ตอนที่ 164

My Disciples Are All Villains

ลู่โจวสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจนว่าฝานซุยเหวินกำลังสั่นไปทั้งตัว “เงื่อนไขที่ว่านั้นง่ายแสนง่าย…ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าจะต้องภักดีต่อศาลาปีศาจลอยฟ้าของข้า”

ทั่วทั้งห้องได้เงียบลง

ฝานซุยเหวินได้หยุดสั่นก่อนที่จะสงบลง เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาแต่ถึงแบบนั้นใบหน้าของเขาก็ได้แสดงสีหน้าอะไรบางอย่างออกมา มันเป็นสีหน้าที่กำลังเยาะเย้ยตัวเองอยู่นั่นเอง ด้วยสภาพปัจจุบันของฝานซุยเหวินในตอนนี้ปรมาจารย์แห่งศาลาปีศาจลอยฟ้าจะสามารถใช้งานอะไรตัวเขาได้?

ฝานซุยเหวินรู้ตัวเองดี ตัวเขาที่เป็นถึงผู้นำของเหล่าอัศวินดำ และยังเคยมีชื่ออยู่ในบัญชีดำอันดับต้นๆ อีกด้วย…แต่ในตอนนี้ทุกอย่างกลับไร้ความหมาย

หยวนเอ๋อพยายามที่จะรักษาระยะห่างกับฝานซุยเหวิน ตัวเขาในตอนนี้ดูน่าเกลียดน่ากลัวเป็นอย่างมาก

ทั่วทั้งตัวของฝานซุยเหวินมืดมิดราวกับเถ้าถ่าน ตัวเขาดูเหมือนกับสัตว์ประหลาดมากกว่าที่จะดูเหมือนมนุษย์ นอกจากจะได้รับบาดเจ็บสาหัสแล้ว เป็นไปได้สูงว่าตัวเขาจะสูญเสียพลังวรยุทธทั้งหมดไป ในตอนนี้ฝานซุยเหวินก็ไม่ต่างอะไรจากคนไร้ประโยชน์ ศาลาปีศาจลอยฟ้าผู้ยิ่งใหญ่จำเป็นจะต้องการพลังของชายคนนี้อีกด้วยอย่างงั้นหรอ?

หยวนเอ๋อเองก็รู้สึกไม่เข้าใจการตัดสินใจของผู้เป็นอาจารย์ แต่ถึงแบบนั้นเธอก็ไม่กล้าพอที่จะกล้าตั้งคำถามขึ้น ‘ท่านอาจารย์มีเหตุผลอะไรกันแน่ถึงต้องทำแบบนี้’

“ถ้าหากเจ้ายอมรับมันได้ ข้าก็พอจะมีทางที่จะช่วยเจ้าอยู่…”

เมื่อได้ยินลู่โจวพูดแบบนั้น ฝานซุยเหวินก็ได้สั่นไปทั้งตัวอีกครั้ง เขาพยายามที่จะรวบรวมเรี่ยวแรงทั้งหมดก่อนที่จะยกหัวขึ้นมา ตัวเขาอยากที่จะเหลือบมองลู่โจว แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็บาดเจ็บสาหัสจนเกินไป ฝานซุยเหวินทำไม่สำเร็จ ตัวเขาได้แต่ทรุดตัวลงกับพื้น แต่ถึงแบบนั้นก็เสียงอันแผ่วเบาหลุดรอดมาจากปากของฝานซุยเหวิน “ได้” ฝานซุยเหวินพยายามที่จะรวบรวมแรงทั้งหมดเพื่อที่จะเอ่ยปากพูดคำเดียวออกมา

“ติ้ง! ได้รับสาวกคนใหม่ วรยุทธ: ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ผู้ใช้พลังร่างอวตารทั้งแปดแห่งร้อยวิถี รางวัล: 2,000 แต้มบุญ ข้อเสนอแนะพิเศษ: การจะควบคุมสาวกคนนี้เป็นไปได้ยาก ได้โปรดเพิ่มค่าความจงรักภักดี”

ลู่โจวได้เหลือบมองไปที่ฝานซุยเหวินเมื่อได้ยินเสียงการแจ้งเตือน

ชื่อ: เล้งลั่ว

เผ่า: มนุษย์

วรยุทธ: ขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ (บาดเจ็บสาหัส)

ค่าความจงรักภักดี: 2%

ค่าความจงรักภักดีของเขาต่ำจนยากที่จะใช้งานได้

ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นแต่ครั้งหนึ่งฝานซุยเหวินก็เคยมีชื่ออยู่ในอันดับต้นๆ ของบัญชีดำ และนอกจากนี้ตัวเขายังเคยเป็นถึงผู้นำของเหล่าอัศวินดำผู้ทรงอำนาจ นอกเหนือจากนี้ตัวเขายังมีพลังร่างอวตารที่มีกลีบดอกบัวถึง 8 กลีบด้วยกัน และเพราะแบบนั้นแล้วจึงไม่น่าแปลกใจเลยที่คนแบบนี้จะหยิ่งยโสได้ แม้แต่เหวยซู่หยานแม่ทัพหลวงเองก็ไม่ชอบเขาเช่นกัน ไม่ว่าจะยังไงก็แล้วแต่การเพิ่มกำลังของศาลาปีศาจลอยฟ้าได้ก็คงจะเป็นเรื่องที่ดีกว่า

“เยี่ยมาก” ลู่โจวได้พยักหน้าออกมาอย่างพึงพอใจ “เจ้าน่ะเข้าร่วมศาลาปีศาจลอยฟ้าของข้าแล้ว นับตั้งแต่จากนี้เป็นต้นไปเจ้าจะต้องรับใช้ตัวข้าแต่เพียงผู้เดียว…”

ฝานซุยเหวินพยายามที่จะพูดออกมา แต่เสียงเดียวที่ดังออกมาจากในลำคอของเขาเป็นเสียงที่ฟังดูแล้วไม่ได้ความ

ลู่โจวยกมือขึ้นมาอย่างช้าๆ ในตอนนั้นเองแสงสีฟ้าก็ได้ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา ลู่โจวได้โบกฝ่ามือไปรอบๆ ในตอนนั้นเองแสงสีฟ้าจางๆ ก็ได้เคลื่อนตามฝ่ามือ

เมื่อฝานซุยเหวินเห็นพลังของลู่โจว ดวงตาของเขาก็เบิกกว้างในทันที

สิ่งที่ลู่โจวใช้ก็คือการ์ดรักษาฉุกเฉิน

ลู่โจวแลกสิ่งนี้มาด้วย 300 แต้มบุญที่เขามี สำหรับลู่โจวแล้วการ์ดรักษาฉุกเฉินใบนี้เป็นอะไรที่คุ้มค่ามาก มันทำให้ตัวเขาได้แต้มบุญจากระบบมากถึง 2,000 แต้มบุญด้วยกัน

ในใจของลู่โจวในตอนนี้กำลังคิดถึงวิธีการที่จะควบคุมฝานซุยเหวิน แน่นอนว่าการจะควบคุมคนที่มีความสามารถอย่างเขาได้คงจะเป็นอะไรที่ยากมาก เพราะแบบนั้นลู่โจวจึงตัดสินใจที่จะคิดเรื่องนี้ทีหลังแทน

ฝานซุยเหวินได้รับบาดเจ็บสาหัสมาก การ์ดรักษาฉุกเฉินของลู่โจวสามารถช่วยรักษาอาการบาดเจ็บของเขาได้เพียง 30% เท่านั้น และเพราะอาการบาดเจ็บที่เขามีแน่นอนว่าฝานซุยเหวินคงจะเล่นอะไรตุกติกไม่ได้แน่

แสงสีฟ้าได้ปกคลุมร่างกายฝานซุยเหวินที่ไหม้เกรียม แสงสีฟ้าเริ่มเข้าสู่ร่างกายก่อนที่จะเคลื่อนที่ไปยังเส้นพลังลมปราณทั้ง 8 ของเขา พลังสีฟ้าค่อยๆ รักษาเยียวยาร่างกายที่ได้รับบาดเจ็บฝานซุยเหวินอย่างช้าๆ

ลู่โจวได้แต่จ้องมองความเปลี่ยนแปลงของฝานซุยเหวินอย่างเยือกเย็น

พลังแห่งการเยียวยารักษาของการ์ดรักษาฉุกเฉินทำให้ลู่โจวนึกถึงเทคนิคการเยียวยารักษารูปแบบหนึ่งของชาวพุทธ เทคนิคนั่นก็คืออภัยเมตตาพาพ้นบาป การจะใช้เคล็ดวิชานี้ได้ผู้ฝึกยุทธจะต้องมีพลังวรยุทธขั้นมหาภัยพิบัติศักดิ์สิทธิ์ให้ได้ซะก่อน การจะใช้เคล็ดวิชาเมตตาพาพ้นบาปผู้ใช้จะต้องสูญเสียพลังลมปราณไปเป็นจำนวนมาก พลังแห่งการเยียวยารักษาจะค่อยๆ รักษาและขยายเส้นพลังลมปราณทั้งแปดของเป้าหมาย เมื่อขยายเส้นพลังลมปราณได้หลังจากนั้นมันจะช่วยเยียวยารักษาบาดแผลนั่นเอง

ฝานซุยเหวิน ค่าความจงรักภักดี +2%

เป็นไปไม่ได้เลยที่ฝานซุยเหวินจะไม่ตกใจ แต่ถึงแบบนั้นตัวเขาก็ไม่ได้แสดงทีท่าอะไรออกมา การเห็นลู่โจวใช้เคล็ดวิชาชาวพุทธ เคล็ดวิชาที่ใช้ในการเยียวยารักษาได้เป็นอะไรที่น่าตกใจมาก

เมื่อลู่โจวเห็นฝานซุยเหวินค่าความจงรักภักดีเพิ่มมากขึ้น 2% ตัวเขาก็เริ่มสงบใจลงได้

‘แม้แต่ในตอนนี้ค่าความจงรักภักดีของเขายังเพิ่มมากขนาดนี้ แล้วในอนาคตมันจะเพิ่มยากขนาดไหนกัน ที่เป็นแบบนี้คงจะเป็นเพราะว่าลูกน้องทั้งสองคนของเขาได้ตายไปในศาลาปีศาจลอยฟ้า นี่คงจะเป็นอุปสรรคในการเพิ่มค่าความจงรักภักดีแน่ การจะเพิ่มค่าความจงรักภักดีของฝานซุยเหวินให้ถึง 70% หรือ 80% คงจะใช้เวลาภายในวันสองวันไม่ได้แน่’

ลู่โจวจ้องมองไปที่ฝานซุยเหวินอย่างใจเย็น ตัวเขาไม่ได้รู้สึกกังวลเลยว่าการ์ดรักษาฉุกเฉินของเขาจะสามารถใช้ได้ผลไหม

หลังจากที่ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงแสงสีฟ้าทั้งหมดก็เริ่มที่จะจางหายไป

ตลอดเวลาที่ผ่านมาหยวนเอ๋อได้แต่เฝ้ามองดูเหตุการณ์ทุกอย่างอย่างตกตะลึง เธอได้แต่ยืนอยู่ข้างๆ ลู่โจวอย่างเชื่อฟังโดยไม่แม้แต่จะกล้ารบกวนผู้เป็นอาจารย์

ในที่สุดแสงสีฟ้าจากฝ่ามือลู่โจวก็ได้จางหายไป

เลือดทั้งหมดรวมไปถึงบาดแผลของฝานซุยเหวินได้ปิดจนสนิท ในตอนนี้ตัวเขาพยายามที่จะขยับอีกครั้ง ฝานซุยเหวินเอาฝ่ามือยันพื้นเอาไว้ก่อนที่จะพยายามดันตัวเองขึ้นมา ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับเรี่ยวแรงบางส่วนกลับมาแล้ว อาการบาดเจ็บส่วนใหญ่ของฝานซุยเหวินถูกรักษาขึ้นมาแล้วนั่นเอง

ฝานซุยเหวินถอยกลับไปที่มุมมุมหนึ่ง ตัวเขาได้เอาหลังพิงกำแพงเอาไว้ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้ง “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป…ฝานซุยเหวินจะไม่มีตัวตนอยู่ในโลกใบนี้อีกต่อไป…ในตอนนี้จะมีเพียง…เล้งลั่วเท่านั้น…” ทันทีที่พูดจบเขาก้ได้ไอออกมาอย่างรุนแรง ท้ายที่สุดแล้วอาการบาดเจ็บ 30% จากทั้งหมดได้ถูกเยียวยารักษาเท่านั้น

ลู่โจวพยักหน้าเล็กน้อย ตัวเขาได้ลูบเคราก่อนที่จะพูดขึ้น “เล้งลั่ว ข้าน่ะจะไม่บังคับให้เจ้าต้องทำตามกฎของศาลาปีศาจลอยฟ้าหรอกนะ…”

เล้งลั่วพยักหน้า แต่ถึงแบบนั้นสีหน้าของเขากับแข็งกระด้าง ที่จริงแล้วตัวเขาไม่ได้ตั้งใจที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของลู่โจว ตัวเขาแค่รู้สึกไม่เคยชินกับการเป็นสาวกของใคร

“ทะ…ท่านปรมาจารย์? “

“เรียกตามที่เจ้าต้องการเถอะ…”

“ข้า…ที่ผ่านมาข้าได้แต่ทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด ทำไมกัน…ข้าอยากที่จะถามว่าทำไมท่านถึงต้องช่วยข้า? ” เล้งลั่วไม่เข้าใจเหตุผลของลู่โจวเลย พลังวรยุทธที่ตัวเขามีในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากผู้ฝึกยุทธทั่วๆ ไป แม้ว่าศาลาปีศาจลอยฟ้าจะสังหารตัวเขาไป ตัวเขาก็จะไม่แปลกใจเลยแม้แต่น้อย

ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างไร้อารมณ์ “ก็เพราะเป็นเจ้ายังไงล่ะเล้งลั่ว…”

คนคนนี้ก็คือเล้งลั่ว ยอดฝีมือผู้มีพลังร่างอวตารดอกบัว 8 กลีบ คนแบบนี้ในสายตาลู่โจวไม่เคยที่จะไร้ค่าเลย

เล้งลั่วที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้แต่พยักหน้า

“เจ้าน่ะอยากที่จะฆ่าม่อหลี่รึเปล่าล่ะ?

“แน่นอน”

“เจ้าได้เจอเจ้านั่นล่าสุดตอนไหนกัน? “

“ข้าเองก็จำไม่ได้…ข้าจำได้แค่ว่าเจ้านั่นมันสนิทกับสำนักแห่งความบริสุทธิ์” เล้งลั่วพูดขึ้น

สำนักแห่งความบริสุทธิ์?

ลู่โจวได้พูดต่อไป “ม่อหลี่มาจากสำนักแห่งความบริสุทธิ์อย่างงั้นหรอ? “

“ถูกต้องแล้ว”

ฝานซงเองก็เคยได้ร่ำเรียนเวทมนตร์คาถามาจากที่นั่น ตัวเขาบอกได้แค่ว่าผู้อาวุโสหลายคนหรือแม้แต่เจ้าสำนักปฏิเสธที่จะพูดคุยกับตัวเขาเรื่องนี้ เรื่องของเวทมนตร์คาถา

“ม่อหลี่, ม่อฉี…” ลู่โจวได้เอ่ยชื่อทั้งสองออกมาในขณะที่เอามือไขว้หลังเอาไว้

คงจะดีกว่านี้มากถ้าหากลู่โจวไม่เอ่ยชื่อทั้งสองออกมาจากปาก

เมื่อได้ยินชื่อทั้งหมดสีหน้าของเล้งลั่วก็ได้เปลี่ยนไปในทันที เห็นได้ชัดว่าตัวเขาเกลียดชื่อพวกนั้นมากแค่ไหน

ลู่โจวเหลือบมองไปที่เขาก่อนที่จะเอ่ยปากถามขึ้น “เจ้าน่ะเป็นผู้นำของเหล่าอัศวินมานาน เจ้าพอจะรู้ไหมว่านางมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นไหนกัน? “

เล้งลั่วส่ายหัวก่อนที่จะตอบกลับไป “ข้าไม่เคยเห็นนางเคลื่อนไหวแม้แต่ครั้งเดียว…แต่ถึงแบบนั้นข้าก็ไม่คิดว่านางจะอ่อนแอไปกว่าวู่เซียน ผู้นำของเหล่าสิบคนทรงไปได้…”

ในตอนที่ใช้สุดยอดเวทมนตร์คาถาก่อนหน้านี้ วู่เซียนสามารถใช้พลังที่แท้จริงได้เพียง 70-80% เท่านั้น ด้วยเหตุนี้เองลู่โจวจึงคิดว่าม่อหลี่คงจะมีพลังร่างอวตารดอกบัวไม่ 7 ก็ 8 กลีบอย่างแน่นอน

ดูเหมือนว่าสำนักแห่งความบริสุทธิ์จะเป็นที่หลบซ่อนของเหล่ามังกรซ่อนเล็บ เมื่อเทียบกับสำนักเที่ยงธรรมแล้ว ทั้งสองสำนักต่างกันมาก แม้ว่าทั้งสองสำนักจะนับถือเส้นทางแห่งคุณธรรมเหมือนกันแต่ถึงแบบนั้นความแข็งแกร่งของทั้งสองสำนักกลับต่างกันอย่างสิ้นเชิง

ในตอนนั้นเองเสียงของต้วนมู่เฉิงก็ได้ดังมาจากที่ไกลแสนไกล “ท่านอาจารย์ ข้าได้ขังเจ้าเหวยซู่เหลนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว…ดูเหมือนเจ้านั่นจะมีพลังวรยุทธอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น แม้ว่าเจ้านั่นจะมีปีก แต่เจ้านั่นไม่สามารถที่จะหลบหนีไปได้แน่”

ลู่โจวพยักหน้า

ต้วนมู่เฉิงได้พูดต่อไป “นอกจากนี้ยังมีจดหมายจากศิษย์น้องเจ็ดด้วย”

“เจ้านั่นอยากจะพูดอะไร”

สีวู่หยาทำไมถึงส่งจดหมายในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้กัน…

“เจ้าสำนักเที่ยงธรรมจางชุนไหลได้ส่งกลุ่มคนโจมตีศิษย์น้องแปดเข้า ท้ายที่สุดแล้วการโจมตีทั้งหมดก็ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่า…”

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้ตอบกลับมาอย่างสับสน “ด้วยพลังของเจ้าแปด…เป็นไปได้ไงกันที่เจ้านั่นจะสามารถต้านทานการโจมตีเอาไว้ได้”

“ศิษย์น้องเจ็ดไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้เอาไว้ในจดหมายเลย…ศิษย์น้องยังพูดต่อไปอีกว่าจางหยวนฉานในตอนนี้ได้ไปหาเจ้าสำนักแห่งความบริสุทธิ์แล้ว เขาคนนี้มาจากสำนักเดียวกัน สำนักแห่งความบริสุทธิ์ได้สาบานเอาไว้แล้วว่าจะฆ่าศิษย์น้องแปดและคนจากหุบเขาพยัคฆ์ทั้งหมดเพื่อเอาเลือดล้างแค้นให้กับจางชุนไหล” ต้วนมู่เฉิงพูดขึ้น

ลู่โจวที่ได้ฟังข่าวนี้ยังคงมีสีหน้าที่เรียบเฉยราวกับว่ากำลังฟังข่าวคราวที่ไม่ได้สำคัญอะไร “เจ้านั่นน่ะหาเรื่องเอง เจ้าศิษย์ทรยศนั่นคงจะโทษใครไม่ได้แล้วล่ะ”