บทที่ 191 ไวลด์คือไอดอลของฉัน

เจ้าของร้านพิศวง

บทที่ 191 : ไวลด์คือไอดอลของฉัน

นักเวทมนตร์ดำดันลอป กัล โค้ดเนม ‘มังกรทะยาน’ ตามธรรมเนียมแล้วเป็นนักเวทนอกระบบ

และเขาก็เป็นนักเวทจำพวกนักเวททั่วไปที่เชื่อในการส่งต่อทักษะที่น่ารังเกียจที่สุด

เขาไม่ได้มีอาจารย์คอยสั่งสอนเขา แล้วก็ไม่ได้สืบทอดพลังมาจากใคร ทุกทักษะที่ตัวเองเรียนมาจนตอนนี้เป็นสิ่งที่นำมาปะติดปะต่อเองหรือเรียนมาแบบครูพักลักจำ แล้วบางทักษะก็เป็นสิ่งที่เขาขโมยมาด้วยคาถาขโมยความทรงจำด้วย

และมีแม้กระทั่งทักษะที่เขาสร้างขึ้นมาด้วยตนเองโดยการหลอมรวมคาถาภาษาพิเศษบางอย่างเข้าด้วยกัน

พูดอีกอย่างก็คือ เขาเป็นนักเวทโดดเดี่ยวที่ไม่มีสังกัด

โดยแก่นแท้แล้ว เขาก็เหมือนกับเป็นผลงานที่เขาเชี่ยวชาญที่สุด ‘สัตว์ประหลาดตัดต่อ’ อีกตัวหนึ่ง

แต่ในขณะเดียวกัน กัลก็สามารถแซงหน้าพวกนักเวท ‘สายวิชาการ’ และกลายเป็นนักเวทระดับสัตว์ประหลาดที่แข็งแกร่งได้ แม้ว่าเขาจะเรียนด้วยตนเองมาก็ตาม ไม่ต้องสงสัยเลยว่าเขามีทั้งความสามารถ โชคและความพยายาม

บางทีถ้าเขาได้อาจารย์ดี ๆ ความสำเร็จของเขาอาจจะสูงยิ่งกว่าสิ่งที่เขาทำได้ตอนนี้ไปไกลลิบก็ได้…

แต่นั่นอาจจะไปขัดกับสันดานดิบที่รักอิสระของเขา ซึ่งนั่นอาจทำให้เขาไม่ต่างกับพวกนักเวท ‘สายวิชาการ’ ธรรมดา ๆ ไร้จุดเด่นเหล่านั้นก็ได้

แต่ในความเป็นจริงแล้ว ในตอนที่กัลยังเป็นแค่นักเวทระดับผิดปกติ มีนักเวทระดับสูงกว่าหลายต่อหลายคนที่เข้าหาเขาและเต็มใจอยากจะให้นักเวทไร้สังกัดผู้มีพรสวรรค์คนนี้มาเป็นศิษย์ของพวกเขา

ทว่าพวกนักเวทนอกระบบนั้นไม่ชอบพวกคาถาที่สามารถเรียนกันได้จากอาจารย์หรือสถาบันเวทมนตร์ใด ๆ ได้โดยตรง พวกเขาคิดว่าพวกมันไม่มีประโยชน์เชิงปฏิบัติและมีไว้แค่เพื่อโชว์เหมือนดอกไม้ในเรือนกระจก แค่ต้องมายืนอยู่กับพวกนักเวท ‘สายวิชาการ’ ก็ทำให้นักเวทนอกระบบเหล่านี้ขัดเคืองใจได้แล้ว

และกัลที่เข้าร่วมกับงานเลี้ยงโลหิตได้ก็ไม่ได้คิดจริงจังว่าเขาจะเรียนรู้อะไรจากคนเหล่านั้นได้มาก

สกิลมั่วซั่วของเขาได้พัฒนาเป็นระบบที่เขาสร้างขึ้นเอง ก่อเป็นชุดทฤษฎีและวิธีต่อสู้ที่พิเศษเฉพาะไปแล้ว ดังนั้นจึงเข้าใจแจ่มแจ้งว่าการเปลี่ยนพวกมันจะทำให้เขาเสียข้อได้เปรียบที่ใหญ่ที่สุดไป

กัลมักจะพูดว่า ‘หนึ่งในคำพูดที่มังกรทะยานคนนี้ชอบพูดกับพวกสำคัญตัวเองเกินไปพวกนั้นคือคำว่าไม่!’

แล้วเขาก็จะโดนพวกนักเวทรุ่นพี่ระดับสูงกว่าที่ขุ่นเคืองพวกนั้นไล่ล่า

แน่นอนว่าหลังจากที่เขาทะลวงคอขวดเข้าสู่ระดับสัตว์ประหลาดได้จากการแลกเปลี่ยนความรู้ในงานเลี้ยงโลหิต พวกนักเวทระดับสัตว์ประหลาดที่ไล่ล่าเขาอยู่ต่างก็ถูกเขาไล่จัดการไปทีละคน

สุดท้ายแล้วก็ไม่มีใครที่เป็นอาจารย์ให้เขาได้

แทบจะไม่มีใครเลย…

หนึ่งในผู้ก่อตั้งเดิมของงานเลี้ยงโลหิต นักเวทมนตร์ดำระดับภัยพิบัติที่ชื่อจุยคาคุเคยลองทาบทามกัลเข้ามาในกองทัพนักเวทของเขา ถึงขนาดยอมเปิดเผยชื่อจริงของตนเองให้เขารู้

กัลกลับปฏิเสธอยู่ดี แต่ครั้งนี้เขาตอบแบบสุภาพหน่อย

เพราะถึงอย่างไร…เขาก็เอาชนะคนระดับภัยพิบัติไม่ได้จริง ๆ

โชคดีที่จุยคาคุมีกองทัพของเขาอยู่แล้ว และไม่ได้ขัดสนนักเวท

การมาถูกใจนักเวทระดับสัตว์ประหลาดตัวจ้อยอย่างเขานั้นเป็นเพียงเรื่องชั่ววูบ ไม่มีความจำเป็นที่จุยคาคุจะต้องลดตัวเองมาบีบให้เขาทำตามที่หวัง ดังนั้นเรื่องจึงจบลงได้ด้วยดี

กัลเองก็รู้สึกแย่ แต่เขาไม่เสียใจ

นี่เป็นเพราะเขามีเป้าหมายและความฝันของตัวเองนับแต่มาเป็นนักเวทมนตร์ดำ และแน่ใจถึงทิศทางและชนิดเวทมนตร์ที่เขาอยากจะศึกษา

ทั้งหมดทั้งมวลนี้สรุปได้ประโยคเดียวสั้น ๆ

ไวลด์คือที่สุดตลอดกาล!

“ฉันมองปราดเดียวก็บอกได้แล้วว่านายกำลังเลียนแบบไวลด์อยู่ ถึงฉันจะไม่เคยเห็นเขาด้วยตาตัวเองก็เถอะ แต่ฉันคุ้นเคยกับสไตล์การแต่งตัวของเขามาก!”

แม้ว่าหน้ากากของมังกรทะยานจะซ่อนสีหน้าของเขาไว้อยู่ก็ตาม แต่ความตื่นเต้นของเขาก็ยังเป็นที่ชัดเจน

จินตนาการได้เลยว่าเขากำลังระงับความตื่นเต้นที่ได้เจอพลพรรคชาวแฟนบอยในขณะที่กำลังเก๊กนิ่งแล้วกล่าวคำเตือนและคำอธิบายออกมาตามธรรมเนียม

ในฐานะนักเวทนอกระบบที่ดิ้นรนเอาตัวรอดในสังคมชั้นล่างสุดมาตลอด มังกรทะยานจึงไม่ได้มีบรรยากาศเย็นชาสง่างามอย่างที่สังคมคิดว่าพวกนักเวทจะเป็น

กัลผู้รอดชีวิตมาจากสังคมชั้นล่างสุดอันแร้นแค้นและพึ่งพาใครไม่ได้นั้นต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเอาตัวรอด เพราะฉะนั้นเขาจึงเป็นคนพูดเก่งที่เข้ากับทุกคนได้

ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงข้อนี้ เขาคงมาเป็นคนกลางในทุกงานสังคมไม่ได้

“ชุดคลุมดำนี่เป็นสิ่งคลาสสิก!”

“พวกนักเวทมนตร์ดำในระบบทั้งหลายควรสวมชุดคลุมดำไว้เสมอ และโทเทมหนามกับมีดพิธีการก็จะเข้าคู่กับมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ ในฐานะศิษย์ของจักรพรรดิดำออกัสทัส ไวลด์คือนักเวทมนตร์ดำที่ถูกต้องดั้งเดิมอย่างแท้จริง เขาเป็นของจริง! เจ้าพวกนักเวท ‘สายวิชาการ’ พวกนั้นไม่มีทางเทียบได้เลย! เจ้าพวกนั้นมันก็แค่พวกปัญญาอ่อนสมองนิ่มฝูงนึงเท่านั้นเอง”

มังกรทะยานรำพึงขณะพินิจชายเสื้อคลุมสีดำของสมาชิกใหม่

เขาลืมความดูถูกเหยียดหยามต่อนักเวทในระบบทุกคนไปสิ้น แล้วไม่แม้แต่คิดจะซ่อนความสองมาตรฐานของตัวเอง

“นายสวมเสื้อสูทไว้ข้างในใช่ไหม? นายนี่จับจุดได้ถึงแก่นดีจัง รายละเอียดพวกนี้คล้ายของจริงมากเลย!”

“ไวลด์เป็นชายชราผู้สง่างามจริง ๆ การฆ่านั้นเหมือนเป็นพิธีกรรมสำหรับเขา เขาไม่เคยเสียมาดเลยไม่ว่าจะที่ไหนและเมื่อไหร่”

มังกรทะยานพูดต่ออย่างโหยหา “ฉันได้ยินว่าเขาไม่เคยเสียความเยือกเย็นเลย กระทั่งในตอนที่เขากำลังต่อสู้กับโจเซฟ เขาช่างแข็งแกร่งเหลือเกิน จริง ๆ นะ!”

“แล้วหน้ากากนี่ก็เป็นสัญลักษณ์จริง ๆ ฉันจำได้ว่าไวลด์ได้รับชื่อเล่นของเขามาจากหน้ากากนี่แหละ ตำนานเล่าไว้ว่าเขามีความแค้นกับศัตรูระดับภัยพิบัติในตอนที่ยังอยู่ในระดับสัตว์ประหลาด และถึงเขาจะรอดตายมาได้ แต่ใบหน้าทั้งหน้าของเขาก็เสียโฉม แล้วเขาก็เลยสวมหน้ากากเพื่อปิดมันไว้”

“ในภายหลังเขาก็ได้ล้างแค้น แต่เขาไม่ได้ถอดหน้ากากออกอีกเลยเพื่อเตือนตัวเองถึงความแค้นนั้น”

มังกรทะยานออกความเห็นต่อชุดคอสเพลย์เป็นไวลด์ของสมาชิกใหม่อย่างร่าเริงไปพร้อม ๆ กับเล่าประวัติชีวิตของ ‘บุรุษหน้ากากดำ’ ราวกับเป็นมหากาพย์ที่เล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น

อสรพิษดำที่สายตาดูพิลึกพิลั่นยืนนิ่ง ปล่อยให้ชายผู้นั้นออกความเห็นต่อเขาไป

เขามาที่นี่โดยแทบไม่ปลอมตัวเลย แน่นอนว่ามันก็เป็นเพราะคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าไวลด์ได้ตายคามือโจเซฟไปแล้วเมื่อสองปีก่อน ดังนั้นเขาจึงเดินเข้ามาโต้ง ๆ แบบนี้เพราะคงไม่มีใครคิดว่าเขาเป็นตัวจริง…

และในความเป็นจริง หลังจากสะกดออร่าของเขาไว้ คนส่วนใหญ่ที่เขาได้เจอก็คิดว่าเขาเป็นตัวปลอมไม่ก็แฟนบอยคนหนึ่งของไวลด์

แต่คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้มาเจอแฟนบอยตัวจริงเข้า…

“ยิ่งกว่านั้น นายก็มีสายเลือดมนุษย์งู นั่นเป็นข้อได้เปรียบโดยธรรมชาติเลย”

มังกรทะยานชื่นชมแบบอิจฉาเล็ก ๆ แล้วพูดเสริม “แต่หมาของนายดูผิดที่ผิดทางนะ ทำบรรยากาศเสียหมดเลย!”

“กรรร…”

สุนัขขนสีขาวตัวใหญ่ขู่ออกมาด้วยเสียงต่ำ ๆ แล้วเปลี่ยนท่าทีเป็นมาดร้ายนิด ๆ ทันที

เอ็งสิผิดที่ผิดทาง! เอ็งสิทำบรรยากาศเสีย!

หัวใจของมังกรทะยานสั่นกระตุก แวบหนึ่งเขารู้สึกเหมือนกับว่าบางอย่างที่น่าสะพรึงกลัวได้เล็งสายตามาที่เขา แต่ความรู้สึกนั้นหายไปในเวลาไม่นาน

หนังตาของเขากระตุก แล้วเขาก็เพิ่มความระมัดระวังเมื่อเห็นเจ้าหมาตัวใหญ่สีขาวนั่นกลับไปทำท่าทางน่ารักเหมือนเดิม

สมาชิกใหม่คนนี้…ไม่ได้ธรรมดาอย่างที่แสดงออก

ทว่าภายนอกนั้น เขาหัวเราะแล้วชูนิ้วโป้ง “แต่หมาตัวนี้ดูไม่ธรรมดาและมีศักยภาพสูงอยู่นะ ฮะ ๆ ๆ!”

อสรพิษดำลูบหัวสุนัขตัวนั้นแล้วพูดออกมาอย่างเฉยเมย “เขาชื่อเกรดี้น่ะ”

เมื่อเห็นสมาชิกใหม่ดูจะไม่ได้กระตือรือร้นในการคุยกันเรื่องไวลด์ ไอดอลของเขา มังกรทะยานจึงจัดว่านี่เป็นเพราะสมาชิกใหม่คนนี้มีบุคลิกนิสัยเก็บตัว เขาคงเขินที่คอสเพลย์ของเขาโดนมองออกแล้วคงไม่อยากแสดงตัวต่อสาธารณะ

มังกรทะยานแสดงความเข้าอกเข้าใจ เขากระแอมแล้วชี้ประตูด้านหน้าแล้วกลับมาใช้น้ำเสียงเป็นทางการ “เอาล่ะ นี่จะเป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงโลหิตในครั้งนี้ เดี๋ยวอีกสักพักฉันจะแนะนำนายกับคนอื่น ๆ”

อสรพิษดำพยักหน้า

เขาสัมผัสได้ว่าหลังประตูนั้นมีคนระดับสัตว์ประหลาดอยู่สิบคนแล้ว

แต่นอกจากนั้น ยังมีคนระดับสัตว์ประหลาดอยู่อีกสิบคน แล้วก็มี…คนระดับภัยพิบัติอีกคนด้วย

โอ้? คนรู้จักเก่าซะด้วยสิ…

เขาแสยะยิ้ม…