บทที่ 179 แบกหินกลับบ้าน

เก้าพี่น้องเลี้ยงซาลาเปาสุดแสบ

บทที่ 179 แบกหินกลับบ้าน
บทที่ 179 แบกหินกลับบ้าน

เฉียวอ้ายหงเองก็ไม่ได้คิดแบบนั้นเช่นกัน แค่พูดสองประโยคก็ฉีกกระชากยายเหลียงจนโมโหหัวฟัดหัวเหวี่ยงได้

เธอแต่งงานมานานหลายปี ให้กำเนิดลูกชายตั้งหลายคน และทุกคนล้วนมีอำนาจและความสามารถ ไม่เกรงกลัวใครในเวิ้งน้ำตระกูลเหลียงเลย

แม้แต่สะใภ้ที่บ้านก็ยังไม่กล้าพูดแบบนี้

“ยายแก่ไร้ค่าเอ๋ย เป็นพวกลูกพลับนิ่มโดนบีบแล้วหรือ? ซิ่วเอ๋อร์ดีขนาดนี้ เอาแต่รังแกคนเขาไปตลอดทั้งวัน ลองไปทำแบบนี้กับสะใภ้ของตัวเองสิ ความใจกว้างของแกไม่กล้าโผล่ออกมาหรอก!”

เฉียวอ้ายหงถลกแขนเสื้อขึ้น และลงมือกับอีกฝ่ายโดยตรง

แม่เฒ่าเหลียงไม่เคยเกรงกลัวใครอยู่แล้ว นอกเสียไปจากลูกสะใภ้ทั้งสาม แน่นอนว่าจะพ่ายแพ้ไม่ได้ เธอจึงส่งเสียงเอะอะแล้วพุ่งตัวเข้าไป

ในขณะนั้นเอง สะใภ้ทั้งสองเริ่มทะเลาะวิวาทกัน

คนรอบข้างไม่ได้ตอบสนองเลย

“ทำไมมาทะเลาะกันแบบนี้เล่า?” เหลียงปิงได้ยินความโกลาหลทางฝั่งนี้จึงเข้ามาดู

“ไม่รู้เหมือนกันว่าอยู่ ๆ ทำไมถึงทะเลาะกันขึ้นมา แค่มาดูเอาสนุกเฉย ๆ เห็นสองแม่เฒ่าทะเลาะกันแล้วยอมจริง ๆ ดูสิ ผมใกล้จะร่วงหมดแล้ว” ครอบครัวหนึ่งที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พูดอย่างสนุกสนาน

เหลียงปิงมองเสี่ยวโจวข้างกาย และรู้สึกอับอายเล็กน้อย

ถ้าก่อนคงไม่เลือกมาวันนี้หรอก ให้เสี่ยวโจวเห็นแบบนี้เขาจะคิดอย่างไรกับคนเวิ้งน้ำกัน?

สีหน้าของเสี่ยวโจวที่จริงดูไม่ค่อยดี หากแต่ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะน้องสาวของเหลียงปิงที่เขาพบมาก็เป็นหญิงสาวนิสัยดีมากคนหนึ่ง

ที่จริงคนในชนบทแข็งแกร่งเกินไปแล้ว ไม่รู้ว่าเด็ก ๆ ที่แสนอ่อนโยนซึ่งกำลังดูอยู่ในอนาคตจะกลายเป็นคนแข็งแกร่งหรือเปล่า

“ทำไมล่ะ? พี่ซิ่วมาทั้งที ทำไมถึงไม่ต้อนรับลูกสาวสักหน่อย มาตบตีกับคนอื่นทำไม?” เหลียงปิงยังอดถามไม่ได้

“เพราะชอบงานที่ซิ่วเอ๋อร์ทำ จึงคิดแย่งมาเป็นของลูกชายตน แต่เธอไม่ยอม ป้าห้าพูดไปได้สองประโยคก็ตบตีกันแล้ว!”

คนข้าง ๆ พูดถึงเหตุผลอย่างง่ายดาย ดีจริง ๆ เสี่ยวโจวไม่กล้าอยู่ต่อเลย ถ้าแต่งงานกับผู้หญิงที่นี่จะไม่ถูกบังคับให้เอางานตัวเองให้เขาไปใช่ไหม?

“ปิงจื่อ ฉันจำได้ว่าที่บ้านยังมีเรื่องอยู่ ขอกลับไปก่อนนะ!” เสี่ยวโจวพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือ

ที่ชนบทแบบนี้น่าหวาดกลัวยิ่งนัก เขาอยากกลับเมืองแล้ว

เหลียงปิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าอีกฝ่ายกลัว เลยรีบพูด “เสี่ยวโจว ไม่ต้องสนใจเรื่องนี้หรอก ที่จริงส่วนใหญ่คนที่นี่เป็นคนดีอยู่แล้ว มันแค่บางครั้ง บางครั้งเท่านั้น!”

แต่ตอนพูด ตัวเองก็ไม่มั่นใจเช่นกัน!

น่าอัปยศอดสูจริง ๆ!

หลี่ชุ่ยฮวายืนอยู่ข้าง ๆ เธอมองเหลียงซิ่วที่กำลังกระวนกระวายใจว่าจะก้าวไปข้างหน้าดีหรือเปล่า จึงเอ่ยเสียงเย็น “ดูสิ นี่คือผลลัพธ์ที่แกต้องการหรือ?”

เหลียงซิ่วรู้สึกละอายใจ นี่มันเรื่องอะไรกัน!

เมื่อก่อนแม่ไม่เป็นแบบนี้ ทำไมตอนนี้ถึงกลายเป็นแบบนี้ไปเสียได้?

“ไอ้ลูกอกตัญญู ทำไมแกยังไม่รีบเข้าไปช่วยแม่แกอีก? จะรอดูแม่ทนทุกข์หรืออย่างไรกัน?” พ่อเฒ่าเหลียงพูดพลางเคาะปล้องยาสูบ

เขาเป็นผู้ชาย ผู้หญิงทะเลาะกันจะไม่ยื่นมือเข้าไปยุ่งแน่นอน ส่วนสะใภ้ไม่มีทางเข้าไปช่วยแน่ ๆ พอเห็นแม่เฒ่ากำลังจะเสียเปรียบ จึงเร่งเร้าลูกสาวแทน

เหลียงซิ่วมองดูพ่อผู้เงียบขรึมในวันธรรมดา และรู้สึกเย็นชายิ่งกว่าเดิม

ก่อนหน้านี้เธอคิดเสมอว่าแม่ลำเอียง แต่พ่อยังนับว่าดีอยู่ ทว่าตอนนี้กลับดูเหมือนพ่อก็เป็นคนโง่เขลาเหมือนกัน

เพียงแม่ห้าช่วยพูดแทนเธอก็ทะเลาะกันขึ้นมาแล้ว ถ้าเธอจะเข้าไปช่วย เธอควรจะเข้าไปช่วยใครดี?

“ปิงจื่อ ช่วยฉันแยกพวกเขาหน่อย!” เหลียงซิ่วรู้ว่าตนเองไม่มีความสามารถในการแยกพวกเธอออกจากกัน

ถึงเหลียงปิงจะโกรธ แต่เขาก็ยังก้าวไปข้างหน้าเพื่อช่วยแยกทั้งสองฝ่าย

“นังหมาป่าตาขาวใจดำ คนที่โดนตบตีคือแม่แกนะ!” หลี่ชุ่ยฮวายั่วยุเหลียงซิ่วอีกครั้ง

เหลียงซิ่วรู้สึกอับอายมากขึ้นเรื่อย ๆ ในฐานะลูกสาว เธอไม่สามารถช่วยคนที่ทุบตีแม่ได้ แต่ถ้าจะให้ช่วยผู้เป็นแม่ เธอก็ไม่เอาเช่นกัน

ภายใต้สภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกแบบนี้ เหลียงซิ่วไม่มีทางเลือกจริง ๆ

เธอทำได้เพียงหมุนตัวออกจากบ้านไปพร้อมลูก ๆ โดยไม่สนใจผู้เป็นพ่ออีก

พ่อเฒ่าเหลียงตะลึงงัน เกิดอะไรขึ้น ทำไมจู่ ๆ ลูกสาวที่เชื่อฟังคนนี้กลายเป็นคนดื้อรั้นไปเสียได้?

ขณะที่เขากำลังงุนงง เหลียงซิ่วได้เดินออกไปแล้ว

หลี่ชุ่ยฮวาคิดจะรั้งเธอไว้ แต่ซูเสี่ยวอู่เข้ามาขวางไว้เสียก่อน

เด็กหนุ่มจ้องป้าสะใภ้อย่างดุดัน

เธอผงะถอยหลังไปหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว

และแล้วเหลียงซิ่วก็ออกไป

ผู้เป็นพี่สะใภ้จ้องมองน้องสามีถีบจักรยานออกไปพร้อมกับลูก ๆ

พอเห็นอีกฝ่ายจากไป เธอโมโหมากที่ตำแหน่งงานหลุดลอยออกไปจากมือ

หลี่ชุ่ยฮวากระทืบเท้า ก่อนจะพุ่งเข้าไปหาแม่สามีที่ถูกจับดึงออกไปแล้วเอ่ยปากด่า

“ยัยแก่ตายยาก มันไปนู่นแล้ว ยังจะมาทะเลาะอะไรอยู่ที่นี่อีก? ยิ่งอยู่ก็ยิ่งไร้ประโยชน์ขึ้นเรื่อย ๆ! ซวยจริง ๆ ทำไมฉันซวยแบบนี้ที่ได้มาเจอยัยแก่แบบแกด้วย?”

ตอนด่าแม่สามี หลี่ชุ่ยฮวาไม่มีความรู้สึกเกรงกลัวเลยสักนิด

และแม่เฒ่าเหลียงที่โดนด่าก็ตัวแข็งทื่อไปชั่วครู่ จึงไม่คิดสนใจจะสู้กับน้องสะใภ้แล้ว

เธอตกอยู่ในอาการตื่นตระหนก “ไปแล้ว? ไปแล้วหรือ? นังนั่นไปแล้วหรือ? ทำไมเธอไม่รั้งมันไว้?”

“รั้ง? หลานชายแกดุร้ายอย่างกับหมาป่า! จะให้ฉันรั้งมันไว้หรือไง? บ้านนี้มันไม่มีใครมีประโยชน์เลย ทำไมฉันถึงซวยแต่งเข้าบ้านแบบนี้ด้วย!” หลี่ชุ่ยฮวาชี้หน้าแม่สามีแล้วสาปแช่ง

ส่วนอีกฝ่ายไม่สนใจจะทะเลาะกับเฉียวอ้ายหงแล้ว และมุ่งออกไปที่ประตูใหญ่พยายามไล่ตามเหลียงซิ่วไป

แต่หล่อนได้จากไปไกลแล้ว

“นังเด็กสารเลว จะหนีไปแบบนี้ได้อย่างไร! งานนั้นแกยังไม่ให้ฉันเลยนะ!” แม่เฒ่าเหลียงตะโกนลั่นขณะนั่งอยู่บนพื้น

เหลียงปิงมองแม่เฒ่าเหลียงแล้วรู้สึกอึดอัดใจ

พี่ซิ่วเป็นคนดีมาก และก็มีความกตัญญูเช่นกัน ทั้ง ๆ ที่เป็นผู้หญิงที่ดีแบบนั้นกลับไม่หวงแหนลูกสาวเลยสักนิด

โชคดีที่บ้านสามีดี ไม่งั้นชีวิตของพี่ซิ่วคงน่าเวทนากว่านี้

เขาไม่อยากดูเรื่องแสลงใจต่อ และยังคิดถึงเสี่ยวโจวที่ใกล้จะไปแล้วด้วย จึงหมุนตัวกลับบ้านไป

เหลียงซิ่วถีบจักรยานสุดแรงด้วยความรวดเร็ว เร็วกว่าขามาอีก

“แม่ครับ ไม่เป็นไรแล้วนะ พวกเรากลับบ้านกันเถอะ!” เสี่ยวปาพูดเบา ๆ

“แม่ยังเจ็บหลังอยู่หรือเปล่า แม่อยากพักไหมครับ?” เสี่ยวอู่เอ่ยอย่างร้อนรน

เหลียงซิ่วรู้อย่างชัดเจนว่าเด็ก ๆ อารมณ์ไม่ดี ทั้งบรรยากาศรอบด้านก็ไม่ดีด้วย

เธอไม่อยากให้เด็ก ๆ เสียใจเพราะเรื่องนี้ แม้ตนจะทุกข์ทน แต่ก็ยังฝืนยิ้มออกมาเพื่อปลอบโยนลูก ๆ

“ไม่เป็นไรจ้ะ แม่สบายดี เสี่ยวอู่อุ้มน้องให้ดีนะ เดี๋ยวน้องร่วง!” เหลียงซิ่วไม่ลืมเตือนลูกชายด้วย

เสี่ยวอู่กระชับวงแขนแน่นขึ้นอีก

ซูเสี่ยวเถียนเหยียดแขนเล็ก ๆ ออกมากอดเอวผู้เป็นแม่ไว้แน่น

“แม่จ๋า พวกเรากับพ่อรักแม่นะ แม่ห้ามเศร้านะคะ!”

เหลียงซิ่วฟังคำปลอบโยนของลูกทั้งสาม ชั่วขณะที่รู้สึกว่ามันคุ้มค่าเสียเหลือเกิน

มีลูกดีขนาดนี้ จะให้ไม่พอใจสิ่งใดอีก?

พ่อแม่ปฏิบัติไม่ดี ตัวเองก็รู้ตั้งนานแล้ว แล้วตอนนี้จะเสียใจไปทำไม?

“แม่ไม่เป็นไรแล้วจ้ะ พวกเรากลับไปมีความสุขที่บ้านกันเถอะ” เหลียงซิ่วรู้สึกโล่งใจก่อนรอยยิ้มจะปรากฏขึ้นบนใบหน้า

รอยยิ้มจริงใจนั้นทำให้เด็ก ๆ สบายใจขึ้นมา

คนทั้งสี่พูดคุยหัวเราะคิกคัก บรรยากาศสนุกสนานมาก แม้แต่ล้อจักรยานก็ยังหมุนด้วยความรวดเร็ว

ไม่นานก็มาถึงป่าเล็ก ๆ ที่ผ่านมาก่อนหน้านี้

ซูเสี่ยวเถียนจำสิ่งที่คุยกับต้นไม้เฒ่าก่อนหน้านี้ได้ จึงพยายามลงจากรถจักรยาน

“แม่จ๋า หนูอยากลงตรงนี้!”

“ลงไปทำอะไร?” ซูเสี่ยวอู่กอดน้องแน่นขึ้นเพราะกลัวน้องจะตกจากจักรยานจนได้รับบาดเจ็บ

ถ้าน้องเล็กตกลงไปจะทำอย่างไร?

เหลียงซิ่วที่กลัวลูกได้รับอันตราย จึงรีบหยุดจักรยานลง

“เสี่ยวเถียน เป็นอะไรไป? ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”

“แม่จ๋าหนูสบายดี แต่หนูรู้สึกว่าในป่านี้มีของดีอยู่ค่ะ”

ซูเสี่ยวเถียนไม่ได้ปิดบังอะไร และพูดจุดประสงค์ออกมาตรง ๆ อย่างไรก็ตาม พวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน พวกเขาจะต้องช่วยเธอเก็บความลับอย่างแน่นอน

ทุกคนรู้ว่าถ้าตามเด็กหญิงไปจะได้ของดี ๆ กลับมามากมาย ตอนนี้จึงเริ่มคุ้นเคยเสียแล้ว

แต่ในที่แบบนี้จะมีของดีอะไรด้วยหรือ?

ทว่าความมั่นใจของลูกทำให้เหลียงซิ่วไม่ได้พูดอะไร แล้วเดินตามลูกสาวเข้าไปในป่า

แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดคือ ลูกสาวลากหินสองก้อนใหญ่ใต้โพรงต้นไม้ออกมา

มันเป็นหินก้อนใหญ่สองก้อนจริง ๆ ก้อนหนึ่งสีน้ำตาลอมเทาและอีกก้อนเป็นสีแดง และไม่คิดว่ามันจะมีความพิเศษอะไร

ซูเสี่ยวเถียนมองหินก้อนใหญ่ขึ้น ๆ ลง ๆ คงมีการสื่อสารที่ผิดพลาดหรือข้อมูลจากต้นไม้เฒ่าอาจจะมีปัญหาก็ได้

มันคือก้อนหินชัด ๆ แล้วจะเป็นสมบัติได้อย่างไร?

เธออดไม่ได้ที่จะพูดคุยกับต้นไม้เฒ่าอีกครั้ง แต่พวกมันก็บอกว่าก้อนหินสองก้อนนี้คือสมบัติจริง ๆ มีค่ามาก!

ถึงเธอจะมองไม่ออก แต่ถ้าต้นไม้เฒ่าว่าแบบนั้น มันจะต้องมีเหตุผลแน่

หลังจากคุยจบ เธอก็มองไปที่ก้อนหินทั้งสองก้อนซึ่งใหญ่กว่าลูกบาสเก็ตบอล รอยยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าแทบปกปิดไว้ไม่ได้

ไม่ใช่แค่เสี่ยวเถียนที่สับสน แต่แม่และพวกพี่ชายที่อยู่ข้าง ๆ ก็ไม่ต่างกัน

พวกเขาคิดว่าน่าจะเป็นทองนะ หรือเงินอะไรพวกนี้ แต่เป็นหินสองก้อนแทน นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?

“เสี่ยวเถียน หนูเอาหินมาทำอะไรน่ะ?”

พอมองสีหน้าที่เปลี่ยนไปของลูกสาว เหลียงซิ่วรู้สึกว่าวันนี้ลูกสาวคงปั่นป่วนจนสับสนไปแล้วใช่ไหม?

ไม่งั้นจะมองก้อนหินแล้วมีความสุขได้อย่างไรกัน?

แต่จะเป็นสมบัติจริง ๆ หรือ? ทำไมเธอมองไม่ออกเลย?

“แม่จ๋าเชื่อหนูเถอะ นี่คือของดีค่ะ จริง ๆ นะ แต่มันยังไม่ชัด!”

มือขาวราวหยกของเสี่ยวเถียนลูบก้อนหิน ถ้าคนไม่รู้ก็คงคิดว่าเธอลูบทองคำอยู่

ซูเสี่ยวอู่เอื้อมมือไปสัมผัสก้อนหินด้วยความอยากรู้อยากเห็น มันเย็นยะเยือกไม่ต่างจากก้อนหินทั่วไปเลย!

“เสี่ยวเถียน บนเขาด้านหลังชุมชนเรามีก้อนหินเยอะแยะเลยนะ”

เขาคิดว่ามันลำบากถ้าจะพาหินสองก้อนกลับบ้าน จึงพยายามเกลี้ยกล่อมน้องสาว

ถ้าคนอื่นเห็นก็น่าจะบอกว่าครอบครัวเราเป็นคนโง่ไปแล้วใช่ไหม?

“พี่คะ มันเป็นของดีจริง ๆ” ซูเสี่ยวเถียนพูดอย่างมั่นใจ “พี่ไม่เชื่อที่หนูพูดหรือ?”

ซูเสี่ยวอู่ตกตะลึง

อันที่จริง เหมือนปากเสี่ยวเถียนศักดิ์สิทธิ์ แล้วทุกอย่างที่พูดมามันก็ใช่หมดเลย

เหมือนที่เสี่ยวจิ่วว่า เสี่ยวเถียนขึ้นเขาทีไรมีแต่ของดี ๆ เหมือนมันมีเท้าวิ่งเข้ามาหาอย่างไรอย่างนั้น

หินสองก้อนนี้ทำให้เสี่ยวเถียนชอบ จะต้องอะไรเหตุผลบางอย่างแน่ ๆ

“จะเอากลับไปจริง ๆ หรือ? แต่พี่ยกไม่ไหวนะ!” ซูเสี่ยวปาพูดด้วยใบหน้าที่ขมขื่น

เขาไม่อยากทำให้น้องสาวไม่มีความสุข แต่ยกไม่ไหวจริง ๆ นี่นา!

หินสองก้อนนี้มันหนักมากเลย

“พวกเราเอาวางไว้บนเบาะหลังรถ พยุงแล้วค่อย ๆ เดินกันค่ะ!”

ซูเสี่ยวเถียนเป็นคนที่ไม่มีพิธีรีตรองอะไร และพูดสิ่งที่คิดออกมาทันที

เหลียงซิ่วยิ้มอย่างขมขื่น สุดท้ายก็ทำตามความคิดของลูกสาว หากแย่ที่สุดคือหินสองก้อน อย่างน้อยก็ไม่ได้เสียอะไรนี่

“ถ้างั้นก็เอาหินสองก้อนนี้กลับไปกัน!”

“หนูรู้อยู่แล้วว่าแม่จ๋าดีที่สุด!” ซูเสี่ยวเถียนตบมือเปาะแปะ

เหลียงซิ่วกับเสี่ยวอู่มัดหินไว้ตรงเบาะหลังของจักรยานอย่างยากลำบาก

คนโตกับคนกลางพยุงก้อนหินเย็น ๆ ไว้ และสี่แม่ลูกค่อย ๆ เดินไปตามทาง