ตอนที่ 167

My Disciples Are All Villains

ทหารทั้งสี่และหลี่จิงอี้ต่างก็วิ่งไปหาเหวยซู่หยาน แต่ถึงแบบนั้นทะเลสาบก็กว้างใหญ่เกินไป กว่าที่พวกเขาทั้งหมดจะวิ่งมาตามทางได้มันก็ผ่านมานานมากแล้ว

เหล่าทหารทั้งหมดที่เห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นต่างก็รู้ดีว่ามันเป็นลางไม่ดีสำหรับแม่ทัพหลวงคนนี้ เหวยซู่หยานนั้นประมาทเกินไป และเพราะแบบนั้นตัวเขาจึงถูกโจมตีไปเต็มๆ เมื่อมาอยู่ที่ป่าทึบทหารทั้งหมดรวมไปถึงหลี่จิงอี้ต่างก็ไม่กล้าเคลื่อนไหวอย่างประมาทอีกต่อไป พวกเขาได้แต่เคลื่อนไหวกันอย่างช้าๆ ภายในป่า

หลี่จิงอี้ได้ขมวดคิ้วก่อนที่จะมองตรงไป เธอได้เอามือแตะไปที่ริมฝีปากของตัวเองเพื่อที่จะให้ทุกคนหยุดเคลื่อนไหว ในตอนนั้นเองหูของเธอก็ได้ขยับ ดูเหมือนว่าเธอจะเจอได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ มันเป็นเสียงเต้นของหัวใจนั่นเอง หรือนี่แสดงว่าเหวยซู่หยานในตอนนี้อาจจะยังมีชีวิตอยู่

ทหารทั้งสี่ต่างก็ทำตามหลี่จิงอี้ไปอย่างติดๆ ทหารทั้งหมดต่างก็เชื่อใจเธอมาก พวกเขาจะทำตามคำสั่งทั้งหมดที่เธอบอก

ยิ่งเข้าไปในป่ามากขึ้นเท่าไหร่มันก็ยิ่งมืดลง ในป่าแห่งนี้แทบที่จะมืดจนมองไม่เห็นอะไรเลย

ทันใดนั้นเองพวกเขาทั้งหมดก็ได้ยินเสียงอะไรบางอย่างอยู่เหนือศีรษะ และเมื่อเงยหน้ามอง พวกเขาทั้งหมดพบกับอะไรบางอย่างเข้า…

และเนื่องจากมีใบไม้ที่หนาทึบทำให้พวกเขาทั้งหมดเห็นเพียงแค่แวบเดียว

“นี่มันรถม้าลอยฟ้า! “

“รถม้าลอยฟ้าของศาลาปีศาจลอยฟ้า! ทั้งแสงนั่นรวมไปถึงเสียง ต้องใช้แน่ๆ …”

“พวกเขากำลังจากไปแล้ว”

“จากไปอย่างงั้นหรอ? “

หลี่จิงอี้ขมวดคิ้วอีกครั้ง หลังจากนั้นเธอก็รีบใช้ความคิดขึ้นมาทันที ‘รถม้าของศาลาปีศาจลอยฟ้าแค่บังเอิญผ่านทางมาอย่างงั้นหรอ? ไม่น่าจะเป็นไปได้’

ในตอนนั้นเองก็มีเสียงดังขึ้นจากภายในป่า

“มีใครบางคนอยู่ในนั้น”

หลี่จิงอี้และทหารทั้งสี่ต่างก็เตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้

พวกเขาทั้งหมดได้ชักดาบขึ้นมาเพื่อปกป้องตัวเองจากศัตรู

มีใครบางคนปรากฏตัวขึ้นมาจากเงามืด

เมื่อเห็นแบบนั้นทั้งห้าคนต่างก็รู้สึกไม่สบายใจมากขึ้น พวกเขาทั้งหมดรีบก้าวถอยหลังไปพร้อมๆ กัน

ร่างของใครบางคนที่ได้เห็นดูคุ้นตา ในที่สุดชายคนนั้นก็ได้เดินออกมาจากพุ่มไม้ เมื่อทั้งห้าคนเห็นใบหน้าของชายคนนั้นต่างก็รู้สึกตกตะลึงในทันที

“ท่านแม่ทัพอย่างงั้นหรอ? “

หลี่จิงอี้เงยหน้าขึ้นก่อนที่จะมองไปยังเหวยซู่หยานที่เธอคุ้นเคย

ฝ่ามือทั้งเก้าเป็นสุดยอดฝ่ามือที่ทรงพลัง แต่ถึงแบบนั้นแม่ทัพเหวยกลับมีบาดแผลเพียงแค่รอยขีดข่วนเพียงแค่นั้น? ที่ริมฝีปากของเหวยซู่หยานมีเพียงรอยเลือดจางๆ ในตอนนี้เหวยซู่หยานยังคงดูสงบเยือกเย็นราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ในตอนแรกเหวยซู่หยานไม่ได้พูดอะไรแม้แต่อย่างเดียว เหวยซู่หยานในตอนนี้ได้แต่จ้องมองกลุ่มคนทั้งห้าที่ยืนต่อหน้าตัวเขา ท้ายที่สุดแล้วเหวยซู่หยานก็ได้พูดออกมา “ข้าเหนื่อยแล้ว”

“ท่านแม่ทัพ! “

ทหารของเหวยซู่หยานทั้งสี่รีบคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียงกัน

หลี่จิงอี้เป็นเพียงคนเดียวที่ยังยืนอยู่ เธอที่ยืนอยู่ได้พูดออกมาอย่างเป็นกังวล “ท่านแม่ทัพ สถานที่แห่งนี้ไม่ปลอดภัยอีกต่อไป”

“ท่านแม่ทัพ ข้ายอมตายดีกว่าที่จะปล่อยให้มีอะไรเกิดขึ้นกับท่าน! ได้โปรดกลับไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ด้วย! “

“ท่านแม่ทัพได้โปรดกลับไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์! “

“ท่านแม่ทัพได้โปรดกลับไปที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์! “

ทหารทั้งหมดของเหวยซู่หยานต่างก็ก้มขอร้องผู้เป็นแม่ทัพ

เหวยซู่หยานได้เหลือบมองไปที่ทหารทั้งสี่ก่อนที่จะเหลือบมองไปที่หลี่จิงอี้ “พวกเรากลับไปที่เมืองหลวงกัน”

ในตอนแรกหลี่จิงอี้ได้มองมายังเหวยซู่หยานอย่างประหลาดใจ เธอที่กำลังพยายามที่จะพูดอะไรบางอย่างออกมาแต่ก็กลับเงียบไปซะก่อน ท้ายที่สุดแล้วเธอก็ได้คารวะเหวยซู่หยานก่อนที่จะพูดขึ้น “เข้าใจแล้วค่ะ! “

เหวยซู่หยานได้เดินผ่านต้นไม้ที่ล้มไปก่อนที่จะเดินกลับไปยังทะเลสาบตะวันฟ้า

ในเวลาเดียวกันหลี่จิงอี้ก็ได้จ้องมองไปยังเหวยซู่หยาน เธอได้แต่จ้องมองหลังของเหวยซู่หยานที่กำลังถอยห่างออกไปด้วยสายตาอันซับซ้อน หลังจากนั้นเธอก็ได้แต่หันมาพูดกับทหารทั้งหมด “จำเอาไว้ล่ะว่าวันนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น”

“พวกเราเข้าใจแล้ว! ” ทหารทั้งสี่ได้ตอบออกมาอย่างพร้อมเพรียงกัน

ในขณะเดียวกันนั้นเอง ในตอนที่รถม้าล่องเมฆากำลังลอยผ่านหุบเขาตะวันฟ้าไป มันกำลังมุ่งหน้ากลับไปยังศาลาปีศาจลอยฟ้า

ลู่โจวในตอนนี้กำลังยืนอยู่บนรถม้า ตัวเขาก็ยังคงเอามือไขว้หลังเช่นเคย

หมิงซี่หยินรีบโค้งคำนับก่อนที่จะพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น “วิเศษมากจริงๆ ครับท่านอาจารย์! ท่านอาจารย์ได้เปิดโลกกว้างให้กับศิษย์อย่างแท้จริง! ” กว่าที่หมิงซี่หยินจะสงบใจหลังจากที่เห็นพลังฝ่ามือทั้งเก้าได้เป็นเรื่องที่ยากมาก ตัวเขารู้ดีว่าสิ่งที่ได้เห็นมันคือฝ่ามือทั้งเก้า มันเป็นฝ่ามือเดียวกันในตอนที่พวกเขาทั้งหมดได้สู้กับสิบคนทรง ถึงแม้ว่าลู่โจวจะใช้ฝ่ามือทั้งเก้าจากระยะไกล แต่ท้ายที่สุดแล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็กลับไม่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม

“นั่นคือชะตากรรมที่ไม่อาจเลี่ยงได้ของเจ้านั่น…” ลู่โจวได้พูดออกมาอย่างเบื่อหน่าย

“ถูกของท่านอาจารย์แล้ว เจ้านั่นชะตาขาดแล้ว ถ้าหากเจ้านั่นยังอยู่ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ต่อไป เจ้านั่นก็คงจะมีชีวิตอยู่ยืนยาวกว่านี้ไปแล้ว” หมิงซี่หยินที่รู้ตัวเองว่าพูดผิดไปรีบพูดแก้ตัวขึ้นมาอีกครั้ง “แต่ถึงแม้ว่าเจ้านั่นจะอยู่ที่เมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ต่อไป ยังไงท่านอาจารย์ก็คงจะจัดการแม่ทัพคนนี้อย่างง่ายดายเหมือนเดิมอยู่ดี”

ต้วนมู่เฉิงในตอนนี้กำลังควบคุมรถม้าล่องเมฆาอยู่ ตัวเขาได้หันมาพูดขึ้น “ท่านอาจารย์…จะเกิดอะไรขึ้นถ้าหากพวกเราสังหารเหล่าผู้ติดตามของเหวยซู่หยานไปด้วย? “

หมิงซี่หยินได้ตอบกลับมาโดยที่ไม่ต้องรอให้ลู่โจวตอบ “ถ้าหากเจ้าพวกนั้นไม่ได้มีชีวิตอยู่ต่อไป ท้ายที่สุดแล้วคนจากพระราชวังทั้งหมดก็จะรู้ว่าเหวยซู่หยานคนนี้เป็นตัวปลอม แต่ถึงแม้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะรู้แล้วว่าเหวยซู่หยานเป็นตัวปลอม แต่ถึงแบบนั้นพวกเขาก็คงจะไม่กล้าที่จะเปิดเผยความจริงแน่ ความจริงที่แม่ทัพเหวยผู้ยิ่งใหญ่ได้ตายจากไปแล้ว ถ้าหากความจริงถูกเปิดเผย กองทัพหลวงก็จะไม่มีผู้นำทัพอีกต่อไป เมื่อถึงตอนนั้นจริงก็คงจะมีแต่คนต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อที่จะให้ได้มาซึ่งตำแหน่งแม่ทัพ ก่อนหน้านี้ที่เพราะอำนาจของเหวยซู่หยานในฐานะแม่ทัพหลวงได้ทำให้อำนาจของเหล่าราชวงศ์ต้องสั่นคลอน… ถ้าหากเหวยซู่หยานได้ตายจากไปจริงๆ ทางเหล่าราชวงศ์จากพระราชวังก็คงจะมีความสุขมากขึ้นแน่ นับตั้งแต่จากนี้เป็นต้นไปเหวยซู่เหลนจะกลายเป็นเหวยซู่หยานคนใหม่”

หยวนเอ๋อที่นั่งฟังทุกอย่างอยู่บนรถม้าล่องเมฆาก็ได้พูดขึ้น “เจียงอาเฉียนมักจะพูดเอาไว้เสมอว่าที่พระราชวังมักจะมีการต่อสู้เพื่อแก่งแย่งชิงดีกันอยู่ตลอด สิ่งที่ศิษย์พี่สี่คิดไว้ไม่ฟังดูน่าเบื่อไปหน่อยอย่างงั้นหรอ? “

“น่าเสียดายยังไงซะก็มีแต่ผู้ที่ปรารถนาอำนาจมากกว่าผลประโยชน์ส่วนรวม น่าเสียดายจริงๆ ที่จะต้องสูญเสียยอดฝีมือผู้มีพลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบแบบนี้ไป” หมิงซี่หยินได้ส่ายหัวก่อนที่จะถอนหายใจออกมา

ลู่โจวที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “เจ้านั่นน่ะเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธผู้ที่มีพลังอวตารดอกบัว 5 กลีบเพียงเท่านั้น ไม่ใช่ 7 กลีบ…”

“5 กลีบอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยิน ต้วนมู่เฉิง และหยวนเอ๋อต่างก็ตกตะลึงเมื่อได้ยินแบบนั้น

ลู่โจวเป็นเพียงคนคนเดียวที่เห็นผลลัพธ์กับตาตัวเอง ตัวเขาได้ใช้การ์ดการโจมตีของเพรชฆาตจัดการกับเหวยซู่หยานไป ในตอนนั้นตัวเขาได้แต้มบุญมาเพียง 1,000 แต้มเท่านั้น มันเป็นแต้มบุญที่น้อยเกินไป การสังหารยอดฝีมือผู้ที่มีพลังร่างอวตารดอกบัว 7 กลีบได้ควรจะได้แต้มบุญที่มากกว่านี้

“ช่างเป็นคนที่น่าสมเพชอะไรแบบนี้! หรือว่าพวกเราได้จัดการเหวยซู่หยานตัวปลอมอีกแล้วอย่างงั้นหรอ? ” หมิงซี่หยินขมวดคิ้วขึ้นมา ในตอนนี้ตัวเขาเริ่มจะรู้สึกโกรธอีกครั้ง ทั้งหมิงซี่หยินและต้วนมู่เฉิงต่างก็อยู่ไกลเกินไป พวกเขาทั้งสองคนไม่เห็นหน้าของเหวยซู่หยานที่ได้จัดการไป

หมิงซี่หยินเองก็ได้แต่สงสัยว่าสายตาของลู่โจวผู้ที่เป็นอาจารย์จะฝ้าฟางเนื่องจากอายุที่มากขึ้นไหม แต่ถึงแบบนั้นหมิงซี่หยินก็ยังไม่มั่นใจมากพอ เพราะแบบนั้นตัวเขาจึงได้แต่พูดออกไปว่าเหวยซู่หยานอาจจะเป็นตัวปลอม

“ไม่ผิดแน่ เจ้านั่นน่ะคือเหวยซู่หยานตัวจริง…” ลู่โจวได้ตอบกลับไปอย่างเฉยเมย

“ศิษย์เข้าใจแล้วความหมายของท่านอาจารย์แล้ว ในท้ายที่สุดแล้วเหวยซู่หยานเป็นเพียงสุนัขที่ได้แต่เห่าเท่านั้น เจ้านั่นไม่กล้าที่จะกัดใครซะด้วยซ้ำ ทำไมเจ้านั่นที่มีพลังวรยุทธเพียงเท่านั้นถึงได้กลายเป็นแม่ทัพหลวงผู้คุม 3 กองทัพได้กัน? ” หมิงซี่หยินคิดไม่ออกเลยว่าเหวยซู่หยานทำยังไงถึงได้กลายเป็นแม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่แบบนี้ได้ “หรือว่าจะมีใครคนอื่นแอบช่วยเจ้านั่น? “

ต้วนมู่เฉิงที่ได้ฟังแบบนั้นก็ได้พูดขึ้น “ไม่ว่าจะยังไงถ้าหากเจ้านั่นออกมาจากเมืองหลวงด้วยตัวคนเดียวแบบนี้ เจ้านั่นก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรสำหรับพวกเรา”

หมิงซี่หยินพยักหน้าอย่างเห็นด้วยก่อนที่จะพูดเสริม “ข้าคิดว่านี่คงจะเป็นบทสรุปของเหตุการณ์การกวาดล้างหมู่บ้านปลามังกรสวรรค์…ศิษย์น้องยี่จะต้องรู้สึกสบายใจแล้วแน่” เมื่อเห็นรถม้าล่องเมฆาบินผ่านภูเขาไป ในตอนนั้นเองหมิงซี่หยินก็คิดอะไรออก ตัวเขารีบเอ่ยปากถามผู้เป็นอาจารย์ขึ้นมาทันที “ท่านอาจารย์ ในตอนนี้พวกเราออกมาจากศาลาปีศาจลอยฟ้าแล้ว ทำไมพวกเราไม่ใช้โอกาสนี้จับศิษย์น้องแปดกลับมาเลยล่ะ? “

ด้วยรถม้าล่องเมฆาที่กำลังลอยอยู่ในตอนนี้ การที่จะไปถึงหุบเขาพยัคฆ์ได้คงจะใช้เวลาไม่นานแน่

ลู่โจวในตอนนี้ยังคงนิ่งเงียบ ตัวเขาได้แต่ลูบเคราก่อนที่จะครุ่นคิดเกี่ยวกับคำพูดของหมิงซี่หยิน ในตอนแรกลู่โจวได้วางแผนเอาไว้ ตัวเขากะที่จะปล่อยให้ศิษย์คนนี้อยู่ตามลำพังไปก่อน แต่ถึงแบบนั้นภารกิจหลักที่ตัวเขาได้มาจากระบบมักจะให้ความสำคัญกับการฝึกฝนเหล่าลูกศิษย์อยู่เสมอ ในตอนนี้ตัวเขาสามารถสั่งสอนหมิงซี่หยิน, ต้วนมู่เฉิง และหยวนเอ๋อจนมีค่าความจงรักภักดีที่มากพอแล้ว และเพราะแบบนั้นเองลู่โจวจึงไม่ได้แต้มบุญมากเหมือนกับในสมัยก่อน ในสมัยที่เพิ่งจะได้สั่งสอนศิษย์ทั้ง 3 คน

ลำพังศิษย์คนที่เจ็ดคงจะต้องสามารถช่วยศิษย์คนที่แปดได้อย่างแน่นอน แล้วทำไมเขาถึงจะต้องแจ้งเรื่องนี้ให้กับศาลาปีศาจลอยฟ้าได้รู้ด้วยล่ะ? ลู่โจวได้นึกไปถึงเนื้อหาที่มีอยู่ในจดหมายของเจียงอาเฉียน ‘หรือว่าสีวู่หยาอยากที่จะก่อความวุ่นวายขึ้นมาจริงๆ? ‘

ลู่โจวรู้สึกลังเลมาก ตัวเขาไม่รู้เลยว่าควรจะกลับศิษย์คนที่แปดกลับมาในตอนนี้ดีไหม…