอวี้จิ่นกับหลงต้านก็ถูกแยกออกจากกัน

หลงต้านตะโกนเรียกอยู่ด้านหลัง “นายขอรับ รอบ่าวด้วยสิขอรับ…”

ในสมองของอวี้จิ่นมีแต่ภาพของสาวน้อยที่หลบสายตาอย่างเขินอายวนเวียนอยู่ในหัว เขาจะสนใจเสียงเรียกขององครักษ์ได้อย่างไรอีก มีแต่ฝีเท้าที่ยิ่งเดินยิ่งเร็วขึ้น

มีชายคนหนึ่งเดินผ่านด้านข้างของอวี้จิ่นไป

ชายหนุ่มมีรูปลักษณ์ธรรมดามาก เสื้อผ้าที่สวมใส่ก็ธรรมดามากเช่นกัน ยามอยู่ในฝูงชนก็เหมือนกับหยดน้ำที่ไม่มีความเด่น เป็นเสมือนคนที่เพียงหันหลังกลับก็สามารถลืมรูปลักษณ์ไปได้ทันที

มีคนเช่นนี้เดินผ่านอวี้จิ่นไปท่ามกลางฝูงชน จึงไม่ได้กลายเป็นจุดสนใจมากนัก

ในเวลาที่ทั้งสองคนเดินสวนกัน ตรงแขนเสื้อของชายหนุ่มพลันส่องแสงสว่างวิบวับ มีดสั้นเงาวับพลันพุ่งไปหาอวี้จิ่น

แม้ว่าอวี้จิ่นใจลอย แต่ด้วยประสบกาณ์การสู้รบในสนามรบมานานหลายปี ทำให้เขามีความว่องไวต่ออันตรายที่น่าตะลึง ปฏิกิริยาร่างกายของเขาตอบสนองด้วยการหลบไปข้างๆ ก่อนทันทีที่คนๆ นั้นยกมีดขึ้น แล้วเขาก็ยกมือขึ้นพร้อมกับคว้าข้อมือของคนนั้นเอาไว้

มีดสั้นที่เดิมทีจะแทงบริเวณหัวใจของเขา สุดท้ายมันเลยผ่านบริเวณแขนของเขา

มีดสั้นกรีดผ่านไปอย่างง่ายดายดุจกรีดดิน เสื้อผ้าไหมสีเขียวครามขาดออกทันทีที่ถูกมีดกรีด ตรงแขนพลางมีเลือดซึมออกมา

พลันเกิดความรู้สึกชา

สีหน้าอวี้จิ่นเปลี่ยนทันทีทันใด

มีดสั้นอาบยาพิษ!

“นาย!” หลงต้านเห็นเหตุการณ์ผิดปกตินี่จากท่ามกลางฝูงชนที่ห่างออกไป เขาไม่สนใจสิ่งอื่นใดอีก พลันออกแรงผลักคนที่อยู่ด้านหน้าเขาและพุ่งมาทันที

ช่วงวินาทีนี้ อวี้จิ่นกับชายหนุ่มถือมีดต่อสู้กันไปมาแล้วหลายครั้ง ความเร็วนั้นเร็วจนคนรอบข้างไม่อาจสังเกตได้

เมื่อเห็นหลงต้านพุ่งมาหา ชายหนุ่มจึงตัดสินใจถอยออกพร้อมกับวิ่งเข้าไปยังฝูงชนและหนีไปทันที

“ตามไป!” อวี้จิ่นออกคำสั่งกับหลงต้านอย่างเด็ดขาด

แม้ว่าหลงต้านเป็นคนสนุกสนาน เวลาอยู่ต่อหน้าอวี้จิ่นบางครั้งก็ไม่รู้จักกาลเทศะ แต่ในเวลาสำคัญ กับคำสั่งของเจ้านายแล้วเขากลับไม่กล้ารีรอแล้ววิ่งตามไปทันที

เขาไม่รู้ว่าเวลานี้อวี้จิ่นถูกพิษ

ผู้คนเริ่มสัมผัสได้ถึงความผิดปกติจากการผลักคนด้านหน้าออกอย่างต่อเนื่องของอวี้จิ่น ด้วยนิสัยชอบความคึกคักจึงพากันตามไปดู

อวี้จิ่นฉวยโอกาสเดินไปยังด้านข้างแล้วมองดูแผลที่แขนหนึ่งที

ตอนนั้นเขามีปฏิกิริยาที่ว่องไวมาก บาดแผลที่ได้มาจึงไม่ลึกเท่าไหร่ เพียงแต่ว่าหยดเลือดที่ซึมออกมาตอนนี้ได้กลายเป็นสีดำไปแล้ว

อวี้จิ่นยื่นมือไปจับเหอเปาที่มัดไว้ตรงเอว

ในเหอเปามียาแก้พิษที่ได้มาเมื่อครั้นอยู่ทางใต้ มันเป็นยาที่สามารถแก้ได้ทุกพิษ

เพียงแต่ว่า เวลาที่เขาจับเหอเปาที่เย็บถักอย่างประณีต เขาพลันหยุดการกระทำนั้นลง เขาเปลี่ยนความคิดในทันทีทันใดโดยเดินไปยังทิศทางหนึ่ง

หากว่าหลงต้านยังอยู่ ก็จะพบว่าทิศทางที่อวี้จิ่นกำลังไปนั้นไม่ใช่ตรอกซอยเชวี่ยจื่อ แต่เป็นทิศทางตรงข้าม

เมื่อเดินผ่านตรอกซอยแล้วหลายตรอกซอย อวี้จิ่นเอนตัวพิงกับประตูบานหนึ่ง จากนั้นก็ออกแรงเคาะประตู

“นั่นใคร” อีกด้านของประตูเอ่ยถามด้วยเสียงระวังตัว จากเสียงที่ได้ยินก็ฟังออกได้ว่าเป็นเสียงชายหนุ่ม

“ข้าเอง” อวี้จิ่นตอบกลับไปง่ายๆ

อีกด้านของประตูนิ่งสงัด

“เจ้าเป็นใคร” หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง เสียงจากอีกด้านของประตูดังขึ้นอีกครั้ง

เวลานี้ ด้านนอกประตูมีเสียงตุบดังขึ้น เหมือนเป็นสิ่งของขนาดหนักกระแทกใส่ประตู

ชายหนุ่มด้านในประตูตกใจสะดุ้ง

หรือว่าพวกขาดคุณธรรมมาทำเรื่องชั่วๆ

เขาแนบหูกับประตูฟังอีกครั้ง ไม่มีเสียงเคลื่อนไหวแล้ว

เมื่อนึกคิดไปมาเสร็จ ชายหนุ่มจึงตัดสินใจแง้มประตูออกเบาๆ พอมองออกไปก็อดตัวสั่นไม่ได้

ด้านนอกประตูมีคนล้มอยู่คนหนึ่ง!

ชายหนุ่มเปิดประตูออกทันที