ตอนที่ 25 การล่ามนุษย์(6)

Dungeon Defense

* * *

ลอร่าถูกสอนให้รู้จักปกป้องความทรนงของตนเอง แม้ตระกูลจะล่มสลายไป เธอกลายเป็นทาส การกระทำต่ำสถุลที่มีต่อร่างกายของเธอกลายเป็นสิ่งที่พวกมันคุ้นชิน แต่ความภาคภูมิของเธอเป็นสิ่งเดียวที่เธอจะไม่เสียมันไป ในความเห็นของเธอนั้นชีวิตไม่ได้ยาวนาน

มีช่วงเวลาหนึ่งที่เธอหลงเข้าไปในระหว่างการเดินเล่นในสวนหลังบ้าน เธอรับรู้ได้ว่า คนรับใช้ต่างมองไปที่เธอและกระซิบกระซาบต่อกัน

เมื่อใดก็ตามที่สบตากับเธอ พวกเขานั้นก็จะทำเป็นกวาดพื้นอย่างแข็งขันราวกับว่าพวกเขากำลังตั้งใจทำความสะอาดกันอยู่ หากแต่ลอร่าบอกได้ เธอบอกได้ว่า พวกนั้นมองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยการเยาะหยัน

มันเป็นเวลานานแล้วตั้งแต่เธอยังเด็กที่เธอสามารถบอกได้ว่า พวกเขาคิดอะไรจากการมองตาเพียงอย่างเดียว

เรื่องข่าวลือเกี่ยวกับตัวเธอที่ว่า ‘ลูกสาวสุดเอาแต่ใจเห็นแก่ตัวแห่งตระกูลฟาร์เนเซ่’ผู้ไม่เหมาะสมกับงานเลี้ยงหรือกลุ่มสังคมใดทั้งนั้น แทนที่จะตะโกนออกมา เธอกลับเก็บเงียบตัวเองอยู่ในห้องและอ่านหนังสือ เกี่ยวกับยุทธศาสตร์การรบ ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ลอร่าเด็กสาวผู้หูหนวกต่อโลกภายนอกรู้จักดี สำหรับคำนำหน้าว่าเป็น ผู้สืบทอดอันดับสองนั้น ไม่ต่างอะไรจากเปลือกไร้ค่า

‘ชื่อเสียงนั้นเป็นสิ่งที่เปล่าประโยชน์เป็นที่สุด’

ลอร่าจ้องมองเบญจมาศสีฟ้าที่อยู่ในสวน ดอกเบญจมาศนั้นไหวน้อยๆตามแรงลมแผ่ว

‘สรรพสิ่งนั้นเลื่อนไหล’

ไม่กี่วันก่อน นักเวทย์ที่จบจากสถาบันนักบุญปีเตอร์สเบิร์ก(Academy of Saints Petersburg) ได้ทำการเลคเชอร์สิ่งที่น่าสนใจ ในหัวข้อว่า ‘อะไรคือ วิธีที่ถูกต้องในการตัดสิน ธรรมชาติของชีวิต?’

ในท้ายที่สุด การวิพากย์แนวคิดเรื่อง ‘สถานะการหยุดนิ่งในความเงียบ’ นั้นผิด

สรรพสิ่งนั้นเลื่อนไหล แม้มนุษย์จะรู้สึกว่า การคงอยู่ตามธรรมชาตินั้นหยุดนิ่ง แต่มันเป็นความเข้าใจผิดที่ตื้นเขินของมนุษย์เอง

‘การสัมผัสและความเคลื่อนไหว พูดอีกนับหนึ่ง เราจะรับรู้ความเร็วของสิ่งทั้งหลายตามจังหวะชีวิตของเรา

ยิ่งจังหวะนั้นเร็วมากเท่าใด เราก็รับรู้โลกได้เร็วมากเท่านั้น

ตัวอย่างเช่น กระต่ายบ้านที่มีจังหวะการเต้นหัวใจเร็วกว่าสัตว์อื่นถึง 4 เท่า ดังนั้นมันจึงทำอะไรได้เร็วกว่าถึง 4 เท่า พวกมันมีประสบการณ์4 เท่า เพราะฉะนั้นกระต่ายบ้านจึงมีประสบการณ์มากกว่า 4 เท่าเมื่อเทียบกับวัว

……จากมนุษย์ไปสู่ซับสปีชี่อื่นและสัตว์ ทุกสิ่งนั้นเลื่อนไหลไปตามมุมมองเฉพาะแต่คนเผ่า ความเร็วในช่วงเวลาภายในของสิ่งมีชีวิตตัวนั้นมีอยู่ในกรอบของเวลา

เราลองมาตั้งสมมุติฐานว่า การไหลของจังหวะ การรับรู้ ความจุทางจิตของมนุษย์นั้นทั้งเร็วและช้าเป็นอย่างมาก!

หากเราหลอมรวม ช่วงวัยเด็ก วัยผู้ใหญ่ วัยชราของคนๆหนึ่ง แล้วบีบมันให้เหลือหนึ่งในพันจากความยาวเดิม

พูดอีกอย่างว่า เป็นการย่นย่อชีวิตให้เหลือเพียงเดือนเดียว ดังนั้นจังหวะก็จะเร็วขึ้น 1,000 เท่า⎯⎯⎯มนุษย์ที่เป็นเหมือนผู้ชมนั้นก็จะเห็นเหมือนลูกธนูที่พุ่งออกไป

จอมเวทย์เฒ่านั้นเขย่าโพเดียมเหมือนเด็ก

‘จะเกิดอะไรขึ้นหากเราย่นย่อชีวิตหนึ่งในพันนั้นอีกครั้งหนึ่ง พูดง่ายๆคือ บีบให้เหลือสั้นเพียง 40 นาทีล่ะ?

ใบหญ้าและดอกไม้ก็ดูเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงไปและยังคงสภาพเฉกเช่นดั่งภูเขา ด้วยอายุขัยที่มีเพียงเท่านั้นของพวกเราก็จะรับรู้ การเบ่งบานของดอกไม้ราวกับพวกเราเห็นการเคลื่อนของผืนทวีป

พวกเราจะไม่มีทางเห็นการเคลื่อนไหวของกระต่าย การวิ่งเหยาะของกวาง หรือการกระโดดของกบ เพราะว่าพวกมันนั้นเชื่องช้าเกินไป!

เอาล่ะ ในที่สุดเราก็มาถึงข้อสรุปเกี่ยวกับความเคลื่อนไหวของจักรวาลที่อยู่ห่างไกล เราอาจไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการอนุมานมันเกี่ยวกับการวิ่งเหยาะของกวางเช่นกัน

แล้วจะเกิดอะไรล่ะ หากจังหวะชีวิตของพวกเรานั้นช้ากว่านั้น?

……บางทีเราอาจได้ยินเสียงของแสงแดด ต่อจากนั้นเราอาจตั้งสมมุติฐานถึงจุดจบที่ตรงข้าม ยกตัวอย่างเช่น

หากจังหวะชีวิตของเรายืดออกไปเป็นพันเท่าล่ะ? ชีวิตของเราคร่าวๆก็ราวๆ 80,000ปี และ ประสบการณ์ 8 – 9 ชั่วโมงที่เราประสบมานั้นก็ยืดออกไปเป็นนานนับปี

นักเวทย์พูดอู้อี้ พอเขาทำแบบนั้น ไฟก็ปรากฏที่มือขวา มันคือ เวทย์ไฟบอลอย่างง่าย

‘เมื่อเป็นอย่างนั้นแล้ว ภายใน 4 ชั่วโมงนั้น เราจะได้ประจักษ์ถึง ฤดูหนาวที่หิมะละลาย ต้นหญ้าดอกไม้งอกขึ้นมาจากผืนดิน ใบไม้เติบโตอย่างมีชีวิตชีวิตให้กำเนิดผลไม้ ก่อนจะเหี่ยวเฉาตายอีกครั้ง

……กลางวันและกลางคืนจะสลับไปมา ไปมาทุกนาที และแสงจากดวงอาทิตย์จะยิงข้ามผืนฟ้าเหมือนลูกธนู

แล้วจะเกิดอะไรขึ้นอีกล่ะหากเรายังขยายช่วงเวลาพันเท่านั้น ไปอีกพันเท่า?

……ความแตกต่างระหว่างกลางคืน กลางวันจะหายไปโดยสมบูรณ์!

พระอาทิตย์นั้นจะปรากฏราวกับเป็นเพียงเปลวไฟกะพริบที่พวกเราจะเห็นมันพุ่งผ่านท้องฟ้า

นักเรียนผู้ทรงเกียรติแห่งลอมบาร์เดียทั้งหลาย นี่แหละคือ ‘การรับรู้ของนักเวทย์’

(TTL : สัมพัทธภาพชัดๆ! น้องไปซึบซับอะไรพวกนี้มาสินะ)

ทุกสิ่งนั้นที่ดำรงอยู่อย่างต่อเนื่องให้เราเห็นนั้นเกิดจากการรวมตัวกันในห้วงเวลา สรรพสิ่งนั้นถูกกลืนด้วยกระแสแห่งการสร้างใหม่ ดำรงอยู่ หยุดลง และความไม่มีที่สิ้นสุด ทั้งหมดเป็นความเข้าใจผิดที่ถูกสร้างขึ้นจากขีดจำกัดของมนุษย์

ความสมบูรณ์แบบและการไร้ซึ่งข้อผิดพลาด ความเข้าใจคอนเส็ปที่ผิดไป…… เป็นการปรากฏขึ้นอย่างงดงาม

การเลคเชอร์ครั้งนั้นประทับฝังใจในตัวลอร่า สรรพสิ่งนั้นเลื่อนไหล เป็นแนวคิดที่อธิบาย สรุปทฤษฏีอย่างสั้นกระชับที่เข้ากับชีวิตของลอร่า

คนๆหนึ่งที่มีชื่อเสียง,ถูกเกลียดชังโดยผู้อื่น,ความขุ่นเคืองใจ,จิตวิญญาณการแก้แค้น และความรัก

ทั้งหมดนั้นมันมิได้เป็นอะไรมากไปกว่า ช่วงระยะเวลาสั้นๆในชีวิตที่ก่อตัวขึ้นชั่วคราวแล้วจางหายไป

ความทรนงของชนชั้นสูงต่อทาส ระบบที่รู้จักกันในนามว่า ชาติ และแม้แต่อิทธพลของวิหาร มนุษย์ที่เดินบนโลกเมื่อร้อยปีก่อนย่อมแตกต่างไปจากมนุษย์ที่เดินในวันนี้

ถ้าหากมีสิ่งเดียวที่เป็นความจริงท่ามกลางความเลื่อนไหลของสรรพสิ่ง สิ่งเดียวที่ฉันจะสามารถเฝ้ารอและเผชิญหน้าในท้ายที่สุด คือ ความตาย

นั่นคือ สิ่งที่ลอร่าเชื่อ

‘ฮ่าช์ แม่ง ดูความนุ่ม เนียนบนผิวนั่นสิ ฟืดๆ แค่ได้กลิ่นอย่างเดียวก็ตื่นเต้นแล้ว’

‘คุณหนูจ๊ะ ตาของเธอมันไม่หัวเราะเลยนะ ห้ะ? พวกเราออกจะสงสัยว่า จะวางท่าถือตัวไปได้นานแค่ไหน แม้นายจ้างจะสั่งให้ดูแลให้ดีๆ แต่เฮ่อ ไอ้เลวอย่างพวกเราไม่รู้หรอกว่า ดีๆมันคือยังไง พวกเราไม่มีการศึกษานี่หว่า’

‘นี่คือ สิ่งที่พวกเรารู้ว่า ควรทำยังไง ฮ่าฮ่า เราจะสอนเธอนับจากนี้ล่ะนะ ขอให้เธอเป็นนักเรียนที่ดีก็แล้วกัน’

หลังจากส่งมอบไปถึงพ่อค้าทาส เธอก็ถูกข่มขืนภายใต้การแสร้งทำเป็นให้การสอนอยู่ทุกคืน แม้ความบริสุทธิ์ของเธอจะไม่ได้ถูกพรากไปเนื่องจากนั้นเป็นสิ่งที่มีค่ามากในฐานะสินค้า

แต่ถึงอย่างนั้น สิ่งอื่นนอกเหนือจากนั้น ทุกพื้นที่ของเธอต่างแปดเปื้อน เธอประหลาดใจในความจริงที่ว่า ส่วนต่างๆของร่างกายนั้นสามารถใช้ด้วยจุดประสงค์ ‘อย่างนั้น’ ได้ด้วย

ตาที่ส่องประกายในความมืด

ความละโมบที่ย้อมในตาที่พยายามหาทางเล่นสนุกกับลอร่า อันที่จริงเธอก็หัวเราะหลายครั้งกับชั่วโมง‘ให้การศึกษา’

แต่ทุกครั้งที่เธอหัวเราะ พวกทหารรับจ้างจะคิดว่า เธอกำลังดูถูกพวกเขา พวกเขาจึงเริ่มทำให้รุนแรงขึ้น มันเป็นโอกาสเดียวที่จะทำให้รู้สึกบันเทิงใจที่เธอไม่ได้อยู่เงียบ

‘คาดหวังว่า จะเขย่าแบบเจ้าลูกแมวน้อยอย่างนั้นรอะ? ที่พยายามไปสูญเปล่าน่า ยัยทาส เลิกหวังไร้สาระได้แล้ว หาแต่สิ่งที่เหมาะกับชีวิตแกดีกว่า’

ในคืนนั้น เธอถูกลวนลามตั้งแต่ดึกยันสว่าง แต่ผลที่ได้ลอร่าไม่ได้สั่นไหวด้วยซ้ำ ทหารรับจ้างจึงได้รู้ว่าเด็กสาวไม่ใช่หญิงชั้นสูงธรรมดา พวกเขาจึงรวมกันจ้างอีตัวเลสเปี้ยนมาลวนลามลอร่าด้วย

พวกเขาอยากจะทำให้เธอกลายเป็นคู่ขาของนังเลสเปี้ยนคนนั้น แล้วพวกเขาก็เรียกเพื่อนๆมาดูด้วยกัน เพื่อนในโลกทหารรับจ้าง

‘ช่างเป็นเรื่องเลวร้ายที่สุดที่แกเคยทำเลยนี่ ไอ้การที่เรียกความสนใจด้วยการ จัดฉากให้สาวชนชั้นสูงถูกอีตัวข่มขืนเนี่ย’

แต่ถึงอย่างนั้นลอร่าก็ยังคงใจแข็ง

‘ชิ นังตายด้านนี่…….’

‘พวกชนชั้นสูงยิ่งใหญ่มันเป็นแบบนี้รึไงวะ? ห่าเอ้ย’

การที่เรียกอีตัวมาเพื่ออยากให้เธอได้ตอบสนอง เพื่อความตื่นเต้นบ้าง

ทหารรับจ้างนั้นหดหู่อับเฉาลงเมื่อเจอกับกำแพงที่เจาะไม่เข้า พวกเขาจึงทำได้เพียงให้การศึกษาต่อไป

มุมมองของชายคนหนึ่งที่อยู่บนร่างเธอ ขยับสะโพกไม่ห่างจากลอร่า

สรรพสิ่งนั้นเลื่อนไหล

‘เธอคือ สายเลือดชนชั้นสูง ลอร่า เดอ ฟาร์เนเซ่! ลูกสาวที่น่านับถือของดยุค’

เมื่อเจ้าของชั่วคราวของลอร่ามาหา เธอก็ยังคงรักษาความนิ่งสงบไว้เหมือนทุกที แต่ถึงอย่างนั้นบุคคลที่เข้ามายังรถม้ากับเจ้าของนั้นกวนใจเธอ มันเป็นเพราะสายตาของเขามันช่างน่าหงุดหงิด

มันเป็นครั้งแรกที่เธอได้รับการมองแบบนั้น มันเหมือนเขาจะมองมาที่เธอ แต่ในเวลาเดียวกัน มันก็เหมือนเขาไม่ได้มองมาที่เธอด้วย

เธอจะปลดปล่อยความอยากรู้อยากเห็นออกมาแทบจะในทันที

‘อะไรอยู่เบื้องหลังการมองแบบนั้น?’

‘ว่าอย่างไรนะ?’

‘ฉันถามคุณ เรื่องที่คุณมองฉัน นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันถูกมองแบบนั้น’

เธอเชื่อว่า อีกฝ่ายอาจสนใจในสิ่งที่เธอพูดกับเขา

เขาขอให้เจ้าของออกไปชั่วครู่เพื่อที่จะได้คุยกันตามลำพัง หลังจากนั้นเขาก็ใช้น้ำเสียงแสดงความปรารถนาจะเป็นเจ้าของเธออ้อมๆ

‘แล้วจะทำยังไงเพื่อให้เป็นมาสเตอร์ของเธอได้ล่ะ?’

ณ จุดนั้นเอง ลอร่าที่ไม่เคยได้บอกใคร เรื่องปรัชญาประจำตัว เพราะมันเป็นเรื่องน่ารำคาญ และเธอเชื่อว่า มันเหมือนเธอกำลังนำเสนอขายตัวเองหากเธอทำแบบนั้น สำหรับเธอแล้วการทำแบบนั้น มันน่าขยะแขยง

ถึงอย่างนั้นก็ตาม เมื่ออีกฝ่ายตั้งคำถามต่อเธอ เธอก็กลับอยากตอบเขาขึ้นมาแปลกๆ อาจเพราะอารมณ์อันน่าหลงไหล เธอจึงพูดอย่างตื่นเต้นเล็กน้อย เธออาจจะสนุกก็ได้ เพราะนานมากแล้วที่เธอไม่ได้พูดคุยกับใคร

เวลานั้นเองที่จู่ๆออร่าของชายผู้นั้นก็เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

‘สาวน้อย นั่นช่างเป็นปรัชญาที่น่าประทับใจมาก ถ้าเธอเชื่ออย่างนั้นนั่นหมายความว่า เธอนั้นไม่ใช่แค่คนเดียวที่ไม่ควรมีมาสเตอร์ ไม่มีใครสมควรมีทั้งนั้น ไม่ว่าจะขุนนาง ราชา หรือนักบุญ พวกเขาแทบไม่ต่างกับชาวนา เมื่อถึงคราวต้องเจอความพินาศ ถูกไหม?’

จู่ๆเขาก็พูดจาอย่างเป็นกันเอง แต่ลอร่าไม่ได้รังเกียจ

การพูดกับทาสด้วยการใช้คำเป็นทางการนั้นมันก็ประหลาดตั้งแต่แรกแล้ว

เขานั้นช่างหลักแหลมเหลือร้ายที่จะพยายามกดดันเธอด้วยการเปลี่ยนน้ำเสียงกะทันหัน มันเป็นไปได้ว่า ก่อนหน้านั้นเป็นเพียงการแสดงต่อหน้าเจ้าของชั่วคราวด้วยเหตุผลบางอย่าง แต่นั่นไม่สำคัญนักหรอก

มันไม่มีเหตุผลเลยที่จะไม่ฉวยคว้าโอกาสในการต่อสู้ทางจิตวิญญาณนี้ไว้

ลอร่าผงกหัวโดยไม่ลังเล ราวกับเธอพบว่า นี่มันเป็นเรื่องน่าสนุก

‘ถูกต้อง’

‘แล้วเธอได้ตระกหนักถึงความย้อนแย้งในคำพูดตัวเองหรือเปล่าล่ะ?

เธอปักใจเชื่อว่า เธอนั้นเป็นเจ้านายผู้สง่า แต่ถึงอย่างนั้น หากเป็นไปตามตรรกะของเธอก็ไม่ควรมีใครสักคนเป็นนายของตนด้วยซ้ำ นี่เธอยังไม่เข้าใจอีกหรือ สาวน้อย? ข้ามีคำถามหนึ่งที่พบว่า ยากจะตอบ แต่จะตอบก็ได้นะ ถ้าเธอทำได้”

ชายผู้นั้นแสดงความเวทนาออกมาบนใบหน้า

‘แล้วถ้าอย่างนั้นทำไมถึงไม่ฆ่าตัวตายไปเสียตั้งแต่ตอนนี้เลยล่ะ?’

‘……!’

เด็กสาวรู้สึกเหมือนโดนทุบเข้าที่หัวอย่างจัง ความคิดของเธอนั้นว่างเปล่า

คำพูดที่เธอคาดหวังว่าจะออกมาจากปากชายผู้นั้น การโต้กลับข้อโต้แย้ง แล้วซ้อนด้วย การโต้แย้งข้อโต้กลับนั้นอีกที แผนทั้งหมดของเธอหายไปกับควัน

พอหัวของเธอโล่งเปล่า สายตาที่ปรากฏตรงหน้าเธอ ชายผู้นั้นมองมาที่เธอ แววตาของเขาบ่งบอกถึงการมองด้วยความสงสาร เด็กสาวกลับรู้สึกอับอายขายขี้หน้า มันเป็นช่วงเวลาที่น่าละอายยิ่งกว่าตอนที่ถูกขายเป็นทาสอย่างที่เทียบไม่ติด

ไม่ มันไม่มีทางเทียบได้เลย

เพื่อให้ประจักษ์แจ้งต่อคำพูดของชายผู้นั้น เธอตัดสินใจจะเอาชนะด้วยความตาย เธอต้องการเพียงชั่วขณะหนึ่งก่อนที่จะตัดสินใจกัดลิ้น;

แต่ถึงอย่างไรก็ตาม ไม่ทันไรชายผู้นั้นก็ดันนิ้วมือเข้ามาในปากของเด็กสาวให้เธอกัดแทนที่จะให้ไปลงที่ลิ้นของเธอ

ชายคนนั้นหัวเราะใส่เธอ

‘“เจ้าเนี่ย คิดก่อนจะกัดลงไปใช่ไหม? ห้ะ, แม่สาวน้อย?’

‘……! อุบ!’

‘เด็กน้อยที่มีความเชื่อมั่นว่า ความตายเป็นสิ่งเดียวเท่านั้นที่จะอยู่ในการควบคุม แต่ความจริง เธอก็คิดอยู่นานเลยไม่ใช่หรือไง ก่อนจะบอกลาทุกสิ่งที่ควรจะเป็นของๆเธอ ถูกไหม??’

รสชาติของเลือดเติมเต็มในช่องปาก มันเป็นเลือดจากนิ้วของชายคนนั้น นิ้วเขามีแผลใหญ่ แต่เขาก็ยังคงมาเธอโดยไม่กะพริบตา

‘ถูกแล้ว เจ้านั้นทึกทักถึงปรัชญาอันยิ่งใหญ่ที่ทำไม่ได้แม้ในช่วงนาทีสุดท้าย

ข้าได้กล่าวถึงสิ่งนั้น สิ่งที่เจ้าไม่มีวันโค่นลงได้ ไม่ว่าจะมีปรัชญาระดับโลกมากมายแค่ไหน ……ความปรารถนาที่จะมีชีวิตยังไง

นี่เจ้าอยากจะตายไปโดยไม่รู้อะไรพวกนี้เลยหรือ?

สิ่งที่เรียบง่ายเช่นการที่เจ้าไม่อยากที่จะพ่ายแพ้ใคร?

ลอร่า ข้าจะแสดงให้เจ้าเห็นถึงโลกใบนี้!’

แววตาของเธอนั้นส่องประกาย แต่มันแตกต่างจากที่เคยสะท้อนวูบในดวงตาของทหารรับจ้าง

‘เจ้ายังไม่ได้เป็นมาสเตอร์ของชีวิตตัวเจ้าเองด้วยซ้ำ

เจ้ามิได้เป็นอะไรมากไปกว่านักบวชที่เสนอความตายให้พระเจ้า

จนถึงตอนนี้ เจ้าก็ยังคงเป็นทาสด้วยความเต็มใจ

หากเจ้าได้ตระหนักถึง ความทรนงอันเล็กจ้อยที่มีต่อโลกทั้งใบ ทั้งหมดที่ว่ามานั้น มันกลับตาลปัตรกันไปหมด!

ช่างน่าหัวร่อ

นี่เจ้าอยากทำให้ข้าหัวเราะออกมาอย่างนั้นสินะ?!

เจ้าตัวตลกผู้มาเล่นหกสูงต่อหน้าข้า’

เสียงชายคนนั้นเงียบลง แต่มันยังก้องชัด ในหัวที่กลวงเปล่าของเด็กสาวนั้นถูกเติมจนเต็มปรี่ พลังที่ไม่อาจต้านทานเบื้องหลังถ้อยคำของเขานั้นต้อนเธอให้จนมุม

‘จำคำข้าไว้ ณ จุดนี้ จิตสำนึกของผู้คนได้กลายสภาพจากพระเจ้าเข้าสู่ความเป็นมนุษย์ ก่อนจะกลายเป็นชาวนาในที่สุด หนทางที่เร็วที่สุดที่จะข้ามเขาอันห่างไกลจากยอดถึงยอด

เพื่อให้ไปถึงได้เจ้าต้องก้าวให้ยาว แล้วไม่มีหนทางอื่นที่เร็วกว่าหรือ? คำตอบที่ถูกต้องมิใช่การปีนภูเขาแต่แรกหรือ?

มาสเตอร์และทาสนั้นเป็นขั้วตรงข้ามกันและกัน แต่พวกทาสก็มักเข้าใจผิดในเรื่องนั้น เข้าใจผิดไปว่า เหนือหัวนั้นอยู่ใต้ฝ่าเท้า’

ชายคนนั้นถอดผ้าโพกหัวในทันที เผยให้เห็นเขาอยู่ที่ท้ายทอย ลอร่าถอยหลังกรูด มันคือ เขาของจอมมารที่เธอเคยอ่านเจอในงานวรรณกรรม

ความหวาดกลัวห้อมล้อมรอบเด็กสาวทันทีที่ตระหนักได้ว่า เธอกำลังพูดอยู่กับใคร

บุคลลผู้นี้เทียบไม่ได้เลยกับราชสกุลของโลกมนุษย์ ชายผู้อยู่ตรงหน้าเธอ เป็นราชันย์แห่งมอนสเตอร์!

เขาเผยอนาคตของเด็กสาวราวกับได้เห็นด้วยตาตนเอง

เด็กสาวไม่ได้กลัวอนาคตนั้น หากแต่กลัวการมองจ้องและน้ำเสียงที่เริ่มทำให้เธอหายใจไม่ออก

การปฏิเสธที่จะพูดอย่างสุภาพในตอนท้ายของประโยคเป็นเชือกเส้นสุดท้ายของความนับถือตนเองของเธอ

เธอรู้ดีกว่าใครๆว่า ความทรนงของเธอนั้นเป็นแค่เพียงเปลือกที่เหลืออยู่

‘นี่เจ้าจะปล่อยให้ตัวเองต้องตายอย่างนั้นรึ?

หรือเจ้าจะเลือกควบคุมชีวิตตัวเอง ณ บัดนี้

เจ้าต้องเลือกระหว่างสองทางนี้

อย่าได้ดูเบา ข้อเสนอของจอมมาร!

เจ้าต้องตัดสินใจว่า เจ้าจะอุทิศ สติปัญญาความสามารถให้กับข้าหรือไม่!’

‘สติปัญญาความสามารถ……?’

เด็กหญิงแทบหายใจไม่ออก เธอทำได้เพียงทวนซ้ำคำนั้น และเมื่อเธอทำอย่างนั้น อีกฝ่ายก็หัวเราะออกมา ราวกับเขาพอใจในตัวเธอ แล้วยื่นแขนขวาออกมา

‘เจ้าบอกข้าว่า ชีวิตนั้นยากที่จะควบคุม แล้วอย่างนั้น ทำไมเจ้าถึงให้กำเนิดความทรนงได้ยามเช้า แล้วทอดทิ้งมันในยามเย็นเสียล่ะ? ชีวิตมันอาจยากจะควบคุมแต่อย่ามาทำเป็นอ่อนแอให้ข้าดู!

เลิกแกล้งทำเป็นชนะทั้งที่พ่ายแพ้ได้แล้ว เจ้าพ่ายแพ้ไปแล้ว! จงย้ำซ้ำความพ่ายแพ้! ตราบใดที่เจ้ายังคงยืนด้วยสองเท้าของตัวเองได้ ในท้ายที่สุดแล้ว มันจะกลายเป็นชัยชนะของเจ้า!’

ทุกอย่างมันอื้ออึงฟังไม่ชัดไปหมด ปากของเธอนั้นแห้งผาก ลำคอก็แน่น มือขวาของเธอมันเคลื่อนออกไปข้างหน้าเอง เธอรู้สึกเหมือนมีสายบางอย่างที่เชื่อมโยงตัวเธอกับบางแห่งที่คอยชักใยเธออยู่

แต่ถึงอย่างนั้นมือขวาของเธอก็ไปได้ไม่ไกลเกินกว่านั้นเพราะหมดแรงหมดกำลังที่จะทำ อีกฝ่ายหัวเราะคิกเบาๆเมื่อเขาเห็นอย่างนั้น

เด็กสาวเข้าใจสองประโยคนั้นที่มาพร้อมกับเสียงหัวเราะที่ฟังเหมือนจะดังไปชั่วกาลนาน เขาคอยเฝ้ามองเธออยู่ และนามของเขานั้นคือ ดันทาเลี่ยน