ตอนที่ 174 คําขอ

“แม้ว่าท่านนักพรตเต่จะไม่ได้ปรากฏตัวในคืนนั้น แต่ถ้าหากท่านนักพรตเต๋ไม่ได้ดึงความสนใจของชวี่หยางออกไปข้าคงไม่อาจมายืนอยู่ที่นี่ได้แน่นอนขอรับ ครั้งนั้นท่านได้ช่วยเหลือข้าเอาไว้โดยที่ท่านไม่ได้ตั้งใจ” ฉือเล่อเห็นว่ามู่ลี้ยังคงแกล้งทําเป็นไม่รู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น เขาจึงพูดออกมาทันที

“ข้าว่าที่พวกท่านรอดออกมาได้คงเป็นเพราะโชคชะตาของพวกท่านมากกว่าขอรับ ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้าเลย” มู่ส่ายศีรษะ ความจริงแล้วในตอนนั้นเขาไม่ได้คิดที่จะช่วยเหลืออีกฝ่ายเลยแม้ว่าถ้าหากอีกฝ่ายตายไปเขาก็ไม่ได้รู้สึกผิดอะไร มู่ไม่ใช่คนที่จะมาเมตตาใครอยู่แล้ว

“ท่านนักพรตเต๋คงเข้าใจผิดแล้ว ไม่ว่าท่านจะตั้งใจช่วยเหลือข้าหรือไม่ก็ตาม แต่ท่านก็ได้ช่วยชีวิตข้าเอาไว้แล้วจริงๆ” ฉือเล่อพูดออกมาด้วยความเคารพแต่มู่อี้ก็ไม่ได้คิดที่จะเชื่อในคําพูดของชายหนุ่มคนนี้เลย

เขายังไม่ลืมตอนที่กลุ่มของฉือเล่อปิดบังพลังของตนเองเอาไว้และแม้แต่ตัวเขาเองก็ยังหลงเชื่อเมื่ออีกฝ่ายมีความสามารถในการแสดงละครได้ดีขนาดนี้เขาย่อมไม่อาจมองข้ามไปได้แน่นอน

เพราะการหลงเชื่อในการหลอกลวงของคนคนหนึ่งอาจจะทําให้เขาถึงแก่ความตายได้เลย

หลังจากได้ฟังสิ่งที่ฉอเล่อพูดมา มู่อี้ก็ถามกลับไปทันทีว่า “แล้วที่รับข้าขึ้นมาครั้งนี้ท่านชายฉือมีอะไรอย่างนั้นหรือขอรับ?”

คําพูดของม่อี้ทําให้ฉือเล่อตกตะลึงไปทันที เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดว่าม่อี้จะพูดอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ตอบกลับมาว่า “ข้าเองก็ไม่กล้ารบกวนท่านนักพรตเต๋หรอกขอรับเพียงแต่ข้ามีอะไรบางอย่างพี่อยากสอบถามจากท่านนักพรตเต๋ขอรับ”

“เช่นนั้นก็พูดมาเถอะ”

“ข้าได้ยินมาว่าท่านนักพรตเต๋กําลังเดินทางไปที่เมืองฉางโจว …” เมื่อฉือเล่อพูดขึ้นมาถึงตรงนี้เขาก็ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกเพราะในตอนนี้เขารู้สึกได้ถึงจิตสังหารอย่างรุนแรงที่ตรงเข้ามาหาตนเองและจิตสังหารนั้นก็ มาจากมู่อี้ที่อยู่ตรงหน้าเขา..

แม้ว่าฉือเล่อจะถือเป็นคนที่แข็งแกร่งคนหนึ่ง แต่เขาก็ไม่อาจเอาชนะพลังของมู่ธ์ได้แน่นอนโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อม่สามารถเอาชนะศัตรูนับร้อยคนได้โดยไม่ได้รับบาดเจ็บใดๆเลยและร่างกายของเขายังมีอาการบาดเจ็บที่หลงเหลืออยู่

“ท่านนักพรตเต๋ โปรดไว้ชีวิตของเขาด้วยเจ้าค่ะ” ในตอนนี้น้ําเสียงที่สงบนิ่งก็ดังมาจากหลังม่านกั้นและหญิงสาวคนหนึ่งก็เดินออกมาจากภายในนั้น หญิงสาวคนนี้ม่อี้ก็รู้สึกคุ้นหน้าด้วยเช่นกันนางเองก็อยู่ในกลุ่มคนที่บุกเข้าไปสังหารชวีหยางในคืนนั้นดูเหมือนหญิงสาวคนนี้จะมีนามว่าชิงชิง

ความจริงแล้วตั้งแต่เข้ามาที่นี่มู่อี้ก็รับรู้มาตลอดว่านางซ่อนตัวอยู่หลังม่านกั้นแต่ในเมื่ออีกฝ่ายไม่เต็มใจที่จะออกมาไม่ก็พร้อมที่จะเสแสร้งทําเป็นไม่รู้ไม่เห็นไม่คิดเลยว่าหญิงสาวคนนี้จะเลือกเปิดเผยตัวตนออกมาทันที

“ขอเหตุผลที่ทําให้ข้าไม่สังหารพวกท่าน” มู่อี้เหลือบมองไปที่ชิงชิงด้วยสายตาที่เย็นชา หญิงสาวก็รู้สึกตกตะลึงด้วยเช่นกันแต่โชคดีที่จิตสังหารของมู่อื่นั้นได้หายไปแล้ว

ความจริงแล้วไม่แปลกใจเลยที่มอจะมีท่าทีเช่นนี้ เพราะเขาไม่ชอบการที่คนอื่นได้รู้ความลับของตนเอง

แม้ว่าเรื่องที่ม่อต้องการจะเดินทางไปยังเมืองฉางโจวจะไม่ใช่ความลับอะไรแต่คนที่รู้เรื่องนี้ก็นับนิ้วได้เลยแม้แต่คนของสํานักคุ้มกันโม่หยวนก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ ทั่วทั้งเมืองลั่วหยางคนที่รู้เรื่องนี้ก็น่าจะมีเพียงฉงเจียอี้เท่านั้น และอีกคนที่รู้เรื่องนี้ก็คือหลี่เหล่าลือที่เป็นคนขับรถม้าของเขา

แต่ในตอนนี้ฉือเล่อกลับรู้ว่าเขากําลังเดินทางไปยังเมืองฉางโจว

ถ้าหากฉือเล่อคาดเดาจากเส้นทางการเดินทางของเขาได้ มู่อี้คงไม่แสดงท่าทีเช่นนี้ออกมาอย่างแน่นอนต้องเป็นเพราะฉงเจียอี้หรือหลี่เหล่าฉือที่บอกเรื่องนี้ออกไปแน่ๆ

ฉงเจียอื่นั้นถูกฟูอี้ควบคุมชีวิตเอาไว้และมู่อี้ก็ไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทรยศแน่นอน และด้วยพลังของฉือเล่อในตอนนี้เขาคงไม่สามารถข่มขู่อะไรฉงเจียได้ เช่นนั้นแล้วก็เหลือเพียงตัวเลือกเดียวนั่นก็คือหลี่เหล่าลือ

ม่อี้รู้สึกพึงพอใจในตัวหลี่เหล่าลือมาก ไม่อย่างนั้นแล้วตอนแยกทางกันม่อี้คงไม่มอบเงินก้อนใหญ่ให้กับอีกฝ่ายและสั่งให้อาศัยอยู่ในเมืองเท่านั้นอย่าออกเดินทางไปไหนอีกเขาเลือกที่จะเดินเท้าต่อพร้อมกับตาหนิวหลังจากที่หลี่เหล่าจือแยกทางกับเขาไปแล้วก็คงไม่มีใครสนใจหลี่เหล่าฉือที่เป็นเพียงคนขับรถม้าอีกอย่างน้อยก็จนกว่ามู่อจะถูกสังหารไปและมู่ลี้ก็ไม่อยากให้หลี่เหล่าฉือต้องมีปัญหาเพราะตนเองด้วยเช่นกัน

แม้ว่ามันยากจะยืนยันได้ว่าอีกฝ่ายจะปลอดภัย แต่มู่อี้ก็รู้สึกอยู่เสมอว่าหลี่เหล่าจื๊อคงไม่โชคร้ายมากนัก

แต่คําพูดของฉือเล่อก่อนหน้านี้ก็ทําให้ม่อี้เข้าใจได้ทันทีว่าเขามองข้ามอะไรบางอย่างไปแม้ว่ายุทธภพแห่งนี้จะมีผู้คนที่ชาญฉลาดมากมายแต่ก็ไม่เคยขาดคนโง่เง่าด้วยเช่นกัน

ดังนั้นจิตสังหารที่ม่อี้แสดงออกไปในครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อสังหารฉือเล่อแต่เพียงแค่ทําให้อีกฝ่ายรู้สึกหวาดกลัวเท่านั้น

ตอนนี้เขาต้องการเหตุผลจากฉือเล่อ ถ้าหากฉือเล่อเป็นคนโง่เง่า เช่นนั้นฟูอี้ก็พร้อมที่จะส่งเขาลงไปนอนที่ กันแม่น้ําเหลืองแห่งนี้เพื่อเป็นวิญญาณคอยปกป้องท้องน้ํา

“ท่านนักพรตเต๋อย่าเพิ่งโกรธไปขอรับ โปรดฟังข้าอธิบายก่อน” ฉือเล่อพูดขึ้นมาทันที ตอนนี้เขารู้ว่าปัญหาเกิดขึ้นแล้วและอดเสียใจกับคําพูดของตัวเองไม่ได้

แต่ครั้งนี้มันก็ทําให้เขาเข้าใจได้ว่ามู่อี้เป็นคนเช่นไร

“เช่นนั้นก็จงพูดมาเถอะ” ม่อี้ตอบกลับมาอย่างเย็นชา

“เหตุผลที่ข้ารู้ว่าท่านนักพรตเต๋ต้องการเดินทางไปที่เมืองฉางโจว ก็เพราะมีคนบอกเรื่องนี้ให้ข้าได้รับรู้ขอรับ” ฉือเล่อพูดออกมาตามตรง

“ใครกัน?”

“ผู้สืบทอดคนปัจจุบันของสํานักเหมาซาน ท่านนักพรตเต๋หมิงหลง” ฉือเล่อตอบกลับมาอย่างรวดเร็วเขารู้ดีว่าเรื่องนี้สําคัญกับม่อี้มากเพียงใดถ้าหากเขายังพยายามปิดบังอีกต่อไปไม่อี้คงพร้อมที่จะสังหารเขาอย่างแน่นอน

“เขาบอกเรื่องนี้กับท่านด้วยตัวเองเลยงั้นหรือ?” มู่ขมวดคิ้วขึ้นมาทันที เพราะดูจากสีหน้าของฉือเล่อเขารู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่ได้โกหกแน่นอน แต่สิ่งที่ทําให้มู่ รู้สึกแปลกใจก็คือหมิงหลงรู้ได้อย่างไรว่าเขากําลังเดินทางไปที่เมืองฉางโจว?

แม้ว่าฉือเล่อและคนอื่นๆจะรู้ว่าเขาอยู่ในชวี่ยจวงในคืนนั้น แต่เขาก็จําได้อย่างชัดเจนว่าเขาไม่เคยบอกอีกฝ่ายเลยว่าตัวเองกําลังจะเดินทางไปที่เมืองฉางโจว เช่นนั้นแล้วอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไรกัน?

หรือว่าคนเหล่านี้สะกดรอยตามเขาไปที่บ้านของฉงเจียอี้และได้ยินการสนทนาในตอนนั้น?

มู่อี้ส่ายศีรษะทันที เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะทําอะไรแบบนั้น แม้ว่าพวกเขาอยากจะรู้ข้อมูลแต่ลู่อี้ก็คงไม่คิดว่าพวกเขาจะทําแบบนี้แน่นอน

เช่นนั้นแล้วอีกฝ่ายรู้ได้อย่างไร? มู่อี้รู้สึกสงสัยอยู่เล็กน้อย

“เป็นเช่นนั้นขอรับ” ฉือเล่อพยักหน้า

ม่อี้จ้องมองมาที่ฉอเล่ออยู่ครู่หนึ่งและจากนั้นก็หันหน้ากลับไปจากนั้นสีหน้าของเขาก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง “ข้าเองก็มีศัตรูเป็นจํานวนมาก หวังว่าท่านชายฉือจะไม่ถือโทษโกรธเคืองกับการกระทําก่อนหน้านี้ของข้า”

“ข้าย่อมไม่กล้าโกรธเคืองท่าน ความจริงแล้วเป็นข้าที่ไม่ระวังปากเองขอรับ แต่ในตอนที่ท่านนักพรตเต๋หมิงหลงบอกเรื่องนี้กับข้า เขาก็บอกว่าตนเองได้รับข้อมูลเรื่องนี้มาจากผู้อาวุโสท่านหนึ่งส่วนท่านนักพรตเต๋หมิงหลงจะได้ข้อมูลเรื่องนี้มาจากผู้อาวุโสท่านใดนั้น ข้าเองก็ไม่อาจทราบได้ขอรับ” ฉือเล่อสายศีรษะและพูดขึ้นมาทันที เขาย่อมไม่กล้าโกรธเคืองมู่ออยู่แล้ว

หลังจากได้ยินคําพูดของฉือเล่อ มู่อี้ก็นึกถึงยาจกเฒ่าที่พูดคุยกับเขาขึ้นมาทันที ม่อี้พอที่จะคาดเดาได้แล้วว่ายาจกเฒ่าผู้นั้นเป็นใคร ในตอนแรกเขาคิดว่าอีกฝ่ายมาจากสํานักเหมาซาน แต่เมื่อได้พูดคุยกันแล้วม่อี้กลับ รู้สึกว่ามันตรงกันข้ามกับที่เขาคิดเอาไว้

แต่ยาจกเฒ่าคนนั้นต้องมีอะไรบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับนักพรตเต๋หมิงหลงอย่างแน่นอน สําหรับความ จริงทั้งหมดนั้นคงต้องรอจนกว่าจะได้พบหน้ากันอีกครั้งถึงจะรู้ว่ามันเป็นเช่นไรหรือไม่เขาก็ต้องเดินทางออกไปที่ ทะเลจีนใต้เพื่อหาคําตอบ

ในตอนนี้เขารู้แล้วว่าฉือเล่อไม่ได้ล่วงรู้ความลับนี้มาจากหลี่เหล่าฉือ มู่อี้ก็ไม่คิดว่าชายหนุ่มคนนี้จะเป็นศัตรูอีกต่อไปไม่ว่าเหตุผลที่อีกฝ่ายตามหาตัวเขาจะเพราะอะไรก็ตามแต่อย่างน้อยเขาก็สามารถเดินทางด้วยเรือได้อย่างสะดวกสบายและยังได้ของขวัญตอบแทนอีกด้วยเพียงเท่านี้ก็มากพอที่จะทําให้เขารับฟังความต้องการของอีกฝ่ายแล้ว

แม้ว่ามู่อี้จะเป็นคนที่หยิ่งผยองและโหดเหี้ยมในสายตาของคนอื่นๆ แต่ความจริงแล้วมู่อี้กลับเป็นคนที่ไม่ชอบติดหนี้บุญคุณใคร หลังจากที่เขาได้รับการดูแลจากตระกูลซูเขาก็พยายามทําให้ตระกูลซูปลอดภัยและเจริญรุ่งเรืองมากที่สุดเงินทองที่เขาได้รับมาก่อนออกเดินทางนั้นเขาก็ตอบแทนกลับไปด้วยยันต์สะกดวิญญาณของเขา

หลี่เหล่าฉือทําหน้าที่เป็นคนขับรถม้าที่ดีตลอดการเดินทางดังนั้นเขาจึงให้เงินตอบแทน

แม้ว่ามู่อจะไม่เคยคิดว่าค่าตอบแทนที่เขาให้ไปนั้นคุ้มค่ากับอีกฝ่ายหรือไม่ เพราะทุกๆครั้งเขาให้ไปด้วยใจทั้งสิ้น

“เช่นนั้นก็จงพูดมาเถอะว่าพวกท่านต้องการอะไร?” ม่อี้จ้องมองมาที่ฉือเล่อและถามขึ้นมาทันที

ถ้าหากมู่อถามแบบนี้ตั้งแต่เริ่มต้น ฉือเล่อคงพูดสิ่งที่เขาต้องการออกไปโดยไม่ลังเลทันที แต่ในตอนนี้เขาต้องเลือกใช้คําพูดให้ดีเพื่อไม่ให้ม่อี้รู้สึกโกรธขึ้นมาอีกครั้ง

ในขณะที่ฉือเล่อกําลังตั้งสติอยู่นั้น มู่อี้ก็ไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนัก แต่เขาก็มองไปที่ชิงชิงที่ยังคงยืนอยู่อีกทางด้านหนึ่ง

“ข้าขอทราบนามของท่านหญิงผู้นี้ได้หรือไม่?” ม่อี้ถามขึ้นมาด้วยความเกรงใจเล็กน้อยเขารู้เพียงแค่ว่าหญิงสาวผู้นี้ถูกคนอื่นเรียกว่าชิงชิงเท่านั้น แต่คําเรียกที่ใกล้ชิดสนิทสนมเช่นนี้ไม่เหมาะสมที่เขาจะใช้เรียกหญิงสาวคนนี้

“เรียนท่านนักพรต ข้ามีนามว่า หลี่ชิง เจ้าค่ะ” หลี่ชิงตอบกลับมาทันที สายตาของนางแสดงความเคารพออกมาอย่างชัดเจนแม้จะไม่เห็นสิ่งที่เกิดเป็นในคืนนั้นด้วยตาตนเอง

“ถ้าหากข้าได้ยินไม่ผิดท่านหญิงหลี่ชิงคือผู้ที่เล่นเครื่องสายก่อนหน้านี้ใช่หรือไม่?ข้าฟังเพลงที่ท่านเล่นก่อนหน้านี้ได้อีกครั้งหรือไม่?”มู่อี้พูดด้วยรอยยิ้ม

“ข้าย่อมทําตามคําขอของท่านนักพรตเต๋ได้แน่นอนเจ้าค่ะ ก่อนหน้านี้ข้าแค่กลัวว่าบทเพลงของข้าจะทําให้ท่านระคายหูเท่านั้น!” หลี่ชิงตอบม่อี้กลับมาด้วยความเคารพและกลับเข้าไปหลังม่านกั้นทันทีความจริงแล้วแม้ว่าจะมีม่านกั้นหรือไม่มีก็แทบไม่แตกต่างกันม่อี้สามารถรับรู้การเคลื่อนไหวทั้งหมดของลี่ชิงได้อย่างชัดเจน

หลังจากหลี่ชิงนั่งลง นางก็วางมือลงบนเครื่องสายเบาๆ และจากนั้นเสียงดนตรีที่ทําให้รู้สึกสบายหูก็ดังขึ้นมาทันทีเสียงดนตรีที่ดังขึ้นมานั้นสว่างใสดุจหยกแต่ในบางครั้งก็ดุดันราวกับมังกร

มู่ลี้ย่อมไม่เข้าใจศาสตร์ในด้านดนตรีอยู่แล้วมันเป็นเหมือนศิลปะชั้นสูงที่เขาไม่อาจเข้าถึงได้เลยแต่ในครั้งนี้แม้ว่าเขาจะบอกไม่ได้ว่าเสียงเพลงที่ได้ยินนั้นดีหรือแย่มากเพียงใดแต่อย่างน้อยเขาก็รู้สึกว่าหลี่ชิงเล่นเครื่องสายชิ้นนี้ได้ไม่เลวเลย

ม่อี้อธิบายได้เพียงคร่าวๆเท่านั้น การที่เขาได้มาเจอกับศิลปะชั้นสูงแบบนี้มันก็เหมือนกับวัวที่ได้เคี้ยวดอกโบตั๋น

ในตอนที่หลี่ซึ่งกําลังเล่นเครื่องสายอยู่นั้น ฉือเล่อก็ยังคงใช้ความคิด และม่อี้ก็ไม่ได้รู้สึกกังวลใจเลยเมื่อเขาได้ยินเสียงดนตรีสายตาของเขาก็หรี่ลงเล็กน้อย ในที่สุดเขาก็เข้าใจแล้วว่าทําไมบุรุษมากมายถึงชอบฟังดนตรีจากหญิงสาว แม้ว่าเขาจะไม่อาจแบ่งแยกได้ว่ามันไพเราะมากเพียงใด แต่เมื่อได้ฟังเสียงดนตรีพร้อมกับ จ้องมองทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ําก็ทําให้จิตใจของเขารู้สึกผ่อนคลายอย่างยิ่ง

น่าเสียดายที่……

เมื่อได้ยินเสียงคลื่นลูกใหญ่ที่ปะทะเข้ากับเรือม่อี้ก็ส่ายศีรษะขึ้นมาทันที น่าเสียดายที่ชีวิตเช่นนี้ไม่ได้เหมาะสมสําหรับเขาเลยแม้ว่ามันจะทําให้เขารู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาแต่ไม่มีทางที่เขาจะอยู่กับมันไปได้ตลอด

ในทางกลับกันเขายังต้องการอ่านหนังสือ ฝึกฝน และวาดยันต์ แทนที่จะมองหาความสุขในชีวิตเช่นนี้

บางที่จิตใจของหลี่ชิงอาจจะสนใจมู่อื้อยู่ตลอดเวลาดังนั้นเมื่อเห็นว่าม่อี้ส่ายศีรษะ มือของนางก็มีอาการสั่นทันทีทําให้เสียงดนตรีที่ดังออกมานั้นฟังดูติดขัดเล็กน้อย แต่โชคดีที่นางยังแก้ไขได้ทันเวลาและสามารถเล่นบทเพลงนี้ต่อจนจบได้

ท้ายที่สุดหลังจากหลี่ชิงดีดเครื่องสายจนจบบทเพลงแล้ว ฉือเล่อก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมกับสีหน้าที่ดูมั่นใจ

เมื่อเห็นท่าทีของอีกฝ่ายม่อี้ก็รู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย อะไรกันที่ทําให้อีกฝ่ายต้องเคร่งขรึมขนาดนี้? อีกฝ่ายเลือกที่จะไม่พักรักษาตัวอยู่ที่บ้านและออกเดินทางมาหาเขาเพื่อจุดประสงค์อะไรกัน?