ตอนที่ 314 ครั้งนี้เขาทำเงินได้ไม่น้อย ตอนที่ 315

คุณหนูใหญ่ผู้นี้ไม่ต้องการก้าวหน้า

ตอนที่ 314 ครั้งนี้เขาทำเงินได้ไม่น้อย / ตอนที่ 315 ข้าเป็นคนหัวแข็ง

ตอนที่ 314 ครั้งนี้เขาทำเงินได้ไม่น้อย

เถิงเจาเต็มใจฝากตัวเป็นศิษย์ฉินหลิวซี ต่อให้เถิงเทียนฮั่นที่เป็นพ่อจะไม่เต็มใจก็ต้องปล่อยมือ แต่กลับยืนกรานจะไปส่งบุตรชายที่เมืองหลี

เถิงเทียนฮั่นเข้าใจดีว่านี่อาจเป็นโอกาสสุดท้ายสำหรับพวกเขาสองพ่อลูกที่จะมีความสัมพันธ์อันอบอุ่น เมื่อเข้าสู่เมืองหลีแล้ว เกรงว่าอาจใช่เวลานานกว่าจะได้พบเถิงเจาอีกครั้ง

เมื่อฉินหลิวซีเห็นการยืนหยัดของเถิงเทียนฮั่นจึงไม่ได้ปฏิเสธ อย่างไรเสียตัวเองก็ลักพาตัวบุตรชายของเขาไป คงจะไม่สามารถปฏิเสธคำขอร้องเพียงเท่านี้ได้

เพียงแค่เข้าสู่สำนักของนางเท่านั้น ไม่ได้ตัดประสาทสัมผัสทั้งหกและเรื่องทางโลกสักหน่อย

ในเมื่อเถิงเทียนฮั่นจะไปส่ง เช่นนั้นก็ใช่ว่าจะไปก็ไปได้เลย สิ่งที่ควรจัดเตรียมก็ต้องจัดเตรียม ซ้ำยังต้องเตรียมคนร่วมเดินทาง และสิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือต้องเก็บข้าวของส่วนตัวของเถิงเจาด้วย

ฉินหลิวซีมองไปยังกล่องขนาดใหญ่หลายกล่อง มุมปากกระตุก เอ่ย “ในเมื่อเขาฝากตัวเป็นศิษย์ข้าแล้ว ก็ย่อมต้องบำเพ็ญฝึกฝนกับข้า ไม่จำเป็นต้องมีเครื่องประดับหยกใดๆ เพียงแค่เก็บเสื้อผ้าสีพื้นให้เขาสักหลายๆ ชุดก็พอ”

ทุกคนตกตะลึง หันไปมองเถิงเจาอย่างทำตัวไม่ถูก จากนั้นก็หันไปมองเถิงเทียนฮั่นกับท่านอาจารย์ฉีที่อบรมสั่งสอนเขาเสมอมา

ท่านอาจารย์ฉีกล่าวว่า “เขาเคยชินกับ…” ดฯฌซ,ฑ๊โฌฮฤ

“ความเคยชินเป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้น เมื่อไปถึงสถานที่ใหม่ ย่อมต้องฝึกความเคยชินและปรับตัวใหม่อีกครั้ง” ฉินหลิวซีมองไปยังเถิงเจา เผยให้เห็นรอยยิ้มที่มีความหมายแอบแฝง

เถิงเจา “…”

“เช่นนั้นของกิน ของใช้ อีกทั้งยาล่ะ”

ฉินหลิวซีเอ่ย “เกรงว่าท่านจะลืมสถานะของข้า วิชาแพทย์ข้าก็รู้ ร่างกายของเขาย่อมมีอาจารย์อย่างข้าช่วยรักษาให้เขา แต่วัตถุดิบยาก็นำไปด้วยเถิด ข้าจะได้ปรุงยาให้เขา”

อย่างไรเสียเมื่อกลับไปเมืองหลีก็ต้องซื้อ ตอนนี้มีเงินไม่มากนัก เลี้ยงศิษย์สองคนในคราวเดียว ทุกอย่างต้องใช้เงิน จึงต้องคำนวณให้ละเอียดมากขึ้น

เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฉินหลิวซีก็เอ่ยต่อไปอีกว่า “เงินของเจาเจามีทั้งหมดเท่าไหร่ เอาไปให้หมด”

ทุกคนหายใจไม่สะดวก สายตาที่มองไปยังฉินหลิวซีแฝงไว้ด้วยความไม่พอใจ

แม้แต่เถิงเจาก็มองไปยังฉินหลิวซี เถิงเทียนฮั่นยิ่งสูญเสียความสงบนิ่งที่ขุนนางระดับสูงควรมี ใบหน้าหล่อเหลาบูดเบี้ยวเล็กน้อย

จะว่าไปแล้วเจ้ารับลูกศิษย์ไว้เพื่อหาเงินเลี้ยงดูยามแก่ชรากระมัง

ฉินหลิวซียิ้มอย่างลำบากใจ “ร่างกายของเขาต้องได้รับการรักษาระยะยาว หากต้องการวัตถุดิบยาชั้นดี ก็ล้วนมีราคาแพงมาก ข้ารับงานไม่มาก ซ้ำยังเป็นนักพรต เกรงว่าจะมีเงินใช้จ่ายไม่คล่องมือ”

ดูสิ เข้าร่วมสำนักของเขาแล้ว ยังต้องหาเงินเลี้ยงตัวเองอีก

บ่าวรับใช้ตระกูลเถิงต่างก็มองไปทางคุณชายน้อย สายตาแฝงไว้ด้วยความสงสาร อย่างไรเสียก็ยังไม่ได้ฝากตัวเป็นศิษย์ เช่นนั้นก็ไม่ต้องไปหรอก อาจารย์สำนักนี้ดูพึ่งพาไม่ค่อยได้ ซ้ำยังยากจนอีก

“แต่พวกเจ้าวางใจได้ ข้าเพียงแค่เงินไม่คล่องมือเป็นการชั่วคราว ข้ามีความสามารถมาก หากรับงานตระกูลใหญ่ๆ เรื่องเงินก็ไม่ใช่ปัญหา” ฉินหลิวซียิ้มเจื่อนๆ

ใครจะเชื่อเจ้า

เถิงเทียนฮั่นมองไปยังพ่อบ้าน กำชับให้เขาไปเปิดบัญชีที่ร้านฝากเงินในต้าเฟิงทันที นำเงินไปฝากและนำตราประทับกลับมาด้วย

ในเมื่อผู้เป็นอาจารย์พึ่งพาไม่ได้ เขาผู้เป็นพ่อก็ไม่ควรทำตัวพึ่งพาไม่ได้ด้วย ต้องเตรียมเงินไว้ให้บุตรชาย

เถิงเทียนฮั่นมองดูใบหน้าที่ไร้อารมณ์ของบุตรชาย ราวกับว่าการให้เงินเพิ่มอีกสักหน่อยจะสามารถบรรเทาความรู้สึกผิดในใจได้

วั่งชวนยืนอยู่ข้างเถิงเจา เอื้อมมือไปจะจับมือของเขาพลางเอ่ย “ศิษย์พี่ พวกเราต้องเชื่อมั่นในอาจารย์”

เถิงเจาหลบมือของนางแล้วไขว้หลังไว้

วั่งชวนไม่ได้โกรธ ใช้นิ้วเล็กๆ สองนิ้วจับที่แขนเสื้อของเขาเบาๆ

วันต่อมา

ประตูด้านข้างของจวนเถิงเปิดออก ด้านนอกประตูมีองครักษ์และบ่าวรับใช้นำสิ่งของสำหรับเดินทางไกลมาไว้บนรถม้า

เหล่าโฉวยืนอยู่หน้ารถม้า มองดูความอลังการ คิดในใจว่า ‘อาจารย์ปู้ฉิวท่านนี้รู้จักวางแผนจริงๆ ตอนมากล่าวได้ว่าหัวเดียวกระเทียมลีบ ตอนกลับกลับมีกระเป๋าเล็กกระเป๋าใหญ่ ซ้ำยังได้ลูกศิษย์อีกสองคน หนึ่งในลูกศิษย์นั้นได้นำทรัพย์สมบัติตระกูลไปด้วย’

ครั้งนี้เขาทำเงินได้ไม่น้อย

เถิงเทียนฮั่นเดินออกมาด้วยใบหน้านิ่งเรียบ ด้านหลังคือฉินหลิวซีที่มีใบหน้ายิ้มแย้มและลูกศิษย์ใหม่อีกสองคน

ความแตกต่างอย่างใหญ่หลวงเช่นนี้ รู้สึกไม่พอใจราวกับบิดาที่ส่งบุตรสาวไปแต่งงาน

เถิงเทียนฮั่นรู้สึกเหมือนถูกบีบบังคับ บุตรชายคนโตก็ไม่สามารถรั้งไว้ได้ จึงถูกคนอื่นพาตัวไปแล้ว

“ในที่สุดเจ้าก็ออกมาแล้ว!”

ทันใดนั้นก็มีเสียงตะโกนดังขึ้น และมีคนพุ่งมาทางนี้

ตอนที่ 315 ข้าเป็นคนหัวแข็ง

ด้วยเสียงอุทาน ทำให้ทุกคนหันไปมอง เห็นเพียงนักพรตเต๋าสวมชุดสีม่วงมวยผมขึ้น ห้อยกระจกแปดเหลี่ยมไว้ที่เอว ถูกองครักษ์สองคนขวางไว้ด้านนอก เขามองฉินหลิวซีด้วยความคับข้องใจ

เป็นนักพรตเฉิงหยาง

ทันทีที่เกิดเรื่องขึ้นกับพ่อลูกตระกูลจย่า เถิงเทียนฮั่นก็ให้คนปล่อยตัวนักพรตเฉิงหยาง อย่างไรเสียเขาก็ไม่ใช่โจรย่องเบาจริงๆ ทั้งสองฝ่ายต่างรู้ดี

ส่วนเรื่องของตระกูลจย่านั้น จย่าเจิ้นเสียชีวิตแล้ว จย่าหยวนไว่ก็พิการ ต่อให้เขามีความกดดันแค่ไหน สิ่งที่ควรตรวจสอบก็ต้องตรวจสอบ สิ่งที่ควรลงโทษก็ต้องลงโทษ ตระกูลจย่าพังทลายลงแล้ว

ทันทีที่ตระกูลจย่าถูกตรวจสอบ เมื่อผู้มีอำนาจล้มลงผู้ติดตามก็แยกย้ายกันไปทันที ทุกคนต่างพากันตัดความสัมพันธ์ แม้แต่เซียวจั่นรุ่ยที่เป็นคนในตระกูลผู้ตรวจการเซียว หลังจากรู้เรื่องของพ่อลูกตระกูลจย่า ฟ้ายังไม่ทันรุ่งสางก็ออกจากเมืองมุ่งหน้าไปยังเมืองหลีแล้ว ท่าทางราวกับกลัวว่าจะถูกดึงเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย

เหตุผลที่เขาจากไปนั้นหาได้ง่าย ก็คือไปถวายค่าน้ำมันตะเกียงเป็นการตอบแทน เพื่อแสดงความจริงใจจึงไม่ควรรอช้า

ดังนั้นจึงไม่มีเหตุผลที่ต้องกักขังนักพรตเฉิงหยางอีกต่อไป

เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าคนผู้นี้จะยังกล้าปรากฏตัวต่อหน้าฉินหลิวซีและคนอื่นๆ ดูจากท่าทางแล้วไม่รู้ว่าต้องการทะเลาะกับฉินหลิวซีหรือต้องการคุยด้วยเหตุผลกันแน่

ไม่รู้ว่าเถิงเทียนฮั่นคิดอะไรอยู่ เขาโบกมือให้องครักษ์ถอยไป ปล่อยให้นักพรตเฉิงหยางผู้นั้นมาหาเรื่องฉินหลิวซี

ไม่ได้มีสิ่งอื่นใด เขาเพียงอยากดูเรื่องสนุกก็เท่านั้น

ฉินหลิวซีไม่รู้ถึงเจตนาแอบแฝงของขุนนางระดับสูงผู้นี้ เพียงแต่มองนักพรตเฉิงหยางพุ่งมาอยู่ตรงหน้าจากที่สูง เอ่ย “เจ้ายังกล้ามาอีกหรือ”

นักพรตเฉิงหยางหัวเราะด้วยความโกรธ จะชิงบิดเบือนข้อเท็จจริงก่อนหรือ

“ไยข้าจะไม่กล้ามา หากไม่ใช่เพราะเจ้าจับข้าในฐานะโจรย่องเบา ข้าก็คงจับผีบาปตนนั้นได้ไปนานแล้ว เช่นนั้นก็จะไม่มีคนตาย ตอนนี้พ่อลูกตระกูลจย่าถูกผีบาปตนนั้นทำร้ายจนคนหนึ่งตาย อีกคนหนึ่งพิการ เจ้าไม่ช่วยคนที่กำลังเดือดร้อน แต่กลับช่วยผีบาปทำสิ่งชั่วร้าย”

ฉินหลิวซีก็หัวเราะด้วยความโกรธเช่นกัน “ข้าขอเตือนเจ้าว่าอย่าได้ใส่ร้ายป้ายสีมั่วซั่ว มิเช่นนั้นข้าจะไปฟ้องร้องเจ้าที่ศาลปกครอง บอกว่าเจ้าทำร้ายร่างกายข้า เป็นเหตุให้ข้าได้รับบาดเจ็บทั้งร่างกายและจิตใจ สามารถเรียกค่าสินไหมจากถุงเงินเจ้าได้ตลอดเวลา”

“เจ้า เจ้า เจ้า…”

“เจ้าอะไรกัน การตายของพ่อลูกตระกูลจย่าเกี่ยวอะไรกันกับข้า ข้าไม่ใช่เจ้าเสียหน่อย เกิดมาเป็นพ่อพระแห่งความเมตตา ห่วงใยคนทั้งใต้หล้า ช่วยเหลือไปเสียทุกคน” ฉินหลิวซีเหลือบมองดูเขาอย่างดูแคลน “แต่เจ้าก็ไม่ใช่ผู้สูงส่งโดยแท้จริง หากไม่ใช่เพราะตระกูลจย่าให้ค่าตอบแทนสูง เจ้าก็ไม่มีทางลงมือ”

นักพรตเฉิงหยางรู้สึกผิด ทันใดนั้นก็คิดได้ เอ่ย “เหลวไหล ข้ายึดถือการปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง”

“อ้อ ดีมาก จงทำต่อไป”

นักพรตเฉิงหยางแทบกระโดดด้วยความร้อนใจ ระงับอารมณ์ไว้แล้วถามว่า “เจ้าปล่อยผีบาปตนนั้นไปทำให้พ่อลูกตระกูลจย่าพบกับจุดจบอันน่าอนาถ จะว่าไปแล้วก็เหมือนกับว่าเจ้าฆ่าเขาตายทางอ้อม ไม่กลัวถูกเจ้าลัทธิเต๋าตำหนิหรือ”

ฉินหลิวซี “คนอย่างข้าไม่มีอะไรต้องกลัว หากเจ้าลัทธิเต๋าตำหนิข้าเพราะเหตุนี้ เช่นนั้นข้าก็จะกบฏต่อเขา!”

ทุกคนสูดหายใจเข้า ‘นางอวดดีเกินไปแล้ว!’

เจ้าลัทธิเต๋า ‘นางช่างกล้าจริงๆ!’

“รู้หรือไม่ว่าเหตุใดข้าจึงกล้าเอ่ยเช่นนี้” ฉินหลิวซีสีหน้าเย็นชา “เป็นเพราะจย่าเจิ้นสมควรตาย และข้าไม่เคยช่วยผู้ที่สมควรตาย!”

นางเดินลงบันไดไปสองก้าว สายตาจ้องไปที่เขาพลางเอ่ย “เจ้ายึดถือการปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง ในใจของเจ้า ความถูกต้องคืออะไร ผู้ที่ยังมีชีวิตคือความถูกต้อง คนที่ตายไปแล้วเป็นผีบาปอย่างนั้นหรือ ตอนที่เจ้าเอาแต่ด่านางว่าเป็นผีบาป เคยคิดหรือไม่ว่าเหตุใดนางจึงเป็นผีบาปอย่างที่เจ้าเอ่ย”

นางสายตาเกรี้ยวกราด น้ำเสียงแข็งกร้าว ทำเอานักพรตเฉิงหยางตื่นตระหนก

ข้างหลังนาง ดวงตาของเสี่ยววั่งชวนเป็นประกาย กระซิบกับเถิงเจาที่อยู่ข้างๆ ว่า “ท่านอาจารย์ดูน่าเกรงขามและสง่างามมาก สมแล้วที่เป็นท่านอาจารย์ของพวกเรา!”

เถิงเจามองเงียบๆ บางครั้งการไม่รู้ก็ถือเป็นความสุขอย่างหนึ่ง

นักพรตเฉิงหยางกลืนน้ำลาย เอ่ย “ไม่ว่าอย่างไร นางก็ขึ้นชื่อว่าทำร้ายคนอยู่ดี”

“ใช่ นางทำร้ายคน ทำร้ายคนที่ฆ่านาง ฆ่าคนก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ทำสิ่งใดก็ได้สิ่งนั้น ผิดตรงไหนหรือ หากไม่มีเหตุ ไหนเลยจะมีผล” ฉินหลิวซีหัวเราะเยาะ “เจ้าเรียกร้องความยุติธรรมให้เศษสวะอย่างจย่าเจิ้นผู้นั้น เคยคิดหรือไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกนางสองแม่ลูกบ้าง”

นักพรตเฉิงหยางถึงกับพูดไม่ออก

“อีกอย่างเจ้ายังตำหนิที่ข้าไม่ช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน ทำไมหรือ อยากจะให้คนในเสวียนเหมินภักดีในการปราบสิ่งชั่วร้ายปกป้องเต๋า ปราบวิญญาณชั่วร้ายทั้งหมดเพื่อช่วยเหลือราษฎรหรือ ถุย อย่าคิดใช้ศีลธรรมเช่นนี้มาผูกมัดข้า ข้าเป็นคนหัวแข็งมาแต่กำเนิด ไม่ได้ถูกพ่อพระแห่งตวามเมตตาเข้าสิงอย่างเจ้า เพียงแค่แบมือทั้งสองข้างก็ส่องแสงสว่างไสว”

ฮิฮิ ไม่รู้ว่าใครหัวเราะ

นักพรตเฉิงหยางโกรธจนหน้าแดงก่ำ หลังจากผ่านไปนานก็เอ่ยว่า “แม้ว่านางจะมีความแค้น แต่จย่าเจิ้นเป็นคนที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อนางทำร้ายเขาก็จะต้องแบกรับบาปกรรมนี้ สิ่งนี้เป็นผลดีกับนางตรงไหน ด้วยเหตุผลนี้เจ้าควรจะช่วยเขาใช่หรือไม่”

“เจ้าเคยเห็นดวงวิญญาณที่ยึดติดกับความแค้นตนไหนสามารถไปเกิดใหม่ได้หรือไม่”

นักพรตเฉิงหยางสำลัก

“จะคนหรือผีก็ควรรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเอง นางแค่ทำตามหัวใจ ส่วนเรื่องบาปกรรมน่ะหรือ” ฉินหลิวซีหัวเราะเบาๆ “หากข้าตายไปด้วยความเกลียดชังอย่างล้นหลาม ส่วนคนที่ทำร้ายข้ากลับมีชีวิตที่ดี ข้าจะมีชีวิตที่บริสุทธิ์ไปทำไม ตาต่อตาฟันต่อฟัน ใช้ความชั่วตอบแทนความชั่ว ต่อให้ต้องแบกรับบาปแล้วจะอย่างไร”

คำพูดเสียงดังและทรงพลัง

ทุกคนมองไปยังชายหนุ่มที่ยืนเอามือไขว้หลัง หายใจติดขัดเล็กน้อย พากันหรี่ตามอง

แม้จะไม่ได้ถูกพ่อพระแห่งความเมตตาเข้าสิง แต่ขณะนี้คนผู้นี้กลับเปล่งประกายเจิดจ้า

สายตาที่นิ่งเฉยของเถิงเจามีความเคลื่อนไหว ในดวงตาของเขา ทั้งร่างกายของอีกฝ่ายกำลังลุกไหม้ราวกับเปลวไฟลุกโชน เจิดจ้า และร้อนระอุ

นักพรตเฉิงหยางก็ตกตะลึงเช่นกัน หลังจากผ่านไปนานก็ได้สติกลับมา เอ่ย “เจ้ากล่าวผิดหลักการ”

“วิธีการที่แตกต่างกัน ย่อมไม่สามารถสมคบคิดร่วมกันได้” ฉินหลิวซีเหลือบมองเขา “เจ้ามีวิธีการของเจ้า ข้ามีวิธีการของข้า ข้าไม่สนว่าเจ้าจะยัดเยียดเจตจำนงของเจ้าให้กับใคร แต่หากเจ้ายัดเยียดมันให้ข้า…ระวังข้าจะอัดเจ้า!”

นางยกกำปั้นขึ้นขู่

นักพรตเฉิงหยางตกใจจนถอยหลังหนึ่งก้าว “เจ้า เจ้า เจ้า ข้าไม่เถียงกับนักพรตน้อยอย่างเจ้าแล้ว เหอะ”

เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วจากไป เหลือบมองด้วยหางตา เห็นเสี่ยววั่งชวนที่อยู่ข้างหลังนาง หรี่ตาลง “เอ๊ะ?”

เขาก้าวไปข้างหน้าสองก้าว มองใบหน้าของเสี่ยววั่งชวนอย่างละเอียด ใช้นิ้วคำนวณ กล่าวด้วยความประหลาดใจว่า “โหงวเฮ้งของสาวน้อยผู้นี้ผิดปกติ เจ้าเป็นคนอายุสั้น ควรจะตายแล้วสิ”

ฉินหลิวซีสีหน้าเปลี่ยนไป ตบไปที่หน้าของเขา “นักต้มตุ๋นกระจอก พูดจาเหลวไหล ข้าไว้หน้าเจ้าแล้วยังไม่รู้จักสำนึกอีก”

นักพรตเฉิงหยางร้องพลางเอามือปิดหน้า จากนั้นก็มีความคิดผุดขึ้นมาในหัว “เจ้าเป็นคนฝืนช่วยชีวิตนางกลับคืนมา เจ้ากำลังฝืนลิขิตสวรรค์ ไม่กลัวต้องโทษห้าโทษสามวิบัติหรือ”

“ไสหัวไป!” ฉินหลิวซีทำท่าจะต่อยเขาอีกครั้ง ซ้ำยังตะโกนเสียงดัง “ทุกคนมาดูเร็ว นี่คือนักต้มตุ๋นที่ช่วยสุนัขเลวจย่ารังแกผู้อื่น”

นักพรตเฉิงหยางไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะหน้าด้านเช่นนี้ ชี้ไปที่อีกฝ่าย “เจ้ามันร้ายกาจ!”

เขาวิ่งหายไปไม่เห็นแม้แต่เงา

ฉินหลิวซีปัดมือ สีหน้าสงบนิ่งพลางเอ่ย “เอาล่ะ ในที่สุดเจ้านักต้มตุ๋นผู้นี้ก็ไปแล้ว ศิษย์ข้าพวกเราขึ้นรถกันเถิด”

นางก้าวเท้าเดินลงบันได เมื่อถึงขั้นสุดท้าย ดูเหมือนว่าเท้าหลังของนางถูกดึงด้วยอะไรบางอย่าง การทรงตัวไม่มั่นคง จึงพุ่งตัวไปข้างหน้า

แย่แล้ว!

ตุ้บ

ฉินหลิวซีล้มลงกับพื้นเป็นตัวอักษร ‘ต้า (大)’

ทุกคนร้องด้วยความตกใจ “ท่านอาจารย์ ท่านเป็นอะไรหรือไม่”

เถิงเทียนฮั่นก็ประหลาดใจเล็กน้อยเช่นกัน เดินเข้าไปดู ทำท่าจะดึงขึ้น

“อย่า!” ฉินหลิวซียกมือขึ้นห้าม เงยหน้าขึ้น สีหน้าเต็มไปด้วยความโกรธ “เท้าแพลงแล้ว”

ห้าโทษสามวิบัติบ้าบอ พ่อพระแห่งความเมตตาเฉิงหยางปากอีกา ข้ากับเจ้าเป็นปฏิปักษ์ต่อกัน!

ทุกคน “…”