ตอนที่ 161

My Disciples Are All Villains

หยวนเอ๋อเองก็ไม่ไว้ใจเช่นกัน “ศิษย์เองก็คิดว่าเจ้านี่จะต้องวางแผนอะไรเอาไว้แน่”

ลู่โจวเองหยุดเดินกลางคันก่อนที่จะพูดขึ้น “แล้วเจ้าต้องการอะไร? “

หมิงซี่หยินโค้งคำนับลู่โจวก่อนที่จะเดินไปหาเหวยซู่หยาน “เหวยซู่หยาน เจ้าน่ะกล้าหาญมาก”

เหวยซู่หยานที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ถามกลับมา “ข้าไม่ค่อยความหมายที่ท่านพูดเท่าไหร่”

“เอาล่ะ…พอได้แล้ว ข้าน่ะรู้แผนการของเจ้าทั้งหมดแล้ว…แผนการของเจ้าน่ะมันน่าเบื่อเต็มทีแล้วล่ะ” หมิงซี่หยินส่ายหัว

“ข้าไม่เข้าใจจริงๆ ว่าท่านหมิงซี่หยินต้องการที่จะพูดถึงอะไรกัน” ท่าทางของเหวยซู่หยานในตอนนี้แตกต่างกับท่าทางตอนที่ตัวเขาเพิ่งจะมาถึงอย่างเห็นได้ชัด

“เจ้าน่ะเป็นถึงแม่ทัพหลวงผู้คุมทหารทั้ง 3 กองทัพเอาไว้ เป็นถึงชายผู้คุมอำนาจทางการทหารเอาไว้ เจ้าน่ะมาที่นี่ก็เพื่อที่จะไถ่บาปอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินที่ได้พูดเสร็จก็ได้หัวเราะออกมา

เหวยซู่หยานส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา “ทุกวันนี้ข้าได้กินนอนลำบากขึ้นทุกวัน ข้าคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มาโดยตลอด สิ่งนี้ทำให้ข้าต้องเป็นกังวลอยู่ทุกค่ำคืน…ข้าน่ะไม่อาจที่จะฝืนขัดขืนมันได้เลย…เรื่องของหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์เป็นความผิดของข้าเพียงคนเดียว ข้าจะต้องแบกรับผลจากการกระทำของตัวเอง ศาลาปีศาจลอยฟ้าจะทรมานหรือจะเอาชีวิตข้าก็แล้วแต่เลย”

“…” หมิงซี่หยินผงะ ‘เจ้านี้ทำเป็นพูดดี เขาพยายามที่จะทำให้ข้าไขว้เขวอย่างงั้นหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นความตั้งใจของเจ้านี้ดูแน่วแน่มากอีกด้วย’

“เจ้าจะไม่คิดจะขอความเมตตาเลยอย่างงั้นหรอ? “

“ข้าไม่มีสิทธิ์ที่จะขอความเมตตาหรอก ตั้งแต่ที่ข้ามาที่นี่ข้าก็ไม่ได้คิดเรื่องการมีชีวิตอยู่อีกต่อไปแล้วล่ะ แต่ไม่ว่าจะยังไงข้ามีคำขอที่จะขอ 1 ข้อ”

“เจ้าจะขออะไรกัน? “

“ช่วยจบชีวิตของข้าด้วย”

ความเงียบได้ปกคลุมห้องโถงอีกครั้ง

นี่ถือเป็นครั้งแรกที่ชาวศาลาปีศาจลอยฟ้าจะได้ยินคำขออะไรแบบนี้

นับตั้งแต่ที่พวกศาลาปีศาจลอยฟ้าขับไล่ยอดฝีมือทั้งสิบออกไปได้ ซู่จินฉานแห่งวิหารปีศาจ, ฝานซุยเหวินหัวหน้าอัศวินดำ, หรือฮั๊ววู่เด๋าที่มาที่นี่เพราะเจตจำนง ไม่มีใครสักคนที่ร้องขอเหมือนกับเหวยซู่หยานคนนี้

ความตั้งใจของเหวยซู่หยานได้ทำให้ทุกคนรู้สึกสับสน

ยิ่งเขาถ่อมตัวมากเท่าไหร่หมิงซี่หยินเองก็ยิ่งรู้สึกสงสัยมากขึ้นเท่านั้น

หมิงซี่หยินได้เดินตรงไปที่เหวยซู่หยานก่อนที่จะพูดออกมาด้วยเสียงที่แหบห้าว “เจ้าน่ะเป็นยอดฝีมือผู้มีพลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบ…”

“ทำไมท่านถึงคิดสงสัยแบบนั้น ท่านหมิงซี่หยิน? ศาลาปีศาจลอยฟ้าได้บอกให้ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะไถ่บาปกับสิ่งที่ได้ทำเอาไว้ ในตอนนี้ข้าก็มาแล้วนี่ไง! หรือว่า…การที่ศาลาปีศาจลอยฟ้าบอกให้ข้ามาที่นี่ก็เพื่อที่จะให้ข้าร่วมมือกับศาลาปีศาจลอยฟ้าต่อสู้กับศัตรูของท่านอย่างงั้นหรอ? ” เหวยซู่หยานเองก็ไม่เข้าใจว่าหมิงซี่หยินต้องการอะไรเช่นกัน ‘ก็พวกเจ้าบอกเองว่าไม่ชอบที่จะให้ข้าต่อต้าน เพราะแบบนั้นข้าก็เลยทำตามทุกอย่าง แล้วมาถึงตอนนี้เจ้าพวกนี้ก็ยังมาถามหาแรงจูงใจของข้า ข้าจะต้องทำยังไงกันเพื่อให้เจ้าพวกนี้พอใจ? ‘ เหวยซู่หยานเองรู้สึกสับสนเป็นอย่างมาก

เหวยซู่หยานดูเหมือนจะไม่ได้มีอะไรปิดบังเอาไว้ หมิงซี่หยินที่เห็นแบบนั้นก็ได้แต่เกาหัว เขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่

ต้วนมู่เฉิงและหยวนเอ๋อเองก็ไม่เข้าใจเช่นกัน

ในความเป็นจริงแล้วไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลยที่พวกเขาจะคิดสงสัยแบบนี้ นี่ถือเป็นครั้งแรกที่มีคนมามอบตัวเองด้วยเหตุผลแบบนี้

ในท้ายที่สุดแล้วหยวนเอ่อก็ได้พูดออกมา “ศิษย์พี่สี่ บางทีเขาอาจจะตั้งใจมาที่นี่ก็เพราะตัวเขาเจอกับปัญหามานานแล้วก็ได้? “

“…”

“ศิษย์น้องหยวนเอ๋อ เจ้าน่ะไร้เดียงสาจนเกินไป ข้าไม่เชื่ออะไรที่ออกมาจากปากของเจ้านี่หรอก…” หมิงซี่หยินได้พูดขึ้น

หยวนเอ๋อที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดแย้งขึ้น “แต่เจ้านี่…เต็มใจที่จะตาย”

ใช่แล้ว เหวยซู่หยานดูเหมือนพร้อมที่จะตายโดยที่ไม่มีความหวั่นใจใดๆ และเพราะแบบนั้นเองหมิงซี่หยินก็ได้พูดจาดูถูกเหยียดหยามออกมา “บางทีเจ้านี่อาจจะซ่อนเวทมนตร์คาถาที่แสนน่ากลัวเอาไว้ก็เป็นได้ เวทมนตร์คาถาที่เหมือนกับสิบคนทรงพวกนั้น! ” หลังจากนั้นหมิงซี่หยินก็ได้พูดต่อไป “ใช่ ใช่แล้วมันจะต้องเป็นความจริงแน่ ทุกคน ถอยกลับไปซะ! เราจะปล่อยให้เจ้านี้ทำตามอำเภอใจไม่ได้! “

“…”

หมิงซี่หยินดูเหมือนจะหวาดระแวงเกินไปหน่อย แต่ถึงแบบนั้นเขาก็พอจะพูดมีเหตุผล

ตั้งแต่วินาทีที่เหวยซู่หยานเข้ามาก่อนที่จะคุกเข่าลง ทุกๆ คนก็คิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอะไรที่แปลกประหลาดมาก เขาคนนี้ดูเหมือนจะตั้งใจที่จะทำตัวอ่อนน้อมถ่อมตนและดูรู้สึกผิดเป็นพิเศษ นี่ไม่ใช่วิธีการที่ผู้ที่จะเป็นแม่ทัพจะทำได้เลย

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อไม่นานมานี้เจียงอาเฉียนก็เพิ่งจะส่งข้อความไปให้เหวยซู่หยาน เจียงอาเฉียนได้บอกเอาไว้ว่าเหวยซู่หยานไม่ได้คิดอะไรมากนักเมื่อได้เห็นข้อความที่ถูกส่งไป แล้วทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้กัน ทำไมเหตุการณ์ถึงพลิกกลับคนละข้างแบบนี้?

ทุกๆ คนจ้องไปที่เหวยซู่หยานอีกครั้ง

เหวยซู่หยานพูดด้วยใบหน้าที่ตรงไปตรงมา น้ำเสียงของเขาปราศจากซึ่งความกลัว “เป็นธรรมดาอยู่แล้วที่พวกท่านจะคิดว่าข้าจะพยายามหลอกพวกท่านอยู่ แต่ถึงแบบนั้นได้โปรดเถอะ ได้โปรดให้ข้าตายด้วย… “

“…”

สถานการณ์ในตอนนี้ดูน่าอึดอัดมากขึ้น

หมิงซี่หยินรู้สึกภูมิใจในความฉลาดของตัวเองมาโดยตลอด แต่ถึงแบบนั้นเขากลับมองเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าไม่ออก

ต้วนมู่เฉิงถอนหายใจก่อนที่จะส่ายหัวและพูดขึ้น “บางทีศิษย์น้องหญิงอาจจะพูดถูกแล้วก็ได้ บางทีเจ้านี่อาจจะมาด้วยความจริงใจ”

เหวยซู่หยานได้พูดออกมาอีกครั้ง “ถูกแล้ว ข้าน่ะสำนึกผิดไปแล้ว”

ยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกอึดอัด การจะพูดว่าตัวเองสำนึกผิดหรือไม่ถ้าหากได้ยินจากปากของคนอื่นก็คงจะเชื่อถือได้มากกว่านี้

“พอได้แล้ว” ลู่โจวพูดขึ้น

ในตอนนั้นเองห้องโถงใหญ่ก็เงียบลง

หมิงซี่หยินถอยกลับไป สีหน้าของเขาในตอนนี้ดูอับอายเป็นอย่างมาก ตัวเขารู้สึกอับอายเกินกว่าที่จะพูดอะไรออกมาอีก

ลู่โจวได้เดินตรงไปหาเหวยซู่หยาน

เหวยซู่หยานที่ยังคุกเข่าอยู่ได้เงยหน้าขึ้นก่อนที่จะเหลือบมองลู่โจว ตัวเขาเห็นลู่โจวกำลังเดินตรงมาเรื่อยๆ

ว่ากันว่าดวงตาเป็นหน้าต่างจิตวิญญาณของแต่ละคน จากการจ้องมองเหวยซู่หยาน ลู่โจวก็รู้ได้ทันทีว่าชายคนนี้ไม่ได้รู้สึกเกรงกลัวอะไรเลย

ลู่โจวมองไปที่เหวยซู่หยานก่อนที่จะพูดขึ้น “เจ้าน่ะไม่กลัวจริงๆ อย่างงั้นหรอ? “

“ข้าไม่กลัวความตาย…มีอะไรกันที่จะทำให้ข้ารู้สึกกลัวได้? “

“จะเป็นยังไงกันถ้าหากเจ้าไม่ใช่คนเดียวที่ข้าอยากที่จะจัดการ? “

“…” เหวยซู่หยานที่ได้ยินแบบนั้นรู้สึกสับสน

ในตอนนั้นเองห้องโถงใหญ่ก็ได้เงียบลงอีกครั้ง ในคราวนี้มันเงียบเกินกว่าที่จะมีใครกล้ากลืนน้ำลายลงคอ

หมิงซี่หยิน, ต้วนมู่เฉิง และหยวนเอ๋อ ทั้งสามต่างก็หันไปมองผู้เป็นอาจารย์อย่างลู่โจว ความจริงแล้วพวกเขาทั้งสามคนอยากที่จะปรบมือชื่นชมผู้เป็นอาจารย์สำหรับความโหดเหี้ยม มีเพียงอาจารย์เท่านั้นที่จะรับมือกับคนแบบนี้ได้

“ทำไมท่านต้องพูดแบบนั้นกันท่านปรมาจารย์? “

“เพราะเจ้าไม่ซื่อสัตย์ยังไงล่ะ…”

เหวยซู่หยานรู้สึกผงะขึ้นมาอีกครั้ง ในตอนแรกตัวเขาพยายามที่จะทำให้จิตใจว่างเปล่ามากที่สุด แต่ในตอนนี้ความรู้สึกหวาดหวั่นก็ได้เข้าปกคลุมจิตใจของเขาอีกครั้ง “นั้นไม่สำคัญ ทุกอย่างล้วนไม่สำคัญอีกต่อไป ในเมื่อศาลาปีศาจลอยฟ้าอยากที่จะให้ข้าตาย จะพูดเรื่องอื่นไปก็คงจะไม่มีความหมายอะไร”

ลู่โจวส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับ “ไม่ มันมีความหมาย”

เหล่าศิษย์สาวกทั้งหมดต่างก็งุนงง

ลู่โจวจ้องไปที่เหวยซู่หยาน ตัวเขาได้ถอนหายใจก่อนที่จะพูดขึ้น “ตั้งแต่ที่เจ้าต้องการจะตาย เจ้าน่ะก็ได้เติมเต็มความปรารถนานั่นไปแล้ว”

“…ถูกแล้ว…” คำว่า ‘ถูกแล้ว’ ของเหวยซู่หยานฟังดูเหมือนไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นักเมื่อเทียบกับก่อนหน้านี้

ลู่โจวยกมือขึ้นมาก่อนที่จะซัดเข้าใส่เหวยซู่หยานโดยที่ไร้สัญญาณเตือน พลังลมปราณของเขาลู่โจวได้อัดแน่นเข้าใส่เส้นพลังลมปราณทั้งแปดของเหวยซู่หยาน

พรึ๊บ!

ร่างของเหวยซู่หยานกระเด็นลอยไป!

“ท่านแม่ทัพ! “

“ท่านแม่ทัพ! “

เหล่าทหารทั้งหลายต่างก็อุทานออกมาด้วยความตื่นตกใจ

เหวยซู่หยานได้ล้มลงไปกับพื้น ตัวเขาในตอนนี้อยู่ท่ามกลางเหล่าทหารผู้ติดตาม

คนอื่นๆ ต่างก็จ้องมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยสีหน้าที่ตกตะลึง

ทุกๆ คนรู้ดีว่าปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าคนนี้น่ากลัวขนาดไหน เขาสามารถจัดการกับเร็นบู้ผิงได้ด้วยฝ่ามือเพียงฝ่ามือเดียว ยิ่งไปกว่านั้นกระบวนท่าที่ลู่โจวได้ใช้ก็คือฝ่ามือทั้งเก้า พลังฝ่ามือทั้งเก้าเป็นพลังที่แม้แต่สวรรค์หรือพื้นโลกจะต้องสั่นสะเทือน แต่เพราะอะไรกันที่อาจารย์คนนี้ซัดเหวยซู่หยานจนกระเด็นไปเท่านั้น? เหวยซู่หยานในตอนนี้ไม่ได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่น้อย

‘นี่มันไม่ใช่พลังฝ่ามือ…มันอ่อนแรงจนเกินไป’ ศิษย์สาวกทั้งหมดต่างก็รู้สึกสับสนเมื่อได้เห็นแบบนั้น เหวยซู่หยานในตอนนี้พยายามลุกขึ้นโดยที่เอามือกดลงไปที่หน้าอกของตัวเอง

ลู่โจวได้พูดออกมาอีกครั้ง “นี่คือเหวยซู่หยานผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบอย่างงั้นหรอ? “

เหวยซู่หยานพยายามอดกลั้นต่อความเจ็บปวดก่อนที่จะตอบกลับมา “ข้ามาที่นี่ก็เพื่อชดใช้บาป…ถ้าหากท่านต้องการที่จะฆ่าข้าจริงๆ ท่านก็ลงมือซะเถอะ”

“โง่เง่า” ลู่โจวพูดขึ้น

“ฮะ? ” เหวยซู่หยานถึงกับตะลึง

เสียงของลู่โจวฟังดูดุดันมากขึ้น “พวกเราจะมาจบเรื่องกันเถอะ ข้าจะไม่ลงโทษเจ้าที่แอบอ้างเป็นเหวยซู่หยานหรอกนะ! “