บทที่ 114: ป่าหมอกทมิฬ

“ว้าว ปราชญ์ชั้นยอดแห่งการสอบศิลปะการต่อสู้ของตงไห่อย่างงั้นหรอ? จริงจังปะเนี่ย?”

“ปราชญ์ชั้นยอดแห่งการสอบศิลปะการต่อสู้ปีนี้เป็นนักสู้แล้วอย่างงั้นหรอ นี่มันน่าประทับใจจริงๆ”

“ดูเหมือนว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะนะ!”

“แม้ว่าเขาจะเป็นอัจฉริยะ แต่เขาก็ยังเป็นมือใหม่ นายก็รู้ว่าทวีปซินหวุ่นั้นเป็นยังไง ความตายสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อและทุกที่”

คําพูดของหลินซานทําให้ทุกคนหมกมุ่นอยู่กับการสนทนา และทําให้หลายคนรู้สึกตกใจ

“เอาล่ะ ฉันจะไม่คุยกับพวกนายแล้ว” หลินซานเมินพวกเขาแล้วพาหวังเต็งไปที่ห้องโถงกลาง

ห้องโถงกว้างขวางมาก หลังจากผ่านพื้นที่กิจกรรมต่างๆมา ในที่สุดพวกเขาก็มาถึงศูนย์กลาง

มันมีแท่นกลมอยู่ตรงกลางซึ่งมีหินวางอยู่บนนั้น อักษรรูนที่ซับซ้อนถูกแกะสลักไว้บนพื้นผิวของหิน และผู้อาวุโสคนหนึ่งก็นั่งอยู่ข้างๆและกําลังหลับอยู่

“ลุงเฮย!” หลินซานเรียกเขาด้วยความเคารพ

ผู้อาวุโสที่ถูกเรียกว่าลุงเฮยลืมตาขึ้นและเหลือบมองหลินซาน “โอ้ เป็นเธอนี่เอง ทําไมเธอถึงมาที่นี่ล่ะ?”

“ฉันพาเด็กใหม่มา” หลินซานขยับร่างกายเพื่อให้หวังเต็งก้าวไปข้างหน้า

“เด็กใหม่!” ลุงเฮยมองไปที่หวังเต็ง เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานออกมาด้วยความสงสัย “เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาแฮะ”

หลินซานและสมาชิกคนอื่นๆตกตะลึง

ลุงเฮยนั้นปกป้องศิลามรดกนี้มาเป็นปีแล้ว เขาเคยเห็นสมาชิกใหม่มามากพอสมควร อย่างไรก็ตาม เขาก็ไม่เคยแสดงท่าที่ใดๆกับสมาชิกใหม่เลยจนกระทั่งมาถึงหวังเต็ง

เขาไม่สามารถอ่านหวังเต็งออกได้

หวังเต็งไม่รู้ว่าสมาชิกในทีมคนอื่นกําลังคิดอะไรอยู่ เมื่อเขาได้ยินคําพูดของลุงเฮย หัวใจของเขาก็เต้นผิดจังหวะ

ทําไมตาของชายชราคนนี้ถึงได้เฉียบคมนัก?

“ลุงเฮย!” เขาทําตามหลินซานและเรียกผู้อาวุโสด้วยความเคารพ

ลุงเฮยพยักหน้า เขาไม่ได้สอบถามอะไรเพิ่มเติมและกล่าวอย่างใจเย็นว่า “วางมือของเธอลงบนศิลามรดกนี้”

ศิลามรดก?

หวังเต็งมองไปที่สมาชิกในทีมคนอื่นๆ เมื่อเห็นพวกเขาพยักหน้า เขาก็เดินไปข้างหน้าและวางมือลงบนศิลามรดก

เขาไม่เห็นลุงเฮยทําอะไร แต่จู่ๆอักษรรูนบนศิลามรดกก็เริ่มสว่างไสวขึ้น

เมื่อกี้คือ… พลังแห่งจิตวิญญาณ! หวังเต็งคิดกับตัวเอง

วินาทีถัดมา เขาก็รู้สึกเหมือนว่ามันมีข้อมูลหลายอย่างไหลเข้ามาในหัวของเขา

“นี่คืออะไร?”

แม้ว่าเขาจะเดาได้ว่าศิลามรดกนั้นมีไว้ทะไร แต่เขาก็ยังอดสงสัยไม่ได้ว่ามันทํางานยังไง

ภายในไม่กี่วินาที หวังเต็งก็รู้สึกว่าเขาได้เรียนรู้ภาษาใหม่

“yxox& *%…” (ภาษาสามารถส่งต่อได้หรือไม่)

เขาเปิดปากของเขาและตระหนักได้ว่าเขากําลังพูดภาษาอื่นอยู่ การออกเสียงของเขาก็แปลกไปเล็กน้อยเช่นกัน เขาติดสําเนียงจีน

จากนั้นเขาก็ได้ยินหลินซานพูดภาษาต่างประเทศเหมือนกัน “ไม่เลวเลยใช่ไหมล่ะ ในตอนที่พวกผู้บุกเบิกได้มายังโลกนี้ พวกเขาก็ได้ตระหนักถึงการมีอยู่ของศิลามรดกประเภทนี้ พวกมันสามารถทําให้ผู้คนเรียนรู้พื้น ฐานของภาษาได้ภายในระยะเวลาอันสั้น”

“เรารู้ว่าการเรียนรู้ภาษาใหม่นั้นยากเพียงใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในทวีปซินหวี่ซึ่งมีวัฒนธรรมที่แตกต่างจากของเราอย่างสิ้นเชิง มันทําให้การเรียนรู้ยากขึ้นมาก หลายคนผ่านความยากลําบากมามากมาย แต่พวกเขาก็ไม่สามารถเข้าใจภาษาของทวีปนี้ได้”

“ ด้วยเหตุนี้เอง กลุ่มที่ทรงพลังจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องซื้อหินก้อนนี้มาจากทวีปซินหวี่ในราคาสูง เพื่อส่งต่อภาษาทั่วไปของทวีปซินหวีไปยังผู้มาใหม่”

หวังเต็งไม่ได้คิดมาก่อนว่ามัจะมีอะไรแบบนี้บนโลกนี้ด้วย เขาถามว่า “นี่หมายความว่าความรู้อื่นก็สามารถถ่ายทอดผ่านวิธีนี้ได้ด้วยใช่ไหม?”

“มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก มันเป็นเรื่องยากมากที่จะใช้งานศิลามรดกนี่ หากนายต้องการถ่ายทอดความรู้ที่ซับซ้อนเล็กน้อย นายก็จะต้องมีกําลังคน ความมั่งคั่ง และเวลาเป็นจํานวนมาก นอกจากนี้นายก็ยังจะต้องใช้รูนมาสเตอร์ขั้นปรมาจารย์ด้วย”

“ความรู้พื้นฐานนั้นเรียนรู้ได้ง่ายมาก ดังนั้นการใส่มันลงในศิลามรดกจึงเป็นเรื่องที่ไร้ประโยชน์ และมันก็ไม่คุ้มกับความพยายาม

“ มันมีหลายเผ่าพันธุ์ในทวีปซินหวุ่และภาษาของพวกเขาก็ซับซ้อนมาก นั่นคือเหตุผลที่ทําให้ศิลามรดก ภาษาทั่วไปนี้จึงถือกําเนิดขึ้น

“ขั้นตอนนั้นค่อยๆพัฒนาโดยใช้เวลาหลายร้อยหลายพันปี”

“และจนถึงปัจจุบัน ศิลามรดกที่ใช้กันทั่วไปในทวีปซินหวี่ก็คือศิลามรดกภาษาทั่วไปประเภทนี้”

หลินซานอธิบายทุกอย่าง

หวังเต็งพยักหน้าเพื่อแสดงความเข้าใจ หากศิลามรดกนี้สามารถยัดความรู้อะไรก็ได้ใส่สมองคนแบบง่ายๆ มนุษย์เราตอนนี้ก็คงจะไม่ต้องมานั่งเรียนให้เสียเวลาไปแล้ว

ทุกสิ่งจะสามารถถ่ายทอดได้ผ่านศิลามรดกได้ มันจะไม่มีใครต้องมาเหนื่อยสมอง และมันก็จะเป็นเรื่องง่าย ที่จะปลูกฝังความเกียจคร้าน และทําให้มีโอกาสสูงที่อารยธรรมจะหยุดนิ่งและไม่คืบหน้า

แค่คิดถึงผลที่ตามมาก็น่ากลัวแล้ว

หลังจากเรียนจบภาษาไปแล้ว ลุงเอยก็หลับตาและพักสักครู่ หลินซานและคนอื่น ๆรู้ว่าพวกเขาควรออกไปได้แล้ว

“ขอเบียร์ข้าวสาลีองุ่นจิตวิญญาณให้ฉันสักถ้วย!”

มันมีสิ่งอํานวยความสะดวกความบันเทิงมากมายในห้องโถง หลินซานดูเหมือนจะไม่รีบร้อนที่จะออกไป เขาพาทีมไปที่บาร์และตะโกนใส่บาร์เทนเดอร์ที่ยืนอยู่หลังเคาน์เตอร์

เบียร์ข้าวสาลีองุ่นจิตวิญญาณนั้นเป็นของพิเศษของทวีปซินหวี่ มันไม่มีปริมาณแอลกอฮอล์สูงและรสชาติก็ยอดเยี่ยม ดังนั้นนักสู้หลายคนจึงชอบมัน

หลินซานหยิบหนังสือเล่มเล็กจากด้านล่างเคาน์เตอร์บาร์แล้วโยนมันให้หวังเต็ง “สิ่งที่นายอยากรู้ล้วนอยู่ภายในนั้น นายสามารถดูมันได้”

หลิวหยานและสมาชิกในทีมคนอื่นๆมารวมตัวกันที่เคาน์เตอร์บาร์และสั่งเครื่องดื่มหรือค็อกเทลผลไม้ที่มีแอลกอฮอล์ต่ํา พวกเขารอที่ด้านข้างและพูดคุยกับเพื่อนๆ

หวังเต็งพยักหน้า เขาเปิดหนังสือเล่มเล็กและเริ่มอ่าน

หนังสือเล่มเล็กนี้เป็นการรวบรวมความรู้ทั่วไปทั้งหมดที่ควรรู้เกี่ยวกับทวีปซินหวี่ มันไม่ได้ละเอียดมาก แต่มันก็ครอบคลุมมาก

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว หลินซานเรียกรวมพลสมาชิกคนอื่นๆหลังจากที่หวังเต็งอ่านหนังสือเสร็จแล้ว

เวลาในทวีปซินหวี่นั้นใกล้เคียงกับโลก

ตอนนี้เป็นเวลาประมาณ 3 ทุ่มแล้ว

หลินซานขับรถเกราะหนักออกจากลานจอดรถของสถาบันสอนศิลปะการต่อสู้และเรียกทุกคนให้เข้ามา

ล้อของรถคันนี้สูงพอๆกับมนุษย์ รถถูกหุ้มด้วยเกราะหนารอบด้าน และดูเหมือนสัตว์เหล็กขนาดยักษ์

รถเกราะหนักขับออกจากเมืองหยง

เมืองหยงนั้นเป็นเมืองสําคัญที่เชื่อมต่อกับรอยแยกมิติของตงไห่ เมื่อรอยแยกมิติปรากฏขึ้น ผู้คนจากโลกได้เริ่มสร้างเมืองนี้

มันใช้เวลาหลายปีมากก่อนที่เมืองจะสามารถพัมนามาจนถึงระดับนี้ได้

ในทวีปซินหวี ผลิตภัณฑ์ด้านเทคโนโลยีมากมายจากโลกนั้นไร้ประโยชน์ ในที่แห่งนี้ มันสามารถใช้ได้เฉพาะผลิตภัณฑ์ฟอร์สเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น หอคอยแห่งฟอร์สใจกลางเมืองและยานเกราะหนักฟอร์สที่พวกเขากําลังนั่งอยู่

นี่ดูเหมือนจะเป็นข้อจํากัดของโลกนี้

หวังเต็งได้เรียนรู้ข้อมูลทั้งหมดเหล่านี้มาจากหนังสือเล่มเล็ก เขาเริ่มมีความเข้าใจในสิ่งต่างๆในทวีปซินหวี่อย่างข้าๆ

ที่นั่งด้านหน้าและด้านหลังของยานเกราะหนักเชื่อมต่อกัน แม้ว่าหวังเต็งจะนั่งที่ด้านหลัง แต่เขาก็สามารถเห็นแผงหน้าปัดด้านหน้าได้ ยานพาหนะฟอร์สประเภทนี้นั้นใช้อักษรรูนเพื่อดูดซับพลังฟอร์สในอากาศและเปลี่ยนมันพลังงาน ซึ่งมันก็ค่อนข้างเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

พวกเขาออกมาจากเมืองแล้วขับต่อไปอีกสิบกว่าไมล์ จากนั้นพวกเขาก็ออกจากถนนสายหลักและเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร

สภาพแวดล้อมรอบๆพวกเขารกร้าง มันสามารถมองเห็นพุ่มไม้เตี้ยได้ทั่วไป และเจอสัตว์ป่าตัวสองตัวระหว่าง

ถิ่นทุรกันดารยาวไปไม่มีที่สิ้นสุด มันมีหลุมลึกตามธรรมชาติอยู่ทุกหนทุกแห่งระหว่างทางพูดกันตามตรง มันก็แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะขับรถผ่านเส้นนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ปัญหาสําหรับยางล้อขนาดใหญ่ของยานเกราะหนักคันนี้

“จุดหมายของเราในครั้งนี้คือป่าหมอกทมิฬ” หลินซานตะโกน

หวังเต็งรู้ได้ทันทีว่าเขากําลังพูดถึงอะไร มันมีการอธิบายถึงสถานที่นี้ในหนังสือ

ป่าหมอกทมิฬนั้นเป็นพื้นที่ที่มนุษย์กําลังสํารวจอยู่ในขณะนี้ และมันก็มีขนาดใหญ่มาก ภายในมีเขตหวงห้าม มากมายที่มีสัตว์อสูรดาราขนาดใหญ่และทรงพลังอาศัยอยู่ที่นั่น นักสู้ผู้แข็งแกร่งหลายคนเสียชีวิตในที่แห่งนี้ และจนถึงทุกวันนี้ มนุษย์ก็ยังไม่ได้สํารวจป่าทั้งหมด

สองชั่วโมงต่อมา เมื่อดวงอาทิตย์กําลังจะตกป่ากว้างใหญ่ก็ปราฏขึ้นนสายตาของทุกคน

หลินซานขับรถไปที่ขอบป่า จากนั้นเขาก็เหยียบเบรกและเคลื่อนรถขนาดใหญ่ไปด้านข้าง ยางไถพรวนดิน และก่อเป็นรอยโค้ง