เฟิ่งชิงหัวยืนบนเรือโดยมือเท้าสะเอว มองดูกะลาสีเรือสีดำและสีเขียวต่อยตีกันยุ่งเหยิง แม้แต่ในน้ำก็ยังไม่ลืมที่จะจับศีรษะของอีกฝ่ายจุ่มลงไป
เงยหน้าขึ้นองไปที่คนสองคนที่กำลังต่อสู้กันจนแยกไม่ออกและตะโกน “พวกเจ้าสองคนต่อสู้พอแล้วหรือยัง? เรืออีกสามลำกลับไปหมดแล้ว พวกเจ้าจะช่วยคนอื่นหรือ?”
เอี้ยนเซียวเหลียวหลังไปมอง ไม่สิ เรือทั้งสามลำถอยกลับไปได้ครึ่งทางแล้ว
“อยากจะเหยียบข้ามข้าไปเพื่อชิงที่หนึ่ง อย่าคิดเลย สู้กันใหม่ครั้งหน้า” เอี้ยนเซียวพูด โยนธงดำออกจากแขนออกไปไกลๆ กระโดดขึ้นเรือที่เฟิ่งชิงหัวอยู่ แล้วก็ดึงคนสองคนของตนขึ้นมาจากน้ำ “รีบพาย”
เฟิ่งชิงหัวกอดอก “อ๋องเอี้ยน หากเจ้าต้องการแซงเรือสามลำข้างหน้าด้วยคนสองคนนี้ ข้าเกรงว่าเจ้ายังไม่ตื่น?”
“เจ้ามีวิธี?” เอี้ยนเซียวจ้องมองชายหนุ่ม รู้สึกเพียงว่าบนร่างของชายหนุ่มมีสิ่งแปลกปลอม
“ใช่ ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเต็มใจให้ความร่วมมือหรือเปล่า”
“ถ้าข้าไม่ร่วมมือด้วยล่ะ?”
เฟิ่งชิงหัวมอง เอี้ยนเซียวอย่างมีความหมาย “ถ้าเจ้าไม่ต้องการร่วมมือ ข้าก็อาจจะต้องเชิญเจ้าลงไป”
“เจ้าลองดูสิ” เอี้ยนเซียวกำลังจะโยนเฟิ่งชิงหัวลงไป กลับเห็นเฟิ่งชิงหัวตะโกนไปในทิศทางของจ้านเป่ยเซียวเสียงดัง “ท่านอ๋อง”
ทันทีที่พูดจบ จ้านเป่ยเซียวก็กระโดมากลางอากาศ มาถึงตรงหน้าเฟิ่งชิงหัวทันที ทำให้ เอี้ยนเซียวพลาดโอกาส
เมื่อเห็นสิ่งนี้ เอี้ยนเซียวก็ชักมือกลับพร้อมยักไหล่ “บอกสิ จะร่วมมือกันอย่างไร?”
เฟิ่งชิงหัวเลิกคิ้ว “ง่ายมาก พวกเราพุ่งตามไป ทำให้เรือของพวกเขาล่มแล้วพายไปข้างหน้า วิธีนี้ ต้องการพลังภายในที่แข็งแกร่งของท่านอ๋อง”
เฟิ่งชิงหัวยิ้มเหมือนสุนัขจิ้งจอก
เอี้ยนเซียวชี้ไปที่จ้านเป่ยเซียวที่ด้านข้าง “นายท่านของเจ้ารู้ศิลปะการต่อสู้เช่นกัน ทำไมไม่ให้นายท่านของเจ้าลงมือ”
เฟิ่งชิงหัวแบมือ บอกข้อเท็จจริงและให้เหตุผล “ นายท่านของข้าลงมือก็ได้เช่นกัน ดังนั้นเจ้า อ๋องเอี้ยน จะยังมีประโยชน์อะไร? ลงไปให้อาหารปลามีประโยชน์มากกว่า? หรือเจ้ากลัวว่าพวกเราจะโกง? ยังไงก็ตาม พวกเจ้าสามคน พวกเราสองคน เป็นไปได้ไหมที่อ๋องเอี้ยนจะกลัว?”
เอี้ยนเซียวกล่าวย่างเย็นชา “นั่งนิ่งๆ”
ขณะที่เขาพูดนั้น เอี้ยนเซียววางมือข้างหนึ่งลงไปในน้ำ และพลังฝ่ามืออันแข็งแกร่งก็กระเพื่อมไปตามคลื่นน้ำ
จ้านเป่ยเซียวและเฟิ่งชิงหัวยืนอยู่ที่หัวเรือเพื่อควบคุมทิศทาง
“เจ้าหัวเราะอะไร?” จ้านเป่ยเซียวมองรอยยิ้มของเฟิ่งชิงหัวพร้อมเลิกคิ้ว
เฟิ่งชิงหัวเม้มปาก “ข้าไม่ได้หัวเราะอะไรนี่”
“ลึกลึกลับลับ ดูแล้วต้องไม่คิดเรื่องดีแน่”
“รู้ก็อย่าพูดออกมาสิเพคะ”
บนเรือลำเล็กนี้มีเพียงห้าคนเท่านั้น ความต้านทานลดลงอย่างมาก และความเร็วก็เร็วขึ้นด้วย
เมื่อเห็นว่าเรือทั้งสามลำอยู่ข้างหน้าพวกเขาแล้ว เฟิ่งชิงหัวจึงพูดกับเอี้ยนเซียว “อย่าหยุด ชนเข้าไป”
เรือทั้งสามลำรู้สึกตกใจเล็กน้อยเมื่อเห็นเรือลำหนึ่งชนท้ายพวกเขาอย่างไม่สนใจอะไร
เมื่อเห็นสิ่งนี้ จ้านถิงเฟิงก็ตะโกนว่า “หยุดพวกเขาไว้ อย่าปล่อยให้พวกเขาผ่านไป”
เรืออีกสองลำก็ได้ยินเสียงเช่นกัน และต่างก็สั่งพร้อมกัน “ขวางพวกเขา อย่าให้พวกเขาผ่านไป”
เฟิ่งชิงหัวเย้ยหยัน คนเหล่านี้คิดว่าพวกเขาจะชนจริงๆ มีแต่คนโง่เท่านั้นที่ทำ
เฟิ่งชิงหัวถือผ้าไหมสีขาวข้างหนึ่งไว้ในมือ และในขณะเดียวกันก็ดึงเรือตรงหน้าลำหนึ่งออกมาพร้อมตะโกนใส่คนบนเรือ “คว้าตัวเรือ!”
หลังจากสิ้นเสียง มือก็ดึงอย่างแรง เรือทั้งลำก็ลอยขึ้น หมุนเวียน จากนั้นก็บินผ่านเหนือเรือทั้งสามลำ และตกลงไปในน้ำอีกครั้ง ทำให้เกิดกระแสปั่นป่วน พวกเขายืนนิ่งได้อย่างยากลำบาก
เมื่อมองย้อนกลับไป เห็นเพียงว่าเรือทั้งสามลำชนกัน คนหลายสิบคนล้มลงเหมือนเกี๊ยวและเรือตรงกลางถูกดึงล่มทันที
จากระยะไกล ผู้คนที่ชมการแข่งขันอยู่บนฝั่งต่างตกตะลึง พวกเขาไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะมีการดำเนินการเช่นนี้
เรือหลายลำอยู่ใกล้กันมาก และคลื่นก็รุนแรงเกินไป กระจายไปทั้งสองฝั่ง แต่กลับผลักเรือที่เฟิ่งชิงหัวอยู่ออกไป และพายเข้าหาฝั่งอย่างผิดปกติ
ทุกคนบนฝั่งอ้าปากค้างมองดูเรือแล่นผ่านแม่น้ำเหมือนปลากระโทงก่อนแล้วก็บินขึ้นเหมือนนกพิราบขาว ท่วงท่าของการบินในอากาศอัศจรรย์จริงๆ
นี่ไม่ใช่การแข่งเรือมังกรในแม่น้ำ เป็นมังกรขาวตัวน้อยในเกลียวคลื่นต่างหาก
เฟิ่งชิงหัวหันกลับไปมอง เห็นว่าเรือเหล่านั้นกำลังจะกลับเข้าขบวนอีกครั้ง กวาดไปมาบนผิวน้ำด้วยผ้าไหมสีขาวโดยตรง พลังภายในของนางส่งเข้าไปในคลื่นน้ำ และคลื่นน้ำก็พุ่งเข้าหาข้างนั้นทีละน้อย
ไม่นานนัก ผิวแม่น้ำที่กลับคืนสู่ความสงบก็มีคลื่นซัดขึ้นมาอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้น?”
“ไม่รู้สิ ไม่น่ามีคลื่นแบบนี้ในแม่น้ำสายนี้”
“จับไห้มั่น”
“ไม่ได้ ลำเรือกำลังสั่น ข้ากำลังจะตกลงไปแล้ว นี่ อย่าอัดข้าสิ”
“ใครอัดเจ้า อย่ามาใกล้ข้า”
“เฒ่าแปด เจ้าทำอะไร!”
“ข้าทำอะไร? เห็นได้ชัดว่าเป็นคนจากทีมของเจ้าพุ่งมา”
“ป๋อม ป๋อม”
เอี้ยนเซียวมองย้อนกลับไปและเห็นว่าคนในเรือทั้งสามลำ ตอนนี้ไม่รีบร้อนที่จะพายไปข้างหน้า พวกเขาก็เริ่มต่อสู้อย่างสุนัขกัดสุนัข เขาหยิบพัดที่ผูกไว้ที่เอวออกมา มองด้านนั้นอย่างได้ใจและพัดพัด พัดพัดอย่างอิสระเสรี
เฟิ่งชิงหัวยิ้มและพูดว่า “อ๋องเอี้ยน มีอารมณ์ดีหรือไม่?”
“ไม่เลว ไม่เลว”
“ในเมื่อไม่เลว ข้าก็มีข่าวดีและข่าวร้ายจะบอกอ๋องเอี้ยน” เฟิ่งชิงหัวพูดอย่างมีเลศนัย
“ข่าวดีและข่าวร้ายคืออะไร?”
“ข่าวดีคือเรากำลังจะเข้าเทียบท่า และอันดับหนึ่งจะเกิดขึ้นจากพวกเรา”
“แล้วข่าวร้ายล่ะ?” สีหน้าของเอี้ยนเซียวมีความหวาดกลัวผ่านวูบไป
“ข่าวร้ายหรือ ก็คือเป็นไปไม่ได้ที่พวกเจ้าจะได้อันดับหนึ่ง” เฟิ่งชิงหัวกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร” เอี้ยนเซียวรู้สึกงงงวย จากนั้นรีบมองไปที่หน้าอกของตน กลับเห็นว่าเดิมทีธงสีเขียวได้หายไปไม่มีแม้แต่เงาเมื่อไหร่ก็ไม่มรู้
เฟิ่งชิงหัวชี้ไปที่แม่น้ำและพูดว่า “อ๋องเอี้ยนจะกลับไปหาตอนนี้ น่าาจะยังหาเจออยู่นะ”
“เจ้า เมื่อไหร่กัน?” เอี้ยนเซียวมองไปที่เฟิ่งชิงหัวด้วยความประหลาดใจ คิดอย่างรอบคอบแล้วพูดว่า “เมื่อตอนที่เรือบินขึ้น?”
เฟิ่งชิงหัวยิ้มแต่ไม่พูด พูดกับจ้านเป่ยเซียวว่า “นายท่าน เราไปกันเถอะ”
ว่าแล้วก็ตามจ้านเป่ยเซียวลงจากเรืออย่างไม่หลีกเลี่ยง
บนเรือ เอี้ยนเซียวยืนอยู่ในท่ามกลางลมหนาวอย่างยุ่งเหยิง ลูกน้องสองคนที่อยู่ข้างๆ เขาพูดอย่างระมัดระวัง “ท่านอ๋อง เราจะกลับไปหรือไม่?”
เอี้ยนเซียวชำเลืองมองลูกน้องโง่เขลาสองคนนี้อย่างเย็นชา จากนั้นมองไปที่ลูกน้องที่ฉลาดและใส่ใจของคนอื่น รู้สึกอารมณ์เสียอย่างยิ่ง
หลังจากนั้นไม่นาน คนที่เหลือก็กลับมา ทุกคนเปียกโชกและสลดใจ ตรงกันข้ามกับร่างที่สดชื่น ลึกลับ และสูงส่งโดยสิ้นเชิง
เมื่อเห็นว่าท่านอ๋องหลายท่านตามขึ้นไปบนเรือมังกร เฟิ่งชิงหัวจึงจะจากไปหลังจากเล่นเสร็จ แต่ถูกจ้านเป่ยเซียวรั้งไว้ก่อนที่จะก้าวไปได้สองก้าว นางสงสัย “อะไร?”
จ้านเป่ยเซียวมองไปที่เรือมังกร
เฟิ่งชิงหัวโบกมือ “ข้าไม่ไปแล้ว คนเยอะเกินไป ข้าไม่ชอบ”
“ไม่เอารางวัลแล้วหรือ?”
เมื่อเฟิ่งชิงหัวได้ยินแล้วดวงตาของนางเป็นประกาย “รางวัล จะให้ข้าหรือ?”
จ้านเป่ยเซียวเมื่อเห็นท่าทางหมกมุ่นเรื่องเงินของนางก็รู้สึกตลก ดวงตาของเขาคมเฉียบและมีความหมายลึกซึ้ง “ไม่อยากดูรึ?”
เฟิ่งชิงหัวเบะปาก “แค่ดูเอง? งั้นก็ช่างเถอะ มันดูน่าเสียใจที่มองได้แต่แตะต้องไม่ได้”
“บางทีข้าอาจจะมอบให้เจ้าได้เมื่อข้าไม่ชอบ”
เฟิ่งชิงหัวก็คิดเช่นนั้นเช่นกัน เพราะจ้านเป่ยเซียวเป็นคนจู้จี้จุกจิกอยู่เสมอ โอกาสที่เขาจะไม่ชอบนั้นมีสูงเกินไป รางวัลที่จักรพรรดิตั้งไว้จะแย่ได้ถึงแค่ไหนกัน ดังนั้นเฟิ่งชิงหัวจึงพยักหน้า “งั้นก็ไปกันเถอะ”
มียามยืนอยู่ข้างเรือมังกรและพวกเขาเห็นว่าท่านอ๋องเจ็ดที่เย็นชาอยู่เสมอกำลังต่อรองกับองครักษ์เล็ก ๆคนหนึ่ง พวกเขารู้สึกว่าไม่จริงอย่างยิ่ง
ทั้งสองขึ้นไปบนดาดฟ้าเรือที เฟิ่งชิงหัวเดินตามหลัง ถูมือไปมาอย่างตื่นเต้น และเริ่มเพ้อฝันว่านางจะได้สมบัติอะไรบ้าง แต่นางไม่ทันสังเกตว่าคนตรงหน้าหยุดกะทันหัน
“พรึบ” จมูกของเฟิ่งชิงหัวกระแทกเข้ากับหลังของจ้านเป่ยเซียวซึ่งแข็งราวกับหิน น้ำตาไหลออกมาด้วยความเจ็บปวด พูดด้วยความโกรธโดยไม่รู้ตัว “เจ้าหยุดกระทันหันทำไม เจ็บจะตายอยู่แล้ว”
จ้านเป่ยเซียวหันกลับไปเพื่อจะอาการบาดเจ็บของนางโดยอัตโนมัติ แต่ผู้คนรอบด้านต่างมองด้วยความประหลาดใจหลังจากได้ยิน
เฟิ่งชิงหัวก็ตระหนักได้ว่าตอนนี้นางเป็นเพียงองครักษ์เล็กๆ และอีกฝ่ายเป็นท่านอ๋อง จึงดูไม่มีเหตุผลเลยที่จะหยิ่งผยอง
เฟิ่งชิงหัวรีบยกมือขึ้นโค้งคำนับ “ท่านอ๋อง โปรดยกโทษให้ข้าด้วย เมื่อครู่นี้ข้าน้อยเหม่อไป ไม่ได้สังเกตเห็นท่านอ๋อง โปรดยกโทษให้กับความผิดของข้าด้วย”
จ้านเป่ยเซียวอืมเสียงหนึ่ง หันหลังกลับและเดินไปบนดาดฟ้าต่อ
คนอื่นๆ ก็รีบก้มศีรษะลง แสร้งทำเป็นไม่เห็น แต่ความประหลาดใจบนใบหน้าของพวกเขาไม่สามารถปกปิดได้อีกต่อไป