ตอนที่ 218 สัตว์เลื้อยคลาน

ฉันเป็นเศรษฐีอสังหาฯในวันสิ้นโลก

ตอนที่ 218 สัตว์เลื้อยคลาน

ตอนที่ 218 สัตว์เลื้อยคลาน

กวานจือหนิงฟื้นตัวได้ดี นอกจากไม่สามารถออกกำลังกายหนัก ๆ ก็ถือว่าไม่มีปัญหาในการทำกิจกรรมตามปกติ

ซูเถายกเสื้อผ้าของเธอขึ้นครึ่งหนึ่ง และมองไปที่ท้องของเธอ ไม่มีร่องรอยหลงเหลืออยู่เลย ไม่เหมือนคนที่เคยหน้าท้องเป็นรู แม้แต่กล้ามเนื้อบริเวณหน้าท้องก็ยังอยู่เหมือนเดิม

แต่ซูเถายังคงสัมผัสมันอย่างเป็นห่วง

กวานจือหนิงปัดมือน้อย ๆ ของเธอออกไป

“ไม่ต้องจับแล้ว ฉันไม่เป็นอะไรจริง ๆ หมอจง ฉันกลับได้หรือยัง องค์กรต้องการฉัน”

ซูเถา จงเกาอี้ และเฉินซีพูดพร้อมกัน “ไม่ได้!”

กวานจือหนิงจ้องมองพวกเขาเขม็ง และจงเกาอี้ก็กล่าวอย่างจริงจัง

“แม้ดูเหมือนคุณสบายดี แต่จริง ๆ แล้วอวัยวะภายในของคุณยังฟื้นตัวได้ไม่ดี พรุ่งนี้ผมต้องทำการรักษาอีกครั้ง ถ้าไม่เชื่อผม คุณลองวิ่งมาราธอนตอนนี้เลยก็ได้ หลังจากวิ่ง ลำไส้ของคุณจะทะลักออกมาจากทวารหนัก”

กวานจือหนิงได้ยินดังนั้นก็สะดุ้ง “…”

ซูเถาขนลุกซู่ เมื่อได้ยินดังนั้นจึงปลอบใจและสัญญากับเธอว่า ถ้ารู้สึกเบื่อในวันสองวันนี้ จะพาเธอไปที่สนามยิงปืนของตนเองเพื่อสัมผัสปืนและลองใช้พลังดูเสียหน่อย

กวานจือหนิงสวมเสื้อโค้ท คว้าปืนและลุกออกไป

ทั้งสองซ้อมยิงปืนอยู่ในสนามกันทั้งเช้า พวกเธอหมดกระสุนไปจำนวนมาก กวานจือหนิงวางปืนลงและมองซูเถาอย่างสำรวจด้วยความประหลาดใจ

“คุณฝึกยังไง? อัตราความแม่นยำสูงกว่าของฉันมากทั้งที่ฉันฝึกในทีมมามากว่าสิบปี”

“พรสวรรค์น่ะ” ซูเถายักไหล่

เธอไม่ต้องการเปิดเผยว่าเธอกำลังจะปลุกความสามารถ

เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีในหมู่คนภายนอกว่าความสามารถของเธอคือการสร้าง และทุกอย่างในเถาหยางสร้างขึ้นจากความสามารถ และทุกคนก็เชื่อในสิ่งนี้

หากทุกคนรู้ว่าเธอมีความสามารถอื่น ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะเปิดโปงการมีอยู่ของระบบ

กวานจือหนิงไม่เชื่อ แต่เธอก็ไม่ได้ถามต่อไป

เพราะทุกวันนี้ใคร ๆ ก็ต่างมีความลับ

ทั้งสองแข่งขันกันอีกครั้ง และซูเถาก็ชนะอีกเหมือนเคย

กวานจือหนิงโยนปืนทิ้ง “ฉันยอมรับความพ่ายแพ้ มันจบลงแล้ว ไปกินข้าวกันเถอะ”

หลังจากที่ทั้งสองทานอาหารเสร็จ เผยตงก็ขับรถมารับกวานจือหนิงด้วยตัวเอง

กวานจือหนิงเข้าไปในรถโดยไม่ได้คิดอะไรเลย ‘องค์กรต้องการฉัน ฉันภูมิใจ ฉันรู้สึกเป็นเกียรติ’ ถูกเขียนไว้ทั่วใบหน้าของเธอ

ซูเถาถามว่า “มีอะไรเกิดขึ้นเหรอ จือหนิงยังไม่หายดีนะคะ”

กวานจือหนิงพูดเสียงห้วน “ฉันหายเป็นปกติแล้ว”

เผยตงตอบว่า “ทีมวิจัยของเหอคังต้องการพบเธอ และถามคำถามบางอย่างเกี่ยวกับสัตว์เลื้อยคลานนั่น นอกจากนี้ พวกเขาจำเป็นต้องยืมคนจากคุณ ซึ่งเป็นคนที่จำลองภาพให้เราเมื่อคราวที่แล้ว ถ้าสะดวก คุณก็พาเขามาด้วยกันเลย เราจะรออยู่ที่นี่”

ซูเถาไม่ได้มีปัญหากับคำขอนี้

สิบห้านาทีต่อมา สวีฉีซึ่งเพิ่งย้ายบ้านเสร็จและกำลังจัดบ้านใหม่ ก็วิ่งเหยาะ ๆ มา จากนั้นพวกเขาก็เข้าไปในรถและไปที่สถาบันวิจัยตงหยาง

ระหว่างทางซูเถาถามเขาว่าเขาเคยชินกับการใช้ชีวิตในเถาหยางหรือยัง

สวีฉีกล่าวด้วยความซาบซึ้งใจ “บ้านหลังนี้ดีกว่าบ้านที่เราเคยอยู่มาก เฟอร์นิเจอร์ก็ยังใหม่อยู่ ภรรยาของผมเอาแต่พูดว่ามัวแต่เสียเวลาไปเปล่า ๆ ตั้งหลายปี เวลาผ่านไปเนิ่นนานพวกเราก็ได้แต่อาศัยอยู่ในบ้านที่ทรุดโทรม ทำไมเราไม่มาที่นี่ให้เร็วกว่านี้” เขาส่ายหัว

“การย้ายบ้านทำให้คุณและภรรยาเกิดความขัดแย้งเหรอคะ” ซูเถาหัวเราะ

สวีฉีหัวเราะ “ฮ่าฮ่า ขัดแย้งกันในเรื่องที่มีความสุข”

ขณะเดียวกันนั้นรถก็ได้หยุดลง การจะผ่านประตูรักษาความปลอดภัยต้องผ่านการตรวจสอบความปลอดภัยถึงสองครั้ง จึงจะมาถึงห้องวิจัยอย่างราบรื่น

เสิ่นเวิ่นเฉิงและนักวิจัยหลายคนจากสถาบันการวิจัยตงหยางกำลังรอพวกเขาอยู่ และหลังจากพบกันแล้ว พวกเขาก็แนะนำตัวและตรงไปยังห้องวิจัยทันที

ดร.เจียว ผู้อำนวยการสถาบันวิจัย เดินนำไปแล้วกล่าวว่า

“เราพบบางอย่างในซากกำแพงเมืองที่พังทลายในบริเวณเขตสุ่ยฝู เราเดาว่ามันอาจเป็นเนื้อเยื่อของสัตว์เลื้อยคลาน เนื่องจากมีเพียงผู้ที่เกี่ยวข้องเท่านั้นที่ได้เห็นสัตว์เลื้อยคลาน ผมจึงขอให้เธอมาระบุอัตลักษณ์”

เสิ่นเวิ่นเฉิงหันศีรษะไปมองซูเถา แลกเปลี่ยนคำทักทายง่ายๆ หลังจากนั้นก็พูดว่า

“เถ้าแก่ซู รบกวนให้คนของคุณแสดงภาพวันนั้นขึ้นมาใหม่ได้ไหม เพื่อที่เราจะได้มีความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับสัตว์เลื้อยคลานนี้”

ซูเถาพยักหน้า

ขณะที่พูด ดร.เจียวเปิดประตูอีกบานและนำทุกคนไปที่ห้องวิจัย

ห้องวิจัยเต็มไปด้วยแสงสีฟ้าเย็น ๆ มีตัวอย่างหลายสิบตัวอย่างที่ผนัง และส่วนต่าง ๆ ของซอมบี้จะถูกปิดผนึกด้วยของเหลวสีฟ้าอ่อน

ซูเถายังเห็นแขนขายักษ์ของเคียวโลหิต

แต่กวานจือหนิงถูกดึงดูดโดยหนึ่งในตัวอย่างนั้นทันที เธอรีบวิ่งเข้าไปทันที และโน้มตัวเข้าไปใกล้กระจกเพื่อมองเข้าไปข้างใน

ก่อนที่ดร.เจียวและเสิ่นเวิ่นเฉิงจะถาม กวานจือหนิงก็พูดออกมาด้วยสีหน้าที่ไม่ดีนัก

“มันคือหนามที่หางของสัตว์ร้ายตัวนั้น!”

เมื่อนักวิจัยหลายคนที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยินคำพูดนั้นและรีบจดบันทึกลงไป

เสิ่นเวิ่นเฉิงถามว่า “มันมีลักษณะอื่นอีกไหม”

กวานจือหนิงคิดเกี่ยวกับมันและอธิบายรายละเอียดว่าเธอรู้สึกอย่างไรเมื่อสัมผัสสัตว์เลื้อยคลานตัวนั้น

สวีฉียังคงแสดงภาพในช่วงเวลานั้น เมื่อทุกคนได้เห็นก็มีเหงื่อแตกพลั่กเต็มหลัง

ดร.เจียวขมวดคิ้วและพูดว่า

“จากการเปรียบเทียบดีเอ็นเอที่เราสกัดออกมา สัตว์เลื้อยคลานก็เป็นซอมบี้ชนิดหนึ่ง พวกมันมีความสามารถในการงอกใหม่ที่แข็งแกร่ง เกรงว่าเมื่อหางของพวกมันขาด พวกมันไม่เพียงแต่จะสามารถงอกหางของพวกมันขึ้นมาได้ใหม่เท่านั้น แต่พวกมันยังสามารถงอกหัวขึ้นมาใหม่ได้เช่นกัน หากยังหาพวกมันไม่พบ และทำการวิจัยอย่างละเอียดอีกครั้ง ก็ไม่สามารถตัดสินว่ามันเป็นซอมบี้วิวัฒนาการหรือซอมบี้กลายพันธุ์ที่มีสติปัญญาโดยทั่วไป”

เสิ่นเวิ่นเฉิงดึงแว่นตาของเขาลงแล้วพูดว่า

“ใช่ ถ้าเจอมันตัวเป็น ๆ เราอาจสามารถวิเคราะห์ได้ และสามารถค้นหาจุดอ่อนของมัน รวมถึงวิธีการฆ่ามัน”

เมื่อพูดจบทุกคนก็เงียบกริบ

นี่พวกเขาต้องเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายจับมันมาตัวเป็น ๆ เพื่อการวิจัยเหรอ! หากต้องการจับมันจริง ๆ ก็คงจะไม่ใช่นักวิจัยที่ไร้พลังแน่นอน อาจเป็นกองกำลังปกป้องเมืองที่จะมีส่วนในการนองเลือด และมีแนวโน้มว่าจะเป็นกองทัพบุกเบิกที่มีประสบการณ์การสู้รบอย่างโชกโชน

ใบหน้าของเผยตงเรียบเฉย เธอไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไรออกมา

กวานจือหนิงคงทนไม่ได้ที่จะกลับไปจุดนั้น

“พวกคุณยืนพูดกันอยู่ไม่ปวดหลังเหรอ! สิ่งนี้ถึงฆ่าได้ก็ฆ่าไม่ตาย มันรวดเร็วมาก และจุดอ่อนของมันไม่ชัดเจน ใครไปโดนมันเข้าก็ต้องตาย”

ดร.เจียวหน้าซีดและไม่กล้าพูด

เสิ่นเวิ่นเฉิงพูดโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า “หากเราสามารถศึกษาหาจุดอ่อนของสัตว์เลื้อยคลานนี้ได้ ก็เป็นเรื่องที่เข้าใจได้ที่จะเสียสละบางคนเพื่อช่วยชีวิตผู้คนจำนวนมากขึ้น”

เผยตงกล่าวว่า “ฉันจะคุยกับอดีตผู้นำกองทัพเกี่ยวกับเรื่องนี้และให้เขาตัดสินใจ”

เสิ่นเวิ่นเฉิงพยักหน้า “อดีตผู้นำสิงจะเป็นผู้ดูแลสถานการณ์โดยรวม”

ซูเถารู้สึกแย่ แน่นอนว่าเธอได้ยินจากกวานจือหนิงว่าในคืนนั้นอดีตผู้นำกองทัพได้ตัดสินใจมอบภารกิจในการจับร่างที่มีชีวิตให้กับสือจื่อจิ้น

กวานจือหนิงยืดอกผายขึ้นและพูดว่า

“ตอนนั้นที่ฉันได้ยิน ฉันรู้สึกว่าภาระจะตกอยู่กับพลตรีสือไม่ช้าก็เร็ว เขาเป็นคนที่ตัดหัวของเคียวโลหิตเป็นคนแรก เป็นคนที่ต้องออกไปตามจับซอมบี้ที่หลบหนี และตอนนี้ก็เป็นเขาอีกครั้ง”

กวานจือหนิงเกาหัวอย่างหงุดหงิด

“แต่ก็ไม่มีใครทำได้นอกจากเขา เมื่ออดีตผู้นำส่งคนไปถามเขาว่ายินดีหรือไม่ เขาก็ยอมรับคำสั่งโดยไม่คิด”

ซูเถายืนพิงประตูห้องอย่างเงียบ ๆ

เธอมองไปที่ดวงอาทิตย์สีแดงอมส้มที่เงียบสงบที่มีแสงลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง

เธอสามารถทำให้คนจำนวนมากใช้ชีวิตและทำงานอย่างสงบสุขและพึงพอใจ มีความสุขและหลีกหนีจากความยากลำบากในวันสิ้นโลก แต่เธอไม่สามารถทำให้เขาปลอดภัยและมั่นคงได้ ไม่สามารถปลดเปลื้องความรับผิดชอบและภาระของเขา ให้หลุดพ้นจากพันธนาการของวันสิ้นโลกได้