ตอนที่ 36 ลูนามาเรีย 3

การแก้แค้นของผู้กลืนวิญญาณ

ตอนที่ 36 ลูนามาเรีย 3

ในช่วงเช้าตรู่ลูนามาเรียได้เดินออกจากประตูเมืองอิชกะเข้าไปภายในป่า

กลิ่นหญ้าที่ชุ่มไปด้วยน้ำค้างยามเช้าตามข้างทางลอยฟุ้งภายในอากาศ

ฤดูกาลกำลังจะเปลี่ยนผันจากฤดูใบไม้ผลิเข้าสู่ต้นฤดูร้อน

แม้จะเป็นในช่วงเช้าตรู่เช่นนี้ ความร้อนมันก็เพียงพอที่จะทำให้เธอนั้นเหงื่อออกมาได้แม้จะยืนอยู่เฉยๆ ทำให้เธอรู้ได้ว่าใกล้เข้าฤดูร้อนแล้ว

…แต่ทว่าเหงื่อที่ไหลออกมาของเธอไม่ได้มาจากอากาศที่ร้อนเพียงเท่านั้น

ขณะที่ลูนามาเรียเดินอยู่ตามท้องถนน เธอก็ค่อยๆ เอามือมาสัมผัสบริเวณหน้าอกของเสื้อคลุมนักปราชญ์ที่เธอสวมอยู่

เสื้อคลุมสีม่วงอมฟ้าที่เป็นหลักฐานของผู้สำเร็จการศึกษาจากสถาบันปราชญ์ มันเป็นเกราะป้องกันที่มีเพียงปราชญ์เท่านั้นที่สวมใส่ได้ซึ่งมีการเสริมคุณสมบัติทั้ง เพิ่มเกราะป้องกัน เพิ่มแรงกาย เพิ่มพลังเวท เข้าไปด้วย

มันถูกถักทอมาจากด้ายมิธริลที่มีความทนทานทั้งในสภาพอากาศที่ร้อนและหนาว แน่นอนว่าทางสถาบันก็ได้ออกแบบเสื้อคลุมเหล่านี้สำหรับทั้งฤดูร้อนและหนาวแยกกันด้วย

ทั้งหมดทั้งมวลก็เพราะเมื่อในอดีตประธานสถาบันสาวท่านหนึ่งได้สวมชุดแบบดั้งเดิมบ่นออกมาว่ามัน “เชย” สุดๆ จากนั้นมาก็เลยจบลงที่ทางสถาบันได้มีการผสมผสานแฟชั่นเข้ามาภายในชุดคลุมด้วย

ตอนนี้ลูนามาเรียก็สวมชุดคลุมสำหรับฤดูหนาวที่ปกปิดร่างกายส่วนใหญ่ของเธอเอาไว้อยู่ แน่นอนว่ามันย่อมให้ความอบอุ่นจนร้อนในสภาพอากาศเช่นนี้ แต่เธอก็ไม่มีทางเลือกอื่น

ถ้าถามว่าทำไม นั่นก็เพราะหากเธอไม่สวมเสื้อคลุมนี้ ชุดสุดแสนลามกที่อยู่ข้างในเสื้อคลุมมันจะโผล่ออกมาให้เห็นน่ะสิ

ชุดที่เธอสวมอยู่ตอนนี้มันเป็นชุดเดียวกับที่โซระให้เธอใส่ในวันที่เธอกลายเป็นทาสของเขา

ชุดที่เผยให้เห็นไหล่และต้นขาอย่างชัดเจน มีเพียงเสื้อผ้าน้อยชิ้นที่ปิดได้เพียงแค่หน้าอกกับสะโพกของเธอ สำหรับเอลฟ์ที่มีความละอายใจสูงกว่ามนุษย์มาก สภาพนี้ก็ไม่ต่างกับการเดินล่อนจ้อนไปมา

เนื่องจากชุดสำหรับฤดูร้อนนั้นจะเปิดเผยให้เห็นทั้งขา ไหล่ และหน้าอกอย่างชัดเจนเธอจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเลือกเสื้อคลุมเวอร์ชันฤดูหนาวแทน

แต่มันก็ไม่ได้หักล้างความจริงที่ว่าเธอกำลังเดินไปมาในสภาพล่อนจ้อนโดยสวมเพียงเสื้อคลุมทับไว้

เดิมทีลูนามาเรียนั้นเป็นเอลฟ์ก็ดึงดูดความสนใจจากผู้คนได้มากพอแล้ว แต่พอมีฉายาปราชญ์เข้ามาด้วยยิ่งหนักไปกว่าเก่า

แต่การที่เธอเป็นนักผจญภัยมาได้ถึง 5 ปีแล้วก็เป็นธรรมดาที่เธอจะชินชากับสายตาที่จ้องมองเธอ แต่พอต้องมาแต่งตัวแบบนี้มันก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกประหม่า

พอโซระเห็นลูนามาเรียเขินอายในสภาพแบบนี้เขายิ้มแบะปากยิ้มออกมาอย่างขบขัน

เมื่อนึกถึงใบหน้านั้น เหงื่อก็ไหลออกมาทั่วตัวอีกครั้ง

ไม่นานหลังจากนั้นนักลูนามาเรียก็เดินทางมาถึงป่าที่เป็นปลายทางของเธอ

ป่าแห่งนี้ไม่เหมือนกับป่าปีศาจอย่างทีทิสที่มีเหล่ามอนสเตอร์อาศัยอยู่เต็มไปหมด ภาพของกระรอกที่วิ่งผ่านผืนดิน เสียงนกน้อยร้องเพลงมาจากบนยอดไม้ ป่าแห่งนี้คือสถานที่พักผ่อนของเธอ

เธอค่อยๆ ถอดเสื้อคลุมออกและสูดหายใจเข้าลึกๆ

……ตอนแรกเธอไม่เคยถอดเสื้อคลุมออกเลยเมื่อเธออยู่ข้างนอก ไม่ว่าคนอื่นจะเห็นหรือไม่ก็ตาม แต่ไม่นานมานี้เธอก็เริ่มคิดว่าถึงคงอื่นจะมาเห็นเอาตอนนี้ ก็คงจะไม่เป็นไรแล้วมั้ง บางทีมันอาจจะมาจากความเคยชินแล้วก็ได้

ทั้งชุดที่ให้เธอใส่และการกระทำนั่นในยามค่ำคืนกับเขา โซระมักจะทำให้เธอรู้สึกอับอายอยู่เสมอ การที่เธอผ่านเรื่องแบบนั้นมาได้เกือบเดือนหนึ่งแล้ว แม้แต่แฟรี่แห่งผืนป่าก็คงจะชินชากับความอับอายนี้แล้วมั้ง

ทุกครั้งที่โซระกระตุ้นความอับอายใจของเธอไปถึงขีดสุดเขาก็จะเริ่มกลืนกินเธอ

ไม่รู้ว่าเขาทำไปเพื่ออะไร นั่นคือสิ่งที่เธอยังหาคำตอบไม่ได้

สิ่งที่เธอรู้หลังจากโดนก็คือ พละกำลัง พลังเวท และอะไรบางอย่างถูกดูดออกไปจากร่างของเธอ

เมื่อเธอนึกถึงความรู้สึกนั้น ร่างกายของเธอก็สั่นขึ้นมาเองจนไม่รู้ว่านั่นคือความกลัวหรือความรักที่มีต่อเขากันแน่

มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะลืมเลือน ความรู้สึกมันเหมือนกับการร่วมเพศ ความหอมหวานที่ยากจะบรรยาย ความรู้สึกปลอดภัยที่อยากจะมอบทั้งกาย ใจและจิตวิญญาณให้กับเขา

ทุกๆ ครั้งที่เธออยู่ในอ้อมแขนของโซระ เธอจะตราตรึงใจในช่วงเวลานั้นเสมอ

เธอยอมทุกอย่างที่โซระอยากจะทำกับเธอ นั่นคือสิ่งที่เธอตัดสินใจตอนที่กลายเป็นทาสของเขา

ไม่สิ ถึงจะเป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ แต่เธอก็จะอดทนเพราะหากไม่ทำเช่นนั้นก็จะไม่สามารถเรียกว่าเป็นการชดใช้อีกฝ่ายได้ เธอต้องทำมันให้ดีที่สุด

ทุกอย่างก็เพื่อเจ้านายของเธอ นั่นคือสิ่งที่ลูนามาเรียซึ่งกลายเป็นทาสตั้งเป้าไว้

…ทั้งที่มันก็ควรจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป แต่เมื่อเร็วๆ นี้ก็กลับรู้สึกว่าไม่ต้องอดทนกับสิ่งใดที่เขาให้เธอทำเลย เธอรู้สึกสนุกกับมันด้วยซ้ำ ยิ่งไปกว่านั้นเธอกลับต้องการมันมากขึ้นกว่าเดิม

พอมีความคิดแบบนี้ในหัวลูนามาเรียก็ส่ายหัวไปมา

ผมสีบลอนด์ของเธอปลิวไสวไปในอากาศตามแรงส่าย

เธอเป็นทาสก็เพื่อชดใช้บาป ถึงเธอจะนอนกับเขาทุกคืนแต่เธอก็ไม่ควรจะพัฒนาความรู้สึกที่มีต่อเขาเป็นพิเศษทั้งที่ใช้เวลาด้วยกันไม่ถึงเดือนสิ

พอสงบสติอารมณ์ด้วยการหายใจเข้าลึกๆ เสร็จ เธอก็กระโดดขึ้นไปกับกิ่งไม้ที่อยู่ใกล้ๆ เพื่อทำการยืดเส้นยืดสายเบาๆ

วันนี้โซระเดินทางไปในป่าทีทิสเพราะภารกิจฉุกเฉิน เขาจึงสั่งให้เธอและชีลพักผ่อนไปตามสะดวก บางทีเขาคงจะนึกถึงพวกเธอที่พยายามสร้างชื่อเสียงให้กับแคลนอย่างหนักช่วงนี้ก็ได้

พอมาถึงป่านี้เธอก็คิดว่าอยากจะยืนยันอะไรบางอย่าง

สำหรับเธอ ป่าแห่งนี้เป็นเขตที่ใช้ในการฝึกฝนร่างกายของเธอไม่ให้ทื่อไปเสียก่อน ทั้งในฐานะปราชญ์ ผู้ใช้สปิริตและนักล่า ลูนามาเรียมักจะมาที่นี่ทุกครั้งในยามว่างเพื่อพัฒนาทักษะของตน

เธอตีลังกากลับหลังแล้วเหวี่ยงตัวขึ้นไปข้างบนโดยใช้กิ่งไม้ที่ถืออยู่เป็นตัวงัด จากนั้นเธอก็เพ่งสายตาไปยังกิ่งไม้ถัดไปเรื่อยๆ ร่างของเธอค่อยๆ แกว่งผ่านต้นไม้ไปเหมือนกับลูกตุ้มลักษณะไม่ต่างจากลิงที่ผาดโผนในผืนป่า แทนที่จะใช้เวทมนตร์หรือพึ่งพาสปิริต เธอกลับเลือกใช้เพียงแรงกายของตนเท่านั้น

และถึงมันจะเรียกว่าป่า แต่ขนาดของมันก็ไม่ได้ใหญ่เท่าป่าทีทิส เธอสามารถปีนต้นไม้วนรอบป่าเสร็จภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง หลังเสร็จการฝึกลมหายใจของเธอก็ไม่ได้หอบขึ้นมาเลย

ด้วยสิ่งนี้เองเธอจึงมั่นใจขึ้นมาทันที แม้ว่าเอลฟ์จะมีความว่องไวในป่า แต่ถ้าเธอปีนป่ายต้นไม้ไปรอบป่าได้ด้วยความเร็วสูงสุดแบบนี้มันก็ควรจะเหนื่อยจนหหอบไปแล้วแท้ๆ

「ตามที่คาดไว้ ความสามารถทางกายภาพของเราเพิ่มขึ้น ไม่สิไม่ใช่แค่นั้น พลังเวทและสัมผัสทางสปิริตของเราก็ด้วย」

เธอเริ่มสงสัยมันตอนที่อยู่ในเมือง แต่หลังจากทดสอบโดยวนไปรอบป่าเธอก็มั่นใจแล้ว เธอรู้สึกได้เลยว่าพลังวิญญาณของเธอแข็งแกร่งกว่าเดิม หากเธอใช้เวทสปิริตตอนนี้เธอก็มั่นใจเลยว่ามันต้องรุนแรงกว่าครั้งไหนๆ ที่เธอเคยปลดปล่อยออกมาแน่

พลังที่เพิ่มขึ้นมาอย่างกะทันหัน โดยปกติแล้วก็คงจะมาจากการเลเวลอัพ แต่เลเวลของเธอตอนนี้ก็ไม่ได้เพิ่มขึ้นจากเดิมเสียหน่อย

แต่พลังของเธอก็เพิ่มขึ้นมาจริงๆ

เธอเริ่มสังเกตเห็นว่ามันเปลี่ยนไปตั้งแต่ช่วงเดือนที่ผ่านมา เธอจึงไม่สามารถหาเหตุผลอื่นได้อีกนอกจากโซระ

ว่ากันตามตรงหลังจากที่เธอเป็นทาสของเขา ลูนามาเรียก็เหมือนได้รับพลังที่เต็มเปี่ยมในทุกๆ วัน ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือร่างกายของเธออยู่ในสภาพที่ดีที่สุดมานับตั้งแต่นั้น

สามถึงสามวันแรกเธอคิดว่ามันอาจจะเป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป แต่พอผ่านไปวันที่ 5 วันที่ 10 และจนถึงตอนนี้เธอก็มั่นใจแล้วว่าพลังที่เธอได้รับมามันไม่ใช่ของที่ได้มาเพียง”ชั่วคราว”

มันจะต้องมีเหตุผลอะไรสักอย่างที่ทำให้เธอได้พลังมา

ด้วยความเป็นปราชญ์เธอจึงคิดเหตุผลคร่าวๆ ว่าทำไม

「ว่ากันว่าทุกสิ่งที่มาจากร่างของมังกรสามารถนำไปใช้ได้ทั้งสิ้น…」

เกล็ดมังกรสามารถทำเกราะได้ เลือดสามารถทำยา กรงเล็บทำอาวุธ ลูกตาและกระดูกรวมไปถึงขนของมันก็ต่างเป็นวัตถุดิบที่แสนล้ำค่า นั่นแหละคือตัวตนที่เรียกว่ามังกร

มันไม่เหมือนกับสายพันธ์ุย่อยอย่างพวกไวเวิร์นที่เกิดมาจากไข่ พวกมังกรที่แท้จริงนั้นไม่ได้ถือกำเนิดมาจากไข่ อีกทั้งพวกมันยังไม่มีพ่อแม่ด้วยซ้ำ

มันเป็นเหมือนกับสายฟ้า พายุ แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด

มันคือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้เมื่อมีเงื่อนไขที่เหมาะสม มันคือภัยพิบัติทางธรรมชาติที่มีเลือดเนื้อ

นั่นคือสิ่งที่เรียกว่ามังกรที่แท้จริง

ร่างกายของมันจึงถูกสร้างขึ้นมาจากมานาที่มีความหนาแน่นสูง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผู้คนจะไม่สามารถทิ้งทุกชิ้นของมันได้เลย กระทั่งกระดูกหรือขนสักเส้น

เลือดของมังกรสามารถรักษาโรคทุกโรคได้ เนื้อของมันสามารถฟื้นร่างกายที่แก่ให้กลับกลายเป็นหนุ่ม ข่าวลือพวกนั้นมีให้เห็นกันทั่วไป

ถ้าหากมันเป็นเรื่องจริง…

สมมติว่ามังกรกลายเป็นมนุษย์ขึ้นมา

แล้วมีใครสักคนไปมีความสัมพันธ์กับมังกรและได้รับของเหลวในร่างของเขา

ก็คงไม่ต้องสงสัยว่าคนผู้นั้นจะได้รับพลังอันยิ่งใหญ่มามากแค่ไหน

「คงจะดีหากว่าเราคิดมากไปเอง แต่ว่า…」

โอกาสที่เรื่องนี้จะจบที่เธอคิดมากไปเองนั้นต่ำมาก นั่นคือสิ่งที่เธอสรุปเอาไว้

หากถามว่าทำไมก็เพราะมันเกิดขึ้นกับตัวของเธอเอง

มนุษย์สัตว์อย่างชีลก็ด้วย

พลังของเธอคนนั้นเพิ่มขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัดตั้งแต่ที่โซระเรียกเธอไปทำกิจกรรมยามค่ำคืน

ลูนามาเรียที่ได้รับความไว้วางใจให้สอนชีลกับมือ เธอจึงสามารถบอกความแตกต่างของพลังที่ชีลมีก่อนและหลังที่โซระจัดการกับเธอได้ ทางชีลเองก็คงจะสัมผัสความเปลี่ยนแปลงของเธอได้เหมือนกัน

หากร่างกายของโซระเป็นเช่นนั้นจริง สถานการณ์ก็ค่อนข้างจะอันตรายพอสมควร

เพื่อหลีกเลี่ยงสถานการณ์นั้น…

「เราจำเป็นต้องคุยกับเขา」

จนถึงตอนนี้ลูนามาเรียยังพยายามเลี่ยงการพูดคุยกับเขาเกี่ยวกับเรื่องมังกรที่อยู่ในตัวเขา

เธอเป็นทาสก็เพื่อชดใช้บาปของเธอ ไม่ใช่การหาความลับในตัวของเขา เธอก็รู้ว่าโซระไม่ได้ชอบที่เธอถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย

แต่พอเธอเห็นแบบนี้แล้ว การจะนิ่งเฉยเหมือนในอดีตก็จะกลายเป็นปัญหาเอาได้

เพื่อให้โซระรู้ถึงลักษณะพิเศษของเขาและตัดสินใจว่าจะใช้มันเช่นไรต่อไป เธอก็จำเป็นจะต้องบอกเขา เพราะหากเขาไปเที่ยวซ่องแล้วทำมันกับพวกโสเภณีความลับของเขาอาจจะรั่วไหลไปก็ได้

พอคิดได้แบบนั้นเธอก็ตัดสินใจจะคุยเรื่องนี้กับโซระหลังจากที่เขากลับมาจากป่าทีทิส

เธอตบแก้มเบา ๆ แล้วเหวี่ยงตัวไปมาบนต้นไม้อีกครั้ง พอสรุปได้แบบนี้เธอก็จะใช้โอกาสนี้ในการหาขีดจำกัดของตัวเธอเองไปเสียเลย

-ฟึบ- ร่างของเอลฟ์ได้หายเข้าไปภายในป่าโดยทิ้งเสียงอันแผ่วเบาไว้เบื้องหลัง

——–

Note 1 : ได้ข่าวมาจัดกับคุณโสไปก่อนแล้วนะ

Note 2 : ขอบคุณสำหรับทุกท่านที่ช่วยหารค่าไฟ ผมแปะไว้ใต้เม้นของเพจนะครับ และสามารถช่วยค่าไฟคนแปลได้ที่ กสิกร 2092612913 หรือ QR Code