ตอนที่ 230 ถูกวางยาอีกครั้ง
เหลยถิงออกจากสถานีรถไฟความเร็วสูงก็ไปหาเจียงเย่ว์ที่มหาวิทยาลัยแพทย์เย่ว์ตู บอกเธอว่าพาพ่อแม่ของเธอไปส่งที่สถานีรถไฟแล้ว
“อาถิง พ่อฉันพูดเรื่องให้คุณย้ายกลับไปเมืองหลวงอีกหรือเปล่า”
“พูด เสี่ยวเย่ว์ ผมปฏิเสธคุณลุงไปแล้ว”
“อาถิง ขอโทษนะ พ่อกับแม่ฉัน…”
“ไม่เป็นไร อีกหน่อยคงดีขึ้น”
“…อืม”
“คุณกลับห้องเรียนเถอะ ใกล้ได้เวลาเรียนแล้ว”
“อืม”
เหลยถิงมองส่งเจียงเย่ว์ขึ้นตึกแล้วถึงไปลานจอดรถขับรถกลับบ้าน
พอเหลยโจวเห็นลูกชายกลับมาแล้วก็โล่งใจมาก
“อาถิง ไปจ่ายตลาดกัน เดี๋ยวน้า อาจารย์อาเล็ก เสี่ยวเยาเยา จะมากินข้าวด้วย คุณตาคุณยายของแกบ่นคิดถึงนานแล้ว”
“ครับ”
สองพ่อลูกหิ้วตะกร้าจ่ายตลาดเดินออกไป
พวกเขาเพิ่งถึงตลาดก็เห็นคนชราทั้งสองที่เมื่อเช้าไปห้องสมุด ตอนนี้ก็อยู่ที่ตลาดสดเหมือนกัน
ทั้งสี่คนช่วยกันเลือกซื้อของ ไม่นานก็ซื้อวัตถุดิบสำหรับมื้อกลางวันและมื้อเย็นครบ
หลังจากกลับถึงบ้านสองพ่อลูกก็ขลุกอยู่ในครัว
ทำอาหารไปได้ครึ่งทาง เฉิงหรานกับเฉิงอันนั่วก็พามู่เถาเยากับอาจารย์อาเล็กมา
เหลยโจวถาม “อันนั่ว ทำไมเสี่ยวอินไม่มาด้วยกันล่ะ”
“…ผมไม่ได้เรียกเธอครับ”
อันที่จริงเรียกแล้ว แต่ปาอินบอกว่าจะอยู่คอยดูเจียงเย่ว์ไว้ ก็เลยไม่ได้มา
จะพูดความจริงตอนที่ปู่ย่ากับพี่ชายของเขาอยู่ด้วยไม่ได้
แต่ไม่ได้มาด้วยกันก็ปกติไม่ใช่เหรอ
เหลยโจว “ครั้งหน้าพามาด้วยนะ”
เด็กคนนั้นดีจะตาย! เหมาะสมกับอันนั่วมาก!
เฉิงอันนั่ว “…ครับลุงเขย”
รับปากอยู่หรอก แต่ไม่คิดว่ามันแปลกๆ ตรงไหนเหรอ
เฉิงอันนั่วคิดแล้วก็ไม่เข้าใจ จึงเดินเข้าครัวพร้อมเฉิงหรานไปช่วยทำอาหาร
มู่เถาเยาจับชีพจรให้คนชราทั้งสอง
“คุณอาทั้งสองสุขภาพใช้ได้ค่ะ อาการท้องผูกก็ดีขึ้นแล้วด้วย”
ย่าเฉิงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนใจดี “ใช่จ้ะ ดีนะที่ได้สูตรยากับสูตรอาหารของเสี่ยวเยาเยา”
“ต่อไปถ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนต้องบอกศิษย์พี่ใหญ่นะคะ บางปัญหาดูเหมือนเล็ก แต่นานวันเข้าจะเกิดผลที่รุนแรงได้ค่ะ”
“เข้าใจแล้วจ้ะ”
ปู่เฉิง “เสี่ยวเยาเยา…”
เกิดเสียงโครมครามดังมาจากในครัว ขัดจังหวะคำพูดของปู่เฉิง
ทุกคนหันไปมองทางห้องครัวพร้อมกัน
อาจารย์อาเล็กลุกไปดูว่าเกิดอะไรขึ้น
“เกิดอะไรขึ้นเหรอ”
เหลยถิงพยายามฝืนอาการตาลาย “อาจารย์ปู่ เมื่อกี้ผมล้างชามอยู่ มันลื่นหลุดครับ”
“อ่อ”
เหลยโจว เฉิงหราน เฉิงอันนั่ว มองหน้ากัน รู้อยู่ในใจว่าเกิดอะไรขึ้น
เฉิงหรานเก็บสีหน้ากังวลแล้วพูดกับเหลยถิง “อาถิง ในครัวใกล้เสร็จแล้ว ออกไปเรียกคุณตาคุณยายและก็เสี่ยวเยาเยามาที่ห้องกินข้าวเถอะ”
“ครับ”
เหลยถิงล้างมือแล้วออกไป แสร้งทำเหมือนไม่เป็นอะไร
ในความเป็นจริงตอนนี้เขาเห็นเงาคนซ้อนกันแล้ว ความรู้สึกเหมือนเมาเหล้า
มู่เถาเยาเห็นเหลยถิงออกมาคนเดียว สังเกตสีหน้าของเขา การเดิน เธอก็เข้าใจแล้ว
“คุณตา คุณยาย อาจารย์อาเล็ก ไปห้องกินข้าวกันครับ อาหารใกล้เสร็จแล้ว”
มู่เถาเยาชิงพูดขึ้นก่อนสองคนชรา “เหลยถิง มานั่งลงหน่อย ฉันจะจับชีพจรให้ กลับมาอยู่ที่นี่ได้สักพักแล้ว แต่สุขภาพของนายไม่เปลี่ยนไปเท่าไร มาตรวจดูว่าเพราะร่างกายดูดซึมไม่ดีหรือเปล่า”
ย่าเฉิงพยักหน้า “ใช่ๆๆ อาถิง ไหนๆ อาจารย์อาเล็กก็อยู่ที่นี่แล้ว รีบมาให้เธอตรวจดูหน่อยเร็ว”
เหลยถิงก็กลัวว่าร่างกายตัวเองจะมีปัญหาใหญ่จึงไปนั่งข้างมู่เถาเยา ยื่นมือออกไปวางบนหมอนสำหรับจับชีพจร
“ปัญหาเล็กๆ ฝังเข็มสักหน่อยก็ดีขึ้น”
มู่เถาเยาเอามือออกจากข้อมือของเหลยถิงแล้วหยิบเข็มทองออกมาจากกล่องยาใบน้อย
ปู่เฉิงถามด้วยความเป็นห่วง “เสี่ยวเยาเยา อาถิงเป็นอะไรเหรอเห็นต้องฝังเข็มด้วย”
“วางใจได้ค่ะ เหลยถิงไม่ได้เป็นอะไรมาก”
“อ่อ”
คนชราทั้งสองย่อมเชื่อมู่เถาเยา
ลูกชายของพวกเขาเคยบอกว่าฝีมือการรักษาของศิษย์น้องเหนือกว่าหมอเทวดาหยวนที่เป็นอาจารย์ด้วยซ้ำ
เหลยถิง “ผมต้องถอดเสื้อไหมครับ”
“ไม่ต้อง ฝังที่ศีรษะ”
“งั้นผมนั่งพื้นไหมครับ”
เขาสูงหนึ่งร้อยแปดสิบเซนติเมตร ถ้านั่งบนโซฟาเสมอกันจะสูงกว่ามู่เถาเยา ฝังเข็มลำบาก
“นั่งตรงนี้แหละ ฉันยืนทำสะดวกกว่า”
“ครับ”
พวกเฉิงหรานจัดวางอาหารเสร็จก็ออกมาดูมู่เถาเยาฝังเข็มให้เหลยถิง
ผ่านไปประมาณยี่สิบนาทีก็ดึงเข็มออก
เหลยถิงรู้สึกโล่งขึ้นมาทันที ไม่เวียนศีรษะ ตาไม่ลาย ไม่รู้สึกสะอิดสะเอียน ยิ่งไปกว่านั้นไม่ได้อยากอ้วกแล้ว
อาจจะเหมือนที่อาจารย์อาเล็กว่าก็ได้ เขาไม่ได้เป็นอะไรมาก
แต่คุณตาคุณยายอยู่ตรงนี้ เขาก็ไม่สะดวกถามรายละเอียดมาก
“เหลยถิง พรุ่งนี้มาที่มหาวิทยาลัยระหว่างเก้าโมงถึงสิบเอ็ดโมง ฉันจะฝังเข็มให้อีกครั้ง”
“ครับ”
อาจารย์อาเล็กพูด “ไปทำที่ห้องทำงานอาจารย์แล้วกัน”
เหลยถิงมองมู่เถาเยา
มู่เถาเยาพยักหน้า
เหลยโจวยิ้มพลางพูด “พวกเรากินข้าวกันก่อนเถอะ”
มีเสี่ยวเยาเยาอยู่ เจียงจี๋ก็กลับไปแล้ว ตอนนี้เขาไม่ต้องเป็นห่วงความปลอดภัยของลูกชายจึงโล่งใจมาก ใบหน้ามีรอยยิ้ม
ปู่เฉิง “ใช่ กินข้าวก่อน เดี๋ยวเสี่ยวเยาเยากับอันนั่วต้องกลับมหาวิทยาลัยอีก”
บนโต๊ะอาหาร เหลยถิงถามมู่เถาเยา “อาจารย์อาเล็กครับ เห็นน้ากับพ่อบอกว่าอาจารย์อาเล็กมีตำแหน่งนักวิเคราะห์จะแนะนำเหรอครับ”
“อืม ถ้าสนใจพรุ่งนี้บ่ายไปสัมภาษณ์ได้นะ ถ้าผ่านก็เริ่มงานวันจันทร์ได้เลย”
แต่ไหนแต่ไรมาเธอไม่ยุ่งเรื่องบริษัท
แต่ด้วยความสามารถของเหลยถิง สัมภาษณ์ผ่านแน่นอน
“ครับ ตอนบ่ายผมจะเตรียมประวัติ พรุ่งนี้ลองไปสัมภาษณ์ดู”
“อืม เดี๋ยวฉันส่งชื่อของคนดูแล เบอร์โทร แล้วก็ที่อยู่บริษัทเข้ามือถือให้นะ”
“ขอบคุณครับ”
เมืองเย่ว์ตูเป็นเมืองหลวงโบราณประวัติศาสตร์ยาวนาน มีสภาพภูมิประเทศและอากาศที่ดีมาก บริษัทใหญ่หลายแห่งจึงเลือกที่จะมาเปิดที่นี่
ด้วยความสามารถและประสบการณ์ของเขา หากต้องการหางานที่ตรงสายก็ย่อมหาได้ แต่งานที่อาจารย์อาเล็กหาให้ต้องไม่แย่แน่นอน งั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้องไปเสียเวลาคัดกรองอีก
“ไม่ต้องเกรงใจ”
คนครอบครัวเหลย เฉิงหราน และเฉิงอันนั่วต่างดีใจกันมาก
เหลยถิงอยู่เมืองหลวงตั้งแต่เรียนมหาวิทยาลัย จบปริญญาโทและปริญญาเอกที่นั่น หลังเรียนจบก็ทำงานที่เมืองหลวง ผ่านมาสิบปีแล้ว พวกเขาอยากให้เหลยถิงกลับมาทำงานที่บ้านเกิดจริงๆ
คราวนี้ความปรารถนาเป็นจริงแล้ว มีเหตุผลอะไรที่จะไม่ดีใจล่ะ
“อาถิง หลานกับเสี่ยวเย่ว์มีโอกาสจะแต่งงานกันก่อนไหม” ย่าเฉิงยิ้มกว้างเหมือนดอกเบญจมาศที่บานแฉ่ง
“เสี่ยวเย่ว์ยังต้องเรียนดอกเตอร์อีกครับคุณยาย อย่างน้อยๆ ก็ต้องใช้เวลาห้าปี”
“แต่อีกห้าปีหลานก็อายุสามสิบห้าแล้วนะ”
เหลยโจว “อย่าใจร้อนสิครับคุณแม่ สามสิบห้าก็ยังหนุ่มอยู่นะ”
เขาไม่อยากได้ลูกสะใภ้แบบเจียงเย่ว์ แม้จะรู้แล้วว่าคนวางยาไม่ใช่เธอก็ตาม
คนที่ทำงานทางด้านกฎหมายไม่มีทางพาลโกรธโดยไม่มีสาเหตุ แต่เธอไม่ได้รักลูกชายของเขา ดังนั้นที่เขาไม่ชอบเจียงเย่ว์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพ่อแม่ของเธอ
เฉิงหรานก็ช่วยพูด “พ่อครับแม่ครับ คนสมัยนี้อายุสี่สิบห้าสิบเพิ่งแต่งงานมีเยอะแยะไป ดูอย่างอาจารย์อาเล็กของผมสิครับ ใกล้สี่สิบเพิ่งจะแต่งงาน ก็มีความสุขดีไม่ใช่เหรอครับ”
อาจารย์อาเล็กพยักหน้า พูดด้วยรอยยิ้ม “พี่ๆ ทั้งสองวางใจเถอะครับ เหลยถิงรูปหล่อ มีความสามารถ นิสัยก็ดี เป็นผู้ชายดีที่หาได้ยาก ต้องได้พบความสุขแน่ครับ”
ปู่เฉิงตบหลังมือย่าเฉิงเบาๆ “ที่รัก อย่าไปเร่งอาถิงกับอานั่วเลย พวกเขาโตขนาดนี้แล้ว จัดการตัวเองได้”
เฉิงอันนั่วพูดต่อ “วางใจได้ครับย่า เดี๋ยวพอวาสนานำพาในเวลาที่ถูก พวกเราต้องแต่งงานแน่นอนครับ”
“ได้ ย่าไม่เร่งแล้ว กินข้าวเถอะ”
ย่าเฉิงยังจะพูดอะไรได้อีก มีแค่เธอคนเดียวที่รีบร้อน
คงต้องแล้วแต่พวกเขา