ตอนที่ 244 องค์ชายสามกลับเมืองหลวง

คุณหนูใบ้หัวใจแกร่ง

ตอนที่ 244 องค์ชายสามกลับเมืองหลวง

เมืองหลวงอยู่ใกล้แค่เอื้อม!

องค์ชายสาม เซียวเฉิงอี้ควบม้าโดยไม่สนใจลมหนาวที่พัดผ่านหน้า ทั้งหัวใจเต็มไปด้วยความตื่นเต้นที่กำลังจะได้กลับบ้าน

เหล่าองครักษ์จำเป็นต้องเร่งม้าตามอารักขาขนาบอยู่ซ้ายขวา

ขุนนางฝ่ายในนั่งอยู่ในรถม้าตามอยู่ด้านหลัง “อากาศหนาวเย็น องค์ชายทรงขึ้นรถม้ามาดื่มชาร้อนสียเถิดพ่ะย่ะค่ะ! ระวังไม่สบายพ่ะย่ะค่ะ”

เซียวเฉิงอี้หัวเราะร่า “เจ้าพูดถูก ข้าไม่อาจล้มป่วยลงในเวลานี้”

เขาทิ้งม้าขึ้นรถม้าตามคำกล่าว

ขุนนางฝ่ายในรีบถวายชาร้อนแก้วหนึ่ง

เซวียกุนซือติดตามอยู่ข้างกาย “สถานการณ์ในเมืองหลวงอันตราย พระองค์กลับเมืองหลวงคราวนี้ไม่อาจรีบร้อนได้ ยิ่งไม่อาจเปิดเผยความทะเยอทะยานต่อหน้าฝ่าบาทแม้แต่น้อย”

เซียวเฉิงอี้พลางดื่มชาพลางถาม “ซินแสให้ข้าไม่แย่งไม่ชิงหรือ ตอนออกจากเมืองหลวง เสด็จพ่อทรงเอ่ยต่อหน้าขุนนางในราชสำนักว่าข้า เหมือนพระองค์”

เซวียซินแสส่ายหน้าระรัว “เวลานี้ไม่ใช่เวลานั้น! ตอนพระองค์ออกจากเมืองหลวง เหล่าขุนนางราชสำนักยังสันติต่อกัน แต่เวลานี้หากจะบอกว่ากลายเป็นศัตรูกันก็ไม่ผิด เวลานี้ จิตใจทั้งหมดของฝ่าบาทล้วนมีแต่จะกดขี่ขุนนางตระกูลใหญ่อย่างไร หากพระองค์ทรงเปิดเผยความทะเยอทะยานต่อหน้าฝ่าบาทแม้แต่น้อย ย่อมต้องถูกฝ่าบาททรงรังเกียจ”

เซียวเฉิงเหวินขมวดคิ้วด้วยความไม่เต็มใจนัก

เซวียซินแสกลัวเขาจะทำเสียเรื่อง จึงปลอบเขา “พระองค์อย่าทรงกังวลพระทัยเกินไป กว่าจะกลับมาถึงเมืองหลวงไม่ง่าย ทรงอยู่ข้ามปีไปอย่างสบายพระทัยก่อน รอฤดูใบไม้ผลิปีหน้า ดูสภาพดินฟ้าอากาศก่อน ราชสำนักจะชัดเจนขึ้นในไม่ช้า”

เซียวเฉิงอี้พยักหน้า “ซินแสพูดมีเหตุผล เสด็จพ่อทรงปะทะกับตระกูลขุนนางล้วนเป็นเพราะภัยแล้งในปีนี้ หากปีหน้าสภาพอากาศดี โจรกบฏย่อมจะถอยไปเป็นส่วนใหญ่ เมื่อถึงวลานั้นหากตระกูลขุนนางคิดจะก่อปัญหาอีกคงไม่ง่าย”

เซวียซินแสพยักหน้าอย่างเห็นด้วย “ถูกต้องพ่ะย่ะค่ะ!”

เซียวเฉิงอี้ยิ้ม ภายในใจมีความคิดคุกรุ่น แต่อารมณ์ของเขาก็ผ่อนคลายลงไม่น้อย

ขุนนางฝ่ายในหยอก “พระองค์ทรงใช้เวลาช่วงนี้พักร่างกายให้ดี พยายามมีบุตรชายอีกคน”

เพียงประโยคเดียวก็ดึงจ้งซูอวิ้นเข้ามาในความทรงจำของเขา

สีหน้าของเขาเรียบเฉย ไม่ตอบโต้

ขุนนางฝ่ายในตื่นตระหนกเล็กน้อย ต่อจากนี้จะไม่เอ่ยถึงเรื่องบุตรชายอีกแล้ว

ขบวนรถเคลื่อนตัวเข้าเมืองหลวงอย่างราบรื่น

พ่อบ้านของจวนองค์ชายสามรอรับอยู่หน้าประตูเมือง

ในที่สุดก็พบกับคน พ่อบ้านยิ้มเบิกบาน “ฮูหยินรับรู้ว่าองค์ชายทรงกลับมา ดีใจอย่างมาก สั่งให้ห้องครัวทำอาหารตั้งแต่เช้า ล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงโปรดปราน เด็กก็โตขึ้นมาก คลานได้หัวเราะได้ ยังสามารถพูดได้บ้างแล้ว…”

พ่อบ้านพูดเจื้อยแจ้ว

เซียวเฉิงอี้ฟังด้วยรอยยิ้ม

เขายังคงโปรดปรานบุตรคนแรกของตนเองอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นบุตรจากภรรยาเอก

การออกไปบรรเทาภัยพิบัตินอกเมืองหลวงคราวนี้ โชคดีที่แม่ยายอย่างองค์หญิงเฉิงหยางให้ความช่วยเหลือ เขาจึงประสบความสำเร็จได้อย่างราบรื่น

อันตรายท่ามกลางนี้ หากไม่มีการสนับสนุนจากองค์หญิงเฉิงหยาง เกรงว่าเขาคงยอมแพ้ หนีกลับเมืองหลวงมาแล้ว

แต่ก็เพราะประสบการณ์ในคราวนี้ เขาจึงได้รับรู้อย่างชัดเจนถึงความโหดร้ายและอันตรายของตระกูลขุนนาง

หลายครั้งที่เขาเสี่ยงชีวิต

โชคดีที่องครักษ์ข้างกายจงรักภักดี ไม่ได้ถูกซื้อใจ ปกป้องเขาจนตัวตาย เขาจึงรอดจากอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่ากลับมาได้

หลังจากผ่านการฝึกฝนกว่าครึ่งปี เขาไม่ใช่องค์ชายสามที่ไร้เดียงสาเหมือนตอนก่อนออกจากเมืองหลวงอีกแล้ว

เขาได้รู้จักความจริง รู้จักจิตใจของคนแล้ว

เขากลับไปยังจวนองค์ชายก่อน

จ้งซูอวิ้นนำสตรีในเรือนหลังมาต้อนรับที่ประตูสอง

นางเผยรอยยิ้ม ดูแล้วสดใสมีเสน่ห์อย่างมาก

ไม่รู้เพราะเหตุใด หัวใจที่แข็งกระด้างของเซียวเฉิงอี้ถูกรอยยิ้มของนางหลอมละลายในทันที

“พระองค์กลับมาแล้ว!”

รอยยิ้มของนางมาจากความดีใจอย่างแท้จริง ต้อนรับเขากลับจวนอย่างแท้จริง

เซียวเฉิงอี้เผยรอยยิ้มออกมา เขาเดินขึ้นหน้าจับมือของจ้งซูอวิ้น “อากาศหนาวเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่อยู่ในห้อง เหตุใดจึงออกมาต้อนรับ ระวังจะไม่สบาย”

จ้งซูอวิ้นดีใจ นางเงยหน้า สายตาของนางล้วนเต็มไปด้วยความรัก “พระองค์ห่างจากเมืองหลวงกว่าครึ่งปี ในที่สุดก็กลับเมืองหลวงมาอย่างราบรื่น ข้าจะรออยู่ในห้องได้อย่างไร ข้าแทบอยากจะไปต้อนรับพระองค์ที่ประตูเมืองด้วยตนเอง”

อนุภรรยาอื่นต่างก็เอ่ยขึ้น “ใช่เพคะ…หม่อมฉันก็อยากไปต้อนรับพระองค์ที่ประตูเมือง”

เซียวเฉิงอี้หัวเราะร่า “เข้าด้านในเถิด! จะให้พวกเจ้าล้มป่วยลงไม่ได้ ฤดูหนาวของเมืองหลวงในปีนี้หนาวกว่าที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด”

“พระองค์ตรัสถูกต้อง ถึงแม้ฤดูหนาวปีนี้จะมีหิมะตกลงมาครั้วเดียว แต่หนาวเย็นเป็นพิเศษ แต่ละวันล้วนมืดครึ้ม ลมหนาวเย็นไปถึงกระดูก ฝ่าบาททรงกลับมาจากทางใต้ ต้องรักษาตัวให้ดี เมื่อกลับมาถึงจวนคงอยากดื่มน้ำขิงร้อนกำจัดไอเย็น”

จ้งซูอวิ้นคำนึงได้อย่างรอบคอบและเหมาะสม

เซียวเฉิงอี้ไม่ปฏิเสธน้ำใจของนาง เขาดื่มน้ำขิงไปชามหนึ่ง ไม่นานนักร่างกายก็อุ่นขึ้น

เช็ดล้างร่างกาย เปลี่ยนเสื้อผ้า…

จากนั้นคนทั้งครอบครัวนั่งกินอยู่ด้วยกัน

เด็กมีแม่นมดูแล ตัวขาวสะอาดสะอ้าน ดวงตาสดใส ดูท่าทางฉลาดเฉลียว

ในที่สุดเขาก็พูดกับจ้งซูอวิ้น “ช่วงเวลาที่ข้าไม่อยู่ในจวน ลำบากเจ้าแล้ว”

ทันใดนั้นจ้งซูอวิ้นก็รู้สึกซาบซึ้ง ดวงตาแดงก่ำ “ช่วยพระองค์แบ่งเบาความกังวลเป็นหน้าที่ของข้า ลูกชอบพระองค์ ไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย ตอนนั้นที่พระองค์ห่างจากเมืองหลวงไป ข้ากับลูกยังไม่ครบเดือน เพียงชั่วพริบตา ลูกก็สามารถคลานได้แล้ว”

โอ๊ะ…มีน้ำหนักอย่างมาก

เจ้าเด็กน้อยหนักเสียจริง

เด็กไม่หวาดกลัวแม้แต่น้อย อีกทั้งยังเผยยิ้มให้เขาด้วยความดีใจ

เซียวเฉิงอี้หัวเราะออกมา

คืนนั้น เขาพักอยู่ในห้องของจ้งซูอวิ้น

จ้งซูอวิ้นพูดคุยหลายเรื่องกับเขา

บอกว่าเยียนอวิ๋นฉีคลอดบุตรสาว องค์ชายสองไม่เพียงไม่รังเกียจ อีกทั้งยังดีใจ

“ไม่รู้ว่าแสร้งดีใจ หรือว่าดีใจจริง ข้าไปเป็นแขกในจวนองค์ชายสองนสองครั้ง เห็นองค์ชายสองอุ้มบุตรสาวกับตา พระองค์ยิ้มราวกับคนเสียสติ ช่างน่าประหลาดใจ องค์ชายสองจะทรงโปรดปรานบุตรสาวด้วย”

เซียวเฉิงอี้เลิกคิ้วยิ้ม “เสด็จพี่สองร่างกายไม่ดี บุตรคนแรกเป็นบุตรสาวหรือบุตรชายล้วนไม่สำคัญ”

“ไม่สำคัญได้อย่างไร เนื่องจากองค์ชายสองร่างกายไม่ดี บุตรคนแรกจึงยิ่งสำคัญ หากเขามีบุตรไม่ได้อีก จะไม่ได้มีเพียงบุตรสาวคนเดียวหรือ”

“อย่าพูดจาเหลวไหล! พี่สองยังอายุน้อย จะไม่มีบุตรอีกได้อย่างไร”

“พวกเขาสองคนอภิเษกมากี่ปีจึงมีความคืบหน้า หากยิ่งอายุมากขึ้น ยิ่งยากต่อการตั้งครรภ์”

จ้งซูอวิ้นมั่นใจอย่างมาก ราวกับมั่นใจว่าเยียนอวิ๋นฉียากที่จะตั้งครรภ์บุตรคนที่สอง

เซียวเฉิงอี้ขมวดคิ้ว เขาไม่ชอบฟังนางพูดเช่นนี้ เหมือนสตรีที่ชอบนินทาผู้อื่น

เขาเตือนนาง “คำพูดนี้เจ้าพูดต่อหน้าข้าก็พอ อย่าได้พูดเหลวไหลด้านนอก ระวังส่งไปถึงหูของเสด็จพี่สอง”

จ้งซูอวิ้นเม้มปากยิ้ม “ท่านวางใจ ข้ารู้ขอบเขต ข้ามีแต่จะพูดความใจในต่อหน้าท่าน ต่อหน้าผู้อื่น ข้าจะให้เกียรติท่านอย่างเต็มที่ รับรองไม่ทำให้ท่านขายหน้า”

เซียวเฉิงอี้ยิ้ม “เช่นนี้ย่อมดี!”

จ้งซูอวิ้นเริ่มพูดถึงเรื่องจวนองค์ชายใหญ่ขึ้นมาอีก

“หลี่ปิ้งถิงออกจากจวนไม่บ่อยนัก ทุกครั้งที่ออกมามักจะเร่งรีบ องค์ชายใหญ่ไปทำงานที่สำนักหยาเหมินทุกวัน ดูเหมือนไม่มีความคิดใดทั้งสิ้น”

เซียวเฉิงอี้หัวเราะออกมา “พี่ใหญ่ไม่มีทางไม่มีความคิด เขาฉลาดขึ้นแล้ว รู้จักเสแสร้ง วันพรุ่งนี้ข้าเข้าวัง หากพบเขาคงต้องคุยกับเขาเสียหน่อย”

เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น

เซียวเฉิงอี้จัดการตัวเองเรียบร้อยจึงเข้าไปถวายบังคมพร้อมทั้งทูลรายงานภารกิจในวังหลวง

เขาเดินทางไปยังตำหนักซิงชิ่งก่อน

เมื่อพบเสด็จพ่อ เซียวเฉิงอี้จึงตกใจไม่น้อย

ไม่พบกว่าครึ่งปี เสด็จพ่อทรงชราลงอย่างมาก เห็นได้ชัดว่าพระองค์ทรงกังวลเกินไป การปะทะกับขุนนางตระกูลใหญ่สูญเสียกำลังไปจำนวนมาก

ดวงตาของเขาแดงก่ำ น้ำตาหลั่งไหลลงมา “เสด็จพ่อทรงระวังพระวรกาย กระหม่อม กระหม่อมเสียใจ แค้นแต่เพียงไม่อาจบรรเทาความทุกข์แทนเสด็จพ่อได้”

เมื่อฮ่องเต้หย่งไท่เห็นท่าทีของเขาก็อารมณ์ดีขึ้นมา “ลุกขึ้นเถิด! บนพื้นเย็น เจ้าจะคุกเข่าตลอดได้อย่างไร คราวนี้ออกไปบรรเทาภัยพิบัติ ถึงแม้เจ้าจะเขียนรายงานเรื่องราวทั้งหมดในฎีกา แต่ข้ายังอยากได้ยินเจ้าเล่าเองมากกว่า”

“กระหม่อมน้อบรับคำสั่ง!”

เซียวเฉิงอี้นั่งอยู่บนตั่งเล็ก เริ่มเล่าเรื่องที่พบเห็นระหว่างการบรรเทาภัยพิบัติ ความอันตรายที่ต้องประสบพบเจอ อีกทั้งวิธีการเอาตัวรอด

ปัง!

ฮ่องเต้หย่งไท่ทุบหมัดลงบนโต๊ะ “ช่างรังแกกันเสียจริง”

เมื่อได้ยินว่าเจ้าสามประสบอันตราย ถึงแม้จะไม่ได้เล่าอย่างกระจ่าง แต่ฮ่องเต้หย่งไท่พอจะเดาได้ว่าตระกูลขุนนางอยู่เบื้องหลัง

นอกจากตระกูลขุนนางในท้องถิ่นแล้ว ผู้อื่นไม่มีความกล้าและความสามารถนั้น

บังอาจลอบทำร้ายองค์ชาย อยากจะก่อกบฏหรือ

“เสด็จพ่อทรงระงับความโกรธ! กระหม่อมไม่เป็นอันตราย กลับเมืองหลวงมาอย่างปลอดภัย บนตัวไม่มีแผลแม้แต่น้อย คราวนี้ก็ถือว่าราบรื่นอย่างมาก”

“เกือบสิ้นชีวิตแล้ว จะราบรื่นได้อย่างไร”

ฮ่องเต้หย่งไท่ใบหน้าบิดเบี้ยวด้วยความโกรธ

ลอบสังหารองค์ชายแล้ว ก้าวต่อไปจะส่งคนเข้ามาลอบสังหารฮ่องเต้อย่างเขาด้วยใช่หรือไม่

ในที่สุดฮ่องเต้หย่งไท่ก็ได้รับผลกรรมที่สนับสนุนตระกูลขุนนาง กดขี่เหล่าท่านอ๋องในเวลานั้น

เวลานี้ตระกูลขุนนางไม่มีคนต่อต้านได้ นับวันยิ่งไร้กฎไร้เกณฑ์

เขาโกรธอย่างมาก แต่ก็เหนื่อยอย่างมาก จึงโบกมือไล่เซียวเฉิงอี้ออกมา

เซียวเฉิงอี้ฉงนเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจในทันที “เสด็จพ่อทรงรักษาพระวรกาย กระหม่อมขอทูลลา!”

ฮ่องเต้หย่งไท่นั่งอยู่บนบัลลังก์ด้วยอารมณ์ขุ่นมัว เขากำลังครุ่นคิดเรื่องบางอย่าง

“ตระกูลขุนนางไร้กฎไร้เกณฑ์ เห็นได้ชัดว่าข้าเมตตากับพวกเขามากเกินไปก่อนหน้านี้ เรียกแม่ทัพกองทัพเหนือเข้าเฝ้า!”

ซุนปังเหนียนตกใจ “ฝ่าบาททรงเรียกแม่ทัพกองทัพเหนือเข้าเฝ้าเพื่อ…ใกล้จะปีใหม่แล้ว เรื่องอื่นรอผ่านพ้นปีใหม่ไปก่อน ฝ่าบาททรงเห็นว่าอย่างไร”

ฮ่องเต้หย่งไท่หัวเราะเสียงเย็น “ข้าสามารถรอลงมือหลังปีใหม่ แต่ตระกูลขุนนางจะให้เวลาข้าได้พักหายใจหรือไม่ ให้เจ้าเรียกแม่ทัพกองทัพเหนือเข้าเฝ้า เหตุใดเจ้าจึงพูดมาก หากเจ้าทำไม่ได้ ย่อมมีผู้อื่นทำได้”

ซุนปังเหนียนตระหนก ก้มกราบรับโทษ “ฝ่าบาททรง “ฝ่าบาททรงระงับความโกรธ! กระหม่อมจะให้คนไปเชิญแม่ทัพกองทัพเหนือเข้าเฝ้าบัดนี้”

“รีบไป! ความอดทนของข้ามีจำกัด”

“พ่ะย่ะค่ะ!”

ซุนปังเหนียนรีบให้คนไปเชิญแม่ทัพกองทัพเหนือ ในเวลาเดียวกันก็ส่งข่าวออกจากวังหลวงไปถึงมือขององค์ชายสอง เซียวเฉิงเหวิน

เมื่อเซียวเฉิงเหวินรับรู้เรื่องนี้ เขาก็ถีบตั่งเล็กล้มลงด้วยความโกรธ

“เสด็จพ่อทรงเสียนสติไปแล้วหรือ เวลานี้พระองค์คิดจะใช้กองทัพเหนืออีก เสียสติไปแล้ว!”

“ฝ่าบาททรงระงับความโกรธ!”

เฟ่ยกงกงเกรงว่าองค์ชายของตนเองจะทำร้ายร่างกาย ร้อนใจอย่างมาก

เซียวเฉิงเหวินหัวเราะเสียงเย็น “ได้ยินว่าน้องสามกำลังถวายบังคมอยู่ที่ตำหนักเว่ยยาง ข้าจะเข้าวังไปดูเสียหน่อย”