ตอนที่ 200 ศึกใหญ่ในสถาบัน 8

สตรีมเมอร์สาว กินพิชิตอวกาศ

ตอนที่ 200 ศึกใหญ่ในสถาบัน 8

นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งทั้งหมดลุกขึ้นยืน ถึงแม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้กล่าวอะไรออกมา แต่พวกเขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่าเต็มใจจะออกไปพร้อมกับองค์หญิงสาม

การกระทำที่พร้อมเพรียงกันนี้ทำให้ชาวเน็ตตกตะลึง และตามมาด้วยความอิจฉาริษยา แต่กลับตื้นตันใจเสียมากกว่า…

หัวหน้าประจำชั้นปีที่หนึ่งของสถาบันอื่น ๆ แอบชำเลืองมองผู้ติดตามของพวกเขา หากพวกเขาตัดสินใจออกจากสถาบัน จะมีใครติดตามเขามาบ้างหรือไม่?

คำตอบคือไม่มีอย่างแน่นอน!

[นักเรียนปีหนึ่งพวกนี้ใจร้อนเกินไป ตอนนี้พวกเขายังอยากแสดงความภักดี เดี๋ยวก็รู้ว่าจะเสียใจมากแค่ไหน]

[องค์หญิงสามทำไม่ถูกต้องนัก ถ้านักเรียนพวกนั้นตามเธอออกไปจริง ๆ ในอนาคตพวกเขาจะทำงานอะไรกัน? อย่าว่าแต่การจ้างงานเลย ใครจะเป็นคนมอบความรู้ที่ควรมีติดตัวให้กับพวกเขา?]

[คอมเมนต์บนรู้ไหมว่าพูดอะไรออกมา จะให้องค์หญิงสามทนดูคนของเธอถูกรังแกหรือไง? พวกคุณไม่เคยคิดเลยสินะว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับนักเรียนปีหนึ่ง ถ้าองค์หญิงสามจากไป? พวกเขาจะไม่ถูกรังแกจนตายเลยหรือไง!]

[ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่ควรท้าทายรุ่นพี่ ตอนนี้ทำอะไรไม่ได้แล้วล่ะ ออกจากสถาบันเหรอ? เธอคงไม่เป็นอะไรเพราะเป็นกลุ่มชนชั้นสูง แต่นักเรียนพวกนั้นล่ะ? ได้คำนึงถึงพ่อแม่ของพวกเขาบ้างไหม?]

ชาวเน็ตต่างชมเชยและวิพากษ์วิจารณ์ ยิ่งไปกว่านั้น ชาวเน็ตต่างคิดว่าองค์หญิงสามไม่ควรทำตามอำเภอใจ หากจัดการอย่างนุ่มนวล มันคงไม่กลายเป็นปัญหาใหญ่เช่นนี้

คณบดีพูลแมนเห็นว่านักเรียนชั้นปีที่หนึ่งทั้งหมดล้วนสนับสนุนองค์หญิงสาม ดูเหมือนว่าทันทีที่เขากล่าวขับไล่องค์หญิงสาม นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งก็จะพร้อมใจกันลาออกจากสถาบันการศึกษาทางการทหารของจักรวรรดิทันที?

เหตุการณ์ยิ่งใหญ่นี้ทำให้ทั่วทั้งห้วงดวงดาวตกตะลึง!

“องค์หญิงสาม ท่านจะทำอะไร?” คณบดีพูลแมนตระหนักได้ว่าใครคือเสี้ยนหนามในครั้งนี้ และรู้สึกปวดหัวแทบบ้า!

“กระหม่อมไม่ได้บอกว่าจะไล่ท่านออก ทำไมท่านพูดแบบนั้น?” เขาถอนหายใจ “องค์หญิงสาม ทุกอย่างเราคุยกันได้ กระหม่อมรู้ว่านักเรียนพวกนี้ทำผิดมหันต์ เราจะจัดการพวกเขาตามกฎข้อบังคับของสถาบัน ท่านมั่นใจได้!”

“กฎข้อบังคับ? อะไรคือกฎข้อบังคับ?” สวี่หลิงอวิ๋นส่ายหัว “หลังจากที่ฉันตีพวกเขาแล้ว พวกท่านอยากจะจัดการยังไงก็ตามสบาย หรือจะไม่ทำก็แล้วแต่”

“ท่านคณบดี ท่านหลีกทางไปเถอะครับ! ไม่อย่างนั้นพวกเราคงจะนั่งเรียนอย่างสบายใจตลอดชั้นปีที่หนึ่งไม่ได้!” รุยยืนขึ้นและพูดคุยกับคณบดี “ถ้าพวกเราปล่อยให้คนพวกนั้นทุบตีเพื่อนร่วมชั้นของเราเฉย ๆ แล้วพวกเราจะกล้าสู้หน้าพวกเขาได้เหรอครับ?”

นักเรียนชั้นปีที่หนึ่งทั้งหมดมองไปที่คณบดีพูลแมน “ตีพวกเขา! ตีพวกเขา! ต้องเอาคืน! เอาคืน!”

นักเรียนจำนวนสามสิบกว่าคนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อได้รับการปกป้องจากคณบดีพูลแมน และคิดว่าพวกเขาจะไม่เป็นอะไรแล้ว! แต่เมื่อมองดูนักเรียนชั้นปีที่หนึ่งที่กำลังโกรธจัด และมองดูองค์หญิงสามที่เลือกจะออกจากสถาบันและยืนกรานให้ทุบตีพวกเขา พวกเขากลับรู้สึกวิตกกังวลมากยิ่งขึ้น

ดูเหมือนว่าจะหลีกเลี่ยงการโดนทุบตีในครั้งนี้ไม่ได้! ใครจะช่วยพวกเขาได้บ้าง? หัวหน้าล่ะ? หัวหน้าหายไปไหน?!

หัวหน้าประจำชั้นปีที่สามและชั้นปีที่สี่กำลังนั่งดูวิดีโอถ่ายทอดสดด้วยกัน และรู้สึกถึงความหดหู่ที่ก่อตัวขึ้น

“ซื่อบื้อชะมัด!” หัวหน้าประจำชั้นปีที่สามเกือบจะทุบแก้วในมือ!

“ใจเย็นคริส” หลี่ซิวตบบ่าของเขา “ปล่อยให้องค์หญิงสามจัดการไปเถอะ อย่างน้อยพวกเขาก็ได้รับบทเรียนแล้ว”

“เกิดอะไรขึ้นกับเยล? ฉันจำได้ว่าก่อนหน้านี้เขาไม่ใช่คนแบบนี้นี่น่า ทำไมถึงเลือกที่จะประจันหน้ากับองค์หญิงสามล่ะ?”

“ใครจะไปรู้ล่ะ!” คริสเงยหน้าขึ้น “แต่รู้สึกว่าศัตรูส่วนใหญ่ที่ประจันหน้ากับองค์หญิงสามจะไม่ค่อยฉลาดเอาซะเลย”

“แต่ที่น่าสมเพชมากที่สุดคือเยลที่สูญเสียคุณสมบัติการเป็นหัวหน้าไป ไม่รู้ว่าเขายังจะใช้ชีวิตในสถาบันได้ต่อไปอีกไหม?”

“นั่นน่ะสิ” หลี่ซิวส่ายหัวและกล่าวออกมาอย่างเฉยเมย

เดิมทีเหตุผลที่ตระกูลออสมอนด์มองว่าเยลเป็นบุคคลสำคัญเพราะว่าเยลเป็นคนเก่งกาจ แต่ตอนนี้เขาไม่เพียงแต่จะก่อปัญหาให้ราชวงศ์เท่านั้น แต่ยังสูญเสียความสามารถอีกด้วย

หึหึ! ถึงแม้ว่าจะเป็นทายาทของหัวหน้าตระกูล แต่อนาคตคงจบไม่สวยเสียแล้ว

หากเขาไม่สามารถอยู่ในสถาบันการศึกษาต่อไปได้อีก อนาคตของเขาจะมีเพียงความมืดมิดเท่านั้น

“รุย พาท่านคณบดีไปพักผ่อนเถอะ อย่าให้พลาดถูกพวกเราทำร้ายเลย” สวี่หลิงอวิ๋นหัวเราะคิกคัก และเมินเฉยต่อคณบดีพูลแมน

รุยพยักหน้า ขณะที่เบนเน็ตลุกขึ้นยืน และทั้งสองก็ควงแขนพาท่านคณบดีเดินออกไป

คณบดีพูลไม่รู้ว่าจะหัวเราะหรือร้องไห้ดี “เอาล่ะพอแล้ว ปล่อยผมลงเถอะ ผมเดินเองได้”

“ไม่ได้ครับ หัวหน้าสั่งให้ผมพาท่านออกไป!”

คณะอาจารย์ทั้งหลายที่ซ่อนตัว ไม่ต้องการให้คณบดีรู้สึกขายหน้า องค์หญิงสามช่างหยิ่งผยองเสียจริง

เฮอร์จ้องมอง เยี่ยมมาก เธอไม่ไว้หน้าท่านคณบดีสักหน่อยเหรอ? และรีบกระโดดออก “สวัสดีครับองค์หญิงสาม! คุณไม่คิดจะสนใจไยดีท่านคณบดีหน่อยเหรอครับ?! คุณกำลังก่อกบฏหรือไง?!”

“คุณเป็นใคร!” สวี่หลิงอวิ๋นเหลือบมอง “ไม่ยักจะรู้ว่าท่านคณบดีเลี้ยงหมาเอาไว้ด้วย ซี่อสัตย์จริงเชียว!”

“คุณ! หยุดดูถูกคนอื่นได้แล้ว!” ใบหน้าของเฮอร์แดงก่ำด้วยความโกรธ ก่อนจะโพล่งขึ้นว่า “ฉันเฮอร์ คลิทซ์ อาจารย์ประจำวิชาสมรรถภาพทางกาย!”

“โอ้! อาจารย์เฮอร์ที่ขาดสอนนักเรียนปีหนึ่งไปถึงห้าคาบล่ะเหรอ! วันนี้คุณไม่ยุ่งเหรอคะ?! ทำไมไม่ไปที่ชั้นเรียนวิชาสมรรถภาพทางกายล่ะ?”

“รุย อย่าลืมส่งอาจารย์เฮอร์ไปชั้นเรียนวิชาสมรรถภาพทางกายทีหลังด้วยล่ะ!”

ใบหน้าของเฮอร์บึ้งตึง! องค์หญิงสามหยิ่งยโสโอหังมากเกินไป! เธอเป็นอย่างที่ลูตี้พูดเอาไว้ไม่มีผิด เป็นองค์หญิงที่ไร้เหตุผลสิ้นดี!

กลั่นแกล้งผู้คนที่นี่ด้วยสถานภาพของตนเอง!

รุยไม่สนใจว่าเฮอร์กระโจนออกไปอย่างไร แต่เมื่อเห็นว่าเขายังคงพูดจาสามหาวออกมา รุยก็ตบเขาจนเป็นลมล้มลงไป

“ให้ตายเถอะ ขัดตามานานแล้ว ขนาดผ่านไปสักพักแล้ว ก็ยังพล่ามอยู่ได้!”

ความโหดเหี้ยมทำให้คณะอาจาย์ท่านอื่นตกตะลึงไปครู่หนึ่ง และไม่ตอบสนองเป็นเวลานาน

พวกเขารีบเบือนหน้าหนี ครุ่นคิดกับตนเองว่านอกจากจะไม่ควรพูดมากแล้ว ก็ไม่ควรทำให้รุยขุ่นเคืองด้วยใช่ไหม?

ทำเกินไปแล้ว! พวกเขารู้สึกเห็นใจอาจารย์เฮอร์ทันทีที่สัมผัสต้นคอของตนเอง

กระบองพลังดวงดาวของสวี่หลิงอวิ๋นรอคอยมานานแล้ว!

กระบองนับร้อยกว่าแท่งถูกเหวี่ยงขึ้นและเหวี่ยงลง นักเรียนที่กลั่นแกล้งคนอื่นกำลังกอดคอกันร้องไห้ บางคนถึงกับยกเกราะป้องกันพลังขึ้นมาปกป้องตนเอง หึหึ!

สวี่หลิงอวิ๋นไม่หวั่นเกรงต่อพละกำลังของพวกเขา! เพราะระดับพละกำลังของเธอสูงกว่านักเรียนพวกนี้ ทันทีที่กระบองเหวี่ยงลง เกราะป้องกันจะสลายตัวโดยอัตโนมัติ จนทำให้พวกเขากรีดร้อง ‘โอ๊ย’

นักเรียนชั้นปีที่สองทั้งหลายรู้สึกถึงเจ็บปวดในร่างกายเป็นอย่างมาก จนไม่รู้ว่าควรจะมองไปทางไหน

[โหดร้ายเกินไป! ถ้ากระบองนั้นหล่นลงมา ให้ทำร้ายตัวเองยังดีกว่า!]

[องค์หญิงสามบอกว่าจะทุบตีพวกเขาให้กระดูกหัก! โอ้ ความเจ็บปวดทางร่างกายเป็นอะไรที่หลักเลี่ยงไม่ได้!]

[ฉันคิดว่าองค์หญิงสามจงใจ! เห็นได้ชัดว่าพวกเขาแตกหักได้ด้วยไม้กระบองพวกนั้น แต่กลับปล่อยให้พวกเขาทุกข์ทรมานกับความเจ็บปวดก่อนจะปล่อยครั้งสุดท้าย หึหึ!]

[ว่ากันว่าผิดใจกับคนต่ำทรามดีกว่าผิดใจกับผู้หญิง ฉันเข้าใจแล้วจริง ๆ!]